ตอนที่ 1911 ขึ้นยอดเขา

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1911 ขึ้นยอดเขา

 

หากขึ้นไปยังยอดเขาไม่ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะรับรู้งั้นรีบ

 

หลิงฮันรู้สึกสนใจขึ้นมา เรื่องสําคัญที่เอี๋ยนเซียนลู่ว่าคืออะไรกันแน่ หรือจะเกี่ยวข้องกับพายุมืดกัน?

 

เขากล่าวกับสตรีนกอมตะ “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเข้าอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ไปก่อน”

 

“อืม! ” สตรีนกอมตะพยักหน้าอย่างไม่คัดค้าน นอกจากนางจะไม่ได้มีศักยภาพในระดับราชาแล้ว นางยังไม่บรรลุแม้แต่ระดับโลกียนิพพานเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นอย่าว่าแต่ขึ้นไปให้ถึงยอดเขาเลย แต่จะลองก้าวเข้าสู่ภูเขานางก็หมดสิทธิ์แล้ว

 

หลิงฮันนำสตรีนกอมตะเข้าสู่หอคอยทมิฬ ส่วนในด้านของธิดาโร๋วนั้นเขาเลือกที่จะเมินเฉย

 

“เห้อ! ” ธิดาโร๋วแสร้งทําเป็นถอนหายใจ

 

หลิงฮันทําหูทวนลม เขาจําเป็นต้องเลิกสนใจสตรีผู้นี้เสียบ้าง ไม่เช่นนั้นนางจะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่

 

“ดวงดาวสามดาวโคจรมาบรรจบกันแล้ว! ” จู่ๆ เอี๋ยนเซียนลู่ก็เอ่ยขึ้นมา ที่เหนือน่านฟ้าดวงดาวที่ส่องประกายสามดวงได้ปรากฏให้เห็น และพุ่งทะยานเป็นเส้นวิถีโคจรเดียวกัน “ตอนนี้สามารถขึ้นไปยังภูเขาได้แล้ว ด้วยอํานาจแห่งเต๋าสวรรค์และปฐพีที่ถูกกระตุ้นให้ทํางาน ใครก็ตามที่ขึ้นไปถึงยอดเขาได้เป็นคนแรก และนั่งลงบนโขดหินขนาดใหญ่ ที่อาจารย์ของข้าเคยนั่งตอนทะลวงผ่านระดับราชานิรันดร์ คนผู้นั้นจะได้รับมอบวาสนาอันยิ่งใหญ่”

 

“เอาล่ะ เริ่มกันได้แล้ว”

 

เอี๋ยนเซียนลู่เป็นคนแรกที่เคลื่อนที่นาขึ้นไปยังภูเขา

 

เหลาซงและซานจี้ถงพุ่งทะยานร่างตามไปติดๆ ในขณะที่ผู้ติดตามทั้งสามของเอี๋ยนเซียนลู่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ตามไปด้วย

 

ทั้งสามคนจ้องมองหลิงฮันด้วยสีหน้าเย็นชา

 

จ้าวชิงเฟิงถูกหลิงฮันสังหาร เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมองหลิงฮันเป็นศัตรู หากไม่ใช่เพราะเอี๋ยนเซียนลู่ห้ามไว้ พวกเขาทั้งสามคงลงมือไปแล้ว

 

แน่นอนว่าหลิงฮันยอมไม่เก็บทั้งสามคนมาใส่ใจ ผู้ติดตามเหล่านี้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าจ้าวชิงเฟิงเท่านั้น ต่อให้เหยียบย่ำไปก็ไม่ได้ทําให้เขารู้สึกดี

 

หลิงฮันจับกุมมือจักรพรรดินีเอาไว้และเดินขึ้นหน้า ทางด้านของธิดาโร๋ว นางเองก็อยากลองไต่ภูเขาดูเช่นกัน นางต้องการรู้ว่าพลังของนางกับเหล่าอัจฉริยะชั้นแนวหน้า จะแตกต่างกันแค่ไหน

 

เหล่าราชาในหมู่ราชาคนอื่นๆ จิตวิญญาณลุกโชน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า วาสนาที่เกิดขึ้นในสถานที่ที่มีการบรรลุระดับราชานิรันดร์ จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน

 

หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินีและกล่าว “บางที นี่อาจจะเป็นโอกาสที่พวกเราจะบรรลุระดับห้านิพพานก็เป็นได้”

 

“อืม! ” จักรพรรดินีพยักหน้า

 

ในขณะที่ดวงดาวทั้งสามโคจรมาบรรจบกัน แรงกดดันที่ผันผวนอยู่ในภูเขาได้สลายไปมากก็จริง แต่การจะปีนป่ายขึ้นไปให้ถึงยอดบนสุดก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลําบากอยู่ดี

 

ที่ดูเหมือนพวกอู๋เซียนลู่ทั้งสามคน สามารถไต่ขึ้นไปยังภูเขาได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะทั้งสามคนเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน ถึงแม้พลังบ่มเพาะของพวกเขาจะยังอยู่ในระดับโลกียนิพพาน แต่แท้จริงแล้วพลังต่อสู้ของทั้งสามนั้น สามารถเทียบเคียงได้กับระดับแบ่งแยกวิญญาณ

 

เพียงแค่หลิงฮันก้าวขึ้นสู่อาณาเขตของภูเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ที่ลงมาจนหลังแทบงอ

 

จักรพรรดินีเองก็เช่นกัน นางเผยสีหน้าหนักอึ้งออกมาเล็กน้อย ส่วนธิดาโร๋วนั้นแตกต่างออกไป ทันทีที่ก้าวขึ้นสู่ภูเขา นางก็ส่งเสียงอุทานออกมา และแทบทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น

 

“แม่นางผู้แสนงดงาม ให้ข้าช่วยเจ้าเอง! ” มือที่หนาใหญ่คู่หนึ่งยื่นเข้ามาใกล้ ดูจากมุมที่มือนี้เคลื่อนที่เข้ามาแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถมองออกว่ามือคู่นี้ตั้งใจที่จะเอื้อมผ่านไหล่ของธิดาโร๋ว และอ้อมมาจัมกุมหน้าอกของนาง

 

เพียงแต่ตอนนี้ธิดาโร๋วกําลังถูกแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวกดทับอยู่ นางจึงไม่สามารถเคลื่อนตัวหลบได้ และทําได้เพียงเผยสีหน้าอับอาย

 

คนที่แสร้งทําเป็นช่วยคือรุ่นเยาว์ร่างผอมชุดคลุมม่วงผู้หนึ่ง ที่ตอนนี้ใบหน้ากําลังเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาอย่างเด่นชัด

 

“หมับ” เพียงแต่ทันทีที่กํามือ รุ่นเยาว์ชุดม่วงก็ต้องรู้สึกแปลกประหลาด เนื่องจากสิ่งที่มือของเขาจับได้นั้นมีสัมผัสที่แข็ง และรูปทรงผิดจากที่จินตนาการเอาไว้

 

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่ายอดเขาของสตรีที่เขาคิดเอาไว้ แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นรองเท้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดิน

 

“เจ้าคิดจะทําอะไรกับเท้าของข้างั้นรึ? ” หลิงฮันยิ้ม

 

รุ่นเยาว์ชุดม่วงล่าถอยอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเผยสีหน้าขยะแขยง

 

ถึงแม้หลิงฮันจะไม่ได้คิดครอบครองสตรีทรงเสน่ห์ผู้นี้ แต่อีกฝ่ายก็ร่วมหัวจมท้ายกับเข้ามานาน เขาจึงไม่อาจนิ่งเฉยยอมให้นางถูกเอาเปรียบได้

 

เขายิ้มและกล่าว “มาจับเท้าของข้าเช่นนี้ เจ้าคิดจะชดใช้ค่าเสียหายให้ข้าอย่างไร?”

 

มุมปากของรุ่นเยาว์ชุดม่วงกระตุกเล็กน้อย พร้อมกับสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน

 

เจ้ากล้าเย้าแหยู่ข้างั้นรึ?

 

“หืม ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือผู้สืบทอดคนใหม่ของเมืองวิถีโอสถสินะ? ” รุ่นเยาว์ชุดม่วงกล่าวออกมา เมื่อรับรู้ถึงตัวตนของหลิงฮัน

 

ก่อนหน้านี้เมืองวิถีโอสถได้เชิญชวนขุมอํานาจมากมายไปเข้าร่วมการพิธี นิกายตะวันบริสุทธิ์ของเขาเองก็ได้รับคําเชิญชวนเช่นกัน เพียงแต่นิกายตะวันบริสุทธิ์นั้นเป็นถึงขุมอํานาจราชานิรันตร์ระดับหก เพราะงั้นพวกเขาจึงไม่ได้ตอบรับคําเชิญ

 

เพียงแต่โฉมหน้าของหลิงฮันก็ถูกแพร่กระจาย ไปทั่วดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกแล้ว ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดของเมืองวิดีโอสถ หากพบเจอกันเขาก็ต้องยอมไว้หน้าอีกฝ่ายบ้าง

 

หลิงฮันเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกําลังคิดอยู่ได้ไม่ยาก “ต่อให้คิดจะตีสนิทกับข้าก็ไม่มีประโยชน์ รีบจ่ายค่าชดใช้มาเดี๋ยวนี้! ”

 

มุมปากของรุ่นเยาว์ชุดม่วงกระตุกยิ่งกว่าเดิม เขาที่บังเอิญไปจับเท้าของหลิงฮัน จนต้องรู้สึกขยะแขยงเช่นนี้ กลับกลายเป็นฝ่ายผิดงั้นรึ? เขากล่าว “ผู้สืบทอดเมืองวิถีโอสถอาจจะดูสูงส่งในสายตาผู้อื่น แต่ต่อหน้าซางต๋าผู้นี้ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากแมลงตัวเหม็น!”

 

เขาไม่กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เมืองวิถีโอสถมีอํานาจเทียบเท่าได้กับขุมอํานาจห้าดาวทั่วไปเท่านั้น สําหรับขุมอํานาจราชานิรันดร์ระดับสอง หรือสามขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่จําเป็นแยแสต่ออํานาจของเมืองวิดีโอสถแต่อย่างใด

 

“ช่างเป็นคนที่หน้าไม่อายยิ่งนัก นอกจากจะเสียมารยาทมาจับเท้าคนอื่นแล้วยังกล้าพูดจาข่มขู่ เพื่อปิดบังการกระทําอันไร้ยางอายของตนเองอีก” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

 

ซางต๋าเกรี้ยวกราดและผลักมือเข้าใส่หลิงฮัน “รนหาที่ตาย!”