เยี่ยนจ้าวเกอก้าวเข้าไปในบาดแผลแห่งสำแพงสวรรค์ เขตแดนมิติตรงหน้าแปรเปลี่ยน สภาพต่างไปจากเดิม การกลับโลกแปดพิภพกลับถูกขวางกั้น
เขาทิ้งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงชิ้นอื่นๆ นอกจากตราประทับตะวันเอาไว้บนโลกซ้อนโลก กงจักรมหาประกายกาฬไม่อาจอยู่ในโลกเบื้องล่างใบนี้ได้เช่นกัน
ถ้าหากเป็นอาวุธเซียนที่สมบูรณ์ จะปรับแต่งพลังของตัวเองได้ กงจักรมหาประกายกาฬก่อนหน้านี้มีแค่รูเดียวที่ส่องสว่าง มีพลังเบาบาง จึงลงไปยังโลกเบื้องล่างได้ แต่ว่ากงจักรมหาประกายกาฬที่มีรูเก้ารูส่องแสงในตอนนี้กลับถูกเขตแดนกีดกัน
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็อดกลอกตาไม่ได้ ได้แต่ทิ้งกงจักรมหาประกายกาฬไว้บนโลกซ้อนโลก
ตำแหน่งบนโลกแปดพิภพของบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์แห่งนี้อยู่เหนือยอดเขาเรืองรอง ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ชายหนุ่มมาถึงโลกแปดพิภพอีกครั้ง สัมผัสการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณ ทุกอย่างยังคงเดิม จึงรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง ด้วยระดับพลังฝึกปรือในตอนนี้ของเขา ต่อให้ถูกพลังเขตแดนแห่งฟ้าดินสะกดเอาไว้ ก็ยังสัมผัสการไหลเวียนและความปรวนแปรของปราณวิญญาณของโลกทั้งใบได้เลือนราง
เทียบกับในอดีตแล้ว โลกแปดพิภพในปัจจุบันมีปราณวิญญาณท่วมท้นกว่าเดิม เหมาะแก่การฝึกฝนของจอมยุทธ์ ถือเป็นผลงานของเขากว่างเฉิง
หลังจากตั้งหลักบนโลกซ้อนโลกได้แล้ว เขากว่างเฉิงก็เริ่มรวบรวมของวิเศษจำนวนหนึ่ง แล้วส่งไปยังโลกแปดพิภพ เพื่อปรับเปลี่ยนปราณวิญญาณและชีพจรดินของที่นี่โดยใช้นภาพิภพของโลกใบนี้เป็นศูนย์กลางอย่างต่อเนื่อง ทำให้ที่นี่เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ
ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน แต่พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย
ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วการเพิ่มระดับนี้จะถึงขีดจำกัด ไม่อาจเป็นเหมือนโลกซ้อนโลกได้ แต่ว่าเป็นพรอันประเสริฐสำหรับคนในโลกแปดพิภพอย่างไม่ต้องสงสัย
ตามที่เยี่ยนจ้าวเกอทราบ หลายปีมานี้เหล่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์บนโลกแปดพิภพต่างก็มีความก้าวหน้า อีกทั้งมียอดฝีมือรุ่นใหม่ที่โดดเด่นอีกมากมายปรากฏตัวขึ้น
ถึงแม้ว่าด้วยอายุของเยี่ยนจ้าวเกอ เกรงว่าจะอายุน้อยกว่าคนจำนวนมากในนี้ แต่ต่อหน้าเขา คนพวกนี้นับว่าเป็นคนโดดเด่นที่มาทีหลังอย่างแท้จริง
ตอนนี้ที่อยู่เดิมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีคนคอยอยู่สองคน คนหนึ่งอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้าย อีกคนคือมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรม
คนแรกคือสวีเฟย ผู้อาวุโสระดับหนึ่งของวิหารอาญาแห่งเขากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลก เขาได้ยืนอยู่ในระดับสูงสุดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นรวมรูป เหลืออีกเพียงครึ่งก้าวก็สามารถทลายนภาเห็นเทวะสำแดงได้แล้ว ดูจากอายุ เทียบได้กับโอรสหงส์จวงเจาฮุยในอดีต
เมื่อพิจารณาถึงจุดเริ่มต้นของสวีเฟย และการไปถึงโลกซ้อนโลกซึ่งมีสภาพแวดล้อมโดดเด่นยิ่งกว่าเพื่อฝึกฝนในไม่กี่ปีมานี้ เขาก็ยังมีศักยภาพมากมายให้ขุดค้น
เขาแตกต่างจากเยี่ยนจ้าวเกอที่ปกติเป็นที่จับตามอง และโด่งดังบนโลกซ้อนโลกอยู่แล้ว
สวีเฟยได้รับการแจ้งเตือนจากฟางจุ่นเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว จึงลงมายังโลกแปดพิภพเพื่อเป็นคนติดต่อประสานงาน
อีกคนหนึ่งกลับเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบันของเขากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลก เฟิงฉือ
ตอนยังอยู่บนโลกแปดพิภพ เยี่ยนตี๋กับเฟิงฉือเป็นสหายที่ดีต่อกันตั้งแต่วัยเยาว์ กราบเข้าเขากว่างเฉิงเพื่อร่ำเรียนวิชาด้วยกัน ปัจจุบันแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีพลังฝึกปรือต่างกันมหาศาล ทว่าที่แล้วมาเฟิงฉือมีนิสัยซื่อตรง ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแต่อย่างใด
ในตอนแรกตัวเลือกที่พวกหยวนเจิ้งเฟิงวางไว้ว่าจะให้ไปยังโลกซ้อนโลก ก็มีเฟิงฉือเช่นกัน
กระนั้นต่อมาพิจารณาว่า สุดท้ายทางโลกแปดพิภพก็ต้องมีคนมีความสามารถคอยควบคุมดูแล
เพราะบารมีของเขากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลก จึงไม่มีใครในโลกแปดพิภพกล้าตอแยนภาพิภพ ดังนั้นการใช้พลังยุทธ์สยบจึงไม่ได้มีความจำเป็น แต่จำเป็นต้องให้คนที่ละเอียดรอบคอบคอยบัญชาการ
สุดท้ายเฟิงฉือก็รั้งอยู่ และรับหน้าที่ดูแลเขากว่างเฉิงบนโลกแปดพิภพ
เฟิงโม่หยางบุตรของเขาไปยังโลกซ้อนโลก เป็นหนึ่งในฐานหินสำหรับก่อตั้งสำนักของเขากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลกเหมือนกับพวกสวีเฟย ซือคงจิง และอิงหลงถู
“อาจารย์ลุงเฟิง ศิษย์พี่สวี” เยี่ยนจ้าวเกอทักทายคนทั้งสอง
เฟิงฉือกับสวีเฟยต่างพยักหน้า “จักรพรรดิได้ลงมาหรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “เขาสมควรนำข้าถึงจะถูก ตอนนี้ข้าจะไปหอคลื่นโหม”
พื้นที่ของโลกแปดพิภพเล็กเกินไปแล้วสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ การข้ามเขาข้ามทะเล และระยะทางแสนไกลในอดีต ตอนนี้ใช้แค่พริบตาเดียว ก็สามารถข้ามผ่าน ได้ ฟ้ากับดินใกล้กันแค่คืบเดียว
ชายหนุ่มเคยมาหอคลื่นโหม บัดนี้เมื่อได้กลับมาอีกครั้ง ทิวทัศน์ด้านหน้าก็ยังคงเดิม แต่สิ่งของไม่ใช่คน เพราะของยังอยู่ทว่าคนกลับไม่ เรื่องราวมากมายต่างไปจากเดิม
อันชิงหลิน อดีตผู้คุมหอคลื่นโหมไม่กี่ปีมานี้ได้รุดหน้าขึ้นอีกก้าว เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง และได้มอบตำแหน่งผู้คุมหอให้แก่ลูกศิษย์ในสำนัก ส่วนตนเองตั้งใจฝึกฝน
พร้อมกับการล่มสลายโดยสิ้นเชิงของสำนักแสงสว่าง เขากว่างเฉิงหยัดยืนบนโลกซ้อนโลกอย่างมั่นคง โลกแปดพิภพกลายเป็นโลกของเขากว่างเฉิงโดยสมบูรณ์
ถึงแม้ว่าขุมกำลังอื่นๆ ในอดีตต่างก็ยังปกครองตัวเองได้ แต่ความสัมพันธ์กับเขากว่างเฉิงเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่หยุด
ตำแหน่งของเขากว่างเฉิงยิ่งมายิ่งเหนือธรรมดา ส่วนขุมกำลังอื่นๆ ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนมาพึ่งพาเขากว่างเฉิง แม้กระทั่งการแข่งขันระหว่างกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นการแข่งขันในตำแหน่งที่อยู่ในการปกครองของเขากว่างเฉิง
เทียบกันแล้ว หอคลื่นโหมนับว่าเป็นฝ่ายที่ค่อนข้างได้เปรียบ
อันชิงหลิน ผู้คุมหอคลื่นโหมรุ่นก่อนและผู้คุมหอรุ่นปัจจุบันของหอคลื่นโหม ได้รับการแจ้งเตือนจากเฟิงฉือ จึงพาผู้อาวุโสจำนวนมากของหอคลื่นโหมออกมาต้อนรับพร้อมกัน
ขณะมองเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ตรงหน้า พวกอันชิงหลินคารวะด้วยความเคารพ
ความรู้สึกในใจของพวกนางถูกขัดให้ราบเรียบมานาน สภาวะจิตใจดีขึ้น ตอนนี้พอเห็นเยี่ยนจ้าวเกอจึงเหลือเพียงความเลื่อมใส
“ทุกท่านเกรงใจแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีเวลาใส่ใจกับมารยาท เขาถามตรงๆ ว่า “อาจารย์ลุงเฟิงของสำนักข้าสมควรติดต่อสำนักท่านแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้สหายร่วมเส้นทางเฉินหมิงอิง อยู่หรือไม่”
อันชิงหลินตอบ “ศิษย์หลานเฉินอยู่ในหอ แต่ไม่มีคนตามหานาง”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “ผู้มาเยือนมีพลังฝึกปรือสูงเกินไป เป็นตัวตนที่ได้ผลักเปิดประตูเซียน หากลงมายังโลกแปดพิภพจะไม่ได้รับการสะกดจากพลังเขตแดนแห่งฟ้าดิน การไปมาของเขาเกรงว่าจะไม่มีใครสัมผัสได้”
ตอนนี้ระดับพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอถูกสะกดให้อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ตอนนี้ไม่อาจใช้ความรู้สึกค้นหาว่าจักรพรรดิแพรว่ามาถึงหรือยังได้แล้ว แต่เขาเชื่อว่าจักรพรรดิแพรจะต้องมาถึงแล้ว
ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงกล่าวตรงๆ “รบกวนท่านนำข้าผู้แซ่เยี่ยนไปยังที่พักของสหายร่วมเส้นทางเฉินด้วย”
อันชิงหลินไม่เสียเวลา นำทางทันที
ทุกคนเดินไปถึงด้านนอกลานบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ได้ยินเสียงสนทนากันของคนด้านใน
ทุกคนในหอคลื่นโหมอดมองกันไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าเป็นปรกติ เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้คนอื่นๆ หยุดเดิน จากนั้นตนเองถึงจะก้าวไปด้านหน้า
ประตูของลานบ้านปิดไว้ครึ่งหนึ่ง เมื่อมองผ่านรอยแง้มเข้าไป จะเห็นว่าใต้ต้นแปะก๊วยขนาดมหึมาต้นหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าอาคารตรงกลางลานบ้าน นั่งไว้ด้วยคนสองสามคน
คนหนึ่งในนี้แม้ดูธรรมดา แต่ว่าเป็นคนที่ถูกผู้คนพบเป็นอันดับแรก เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีขาวดุจหิมะ ทับด้วยเสื้อคลุมสีแดง องอาจหล่อเหลา สูงส่งไม่ธรรมดา
บุคคลที่มีท่าทางเช่นนี้ได้ นอกจากจักรพรรดิแพรงามฟู่อวิ๋นฉือแล้วก็ไม่มีใครอีก
ตรงข้ามกับเขานั่งไว้ด้วยสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอจำได้ว่าเป็นเฉินหมิงอิง อาจารย์ผู้มีพระคุณในตอนที่เมิ่งหว่านยังอยู่ในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
เมิ่งหว่านนั่งอยู่เงียบๆ ถัดจากพวกเขา
ตอนนี้ได้ยินเสียงที่ทุ้มต่ำและกระจ่างใสของจักรพรรดิแพรดังขึ้นว่า “พวกท่านมีความคิดอย่างไรต่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”
………………..