บทที่ 635.2 ย้ายภูเขาคว่ำมหาสมุทร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจียงเกาไถทำท่าว่าตัวเองจะไม่ยอมถูกปั่นหัวเล่นเหมือนลิงตัวหนึ่ง จึงเตรียมจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

เซี่ยซงฮวากลับเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะนั่ง ‘หนันจี’ ลำนี้กลับบ้านเกิดแล้ว ไม่ต้องไปส่ง”

คาดไม่ถึงว่าเส้าอวิ๋นเหยียนจะเด็ดขาดยิ่งกว่า เขาลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ “แม้กำแพงเมืองปราณกระบี่กับเรือข้ามฝากหนันจีจะทำการค้าร่วมกันไม่สำเร็จ แต่มิตรภาพยังคงอยู่ เชื่อว่าใต้เท้าอิ่นกวานย่อมไม่ขัดขวาง ข้าที่เป็นคนนอกก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงกับเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าบังเอิญยิ่งนัก จะดีจะชั่วเส้าอวิ๋นเหยียนก็เป็นเจ้าของเรือนชุนฟาน ดังนั้นก่อนที่เซียนกระบี่เซี่ยจะจากไป ได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้พาท่านเจ้าของเรือเจียงเดินเล่นทั่วเรือนชุนฟานสักรอบหนึ่งก่อน”

ถึงอย่างไรเส้าอวิ๋นเหยียนก็ไม่คาดหวังให้เซี่ยซงฮวาทำเรื่องที่สุดโต่งเกินไป หลีกเลี่ยงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในมหามรรคาของนางวันหน้า แต่ตนที่ต้องอยู่เดียวดายเพียงลำพังกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เจียงเกาไถหยุดเดิน หัวเราะร่าเสียงดัง หันหน้าไปมองคนหนุ่มที่ใบหน้าประดับรอยยิ้ม “ใต้เท้าอิ่นกวาน เห็นว่าพวกเราเป็นคนโง่หรือ กำแพงเมืองปราณกระบี่เปิดประตูต้อนรับแขกทำการค้าเช่นนี้รึ? ข้าอยากจะรู้นักว่าหากอาศัยการบังคับซื้อบังคับขาย อีกครึ่งปีจะยังมีเรือข้ามทวีปสักกี่ลำมาจอดที่ภูเขาห้อยหัว?!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าของเรือเจียงคือคนที่ฉลาดหลักแหลม ไม่อย่างนั้นจะสามารถกลายเป็นขอบเขตหยกดิบได้อย่างไร ไหนเลยจะไม่รู้เรื่องมารยาท แต่คงเพราะไม่ยินดีจะทำการค้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว ไม่เป็นไร หากเจ้าของเรือเจียงอยากเดินออกจากประตูไปก็เชิญตามสบาย ให้เซียนกระบี่เส้าที่เป็นเจ้าบ้านไปชมทัศนียภาพเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกคนเข้าใจผิด มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ เซียนกระบี่เส้าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา การปรึกษาหารือธุระในคืนนี้เลือกเรือนชุนฟานที่มีทัศนยภาพงดงามที่สุด ข้าต่างหากที่เป็นคนจ่ายเงินให้เซียนกระบี่เส้าแทนกำแพงเมืองปราณกระบี่”

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มบางๆ “เหล่าเซียนกระบี่พร้อมใจกันมาเยือน เรือนชุนฟานเล็กๆ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นต้องมีการลดราคาให้อยู่แล้ว”

เฉินผิงอันถอนหายใจ พูดกับเจียงเกาไถด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “คำใส่ร้ายว่าบังคับซื้อบังคับขายนี้ ข้าไม่รับไว้หรอก รับไม่ไหว กำแพงเมืองปราณกระบี่ทำการค้ากับเรือข้ามฟากหนันจีไม่สำเร็จ ต่อให้ข้าจะเสียดายอย่างสุดแสน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องโทษที่ตัวเองมีความสามารถไม่มากพอ น่าเสียดายก็แต่ข้าไม่มีแม้แต่โอกาสจะเปิดปากพูด เจ้าของเรือเจียงไม่คิดจะยินดีฟังราคาจากข้าเลยด้วยซ้ำ ยังคงเป็นคำโบราณที่กล่าวได้ดี คนต่ำต้อยต้องพูดเสียงเบา ต้องรู้จักกาลเทศะให้มากหน่อย แต่ข้าที่เป็นคนไร้อำนาจกลับคิดจะโน้มน้าวคนอื่น เป็นคนยากจนแต่ดันอยากพูดคุยกับคนหมู่มาก ทำให้ทุกท่านเห็นเรื่องตลกกันแล้ว”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองเจียงเกาไถที่ยังคงไม่ขยับเท้าก้าวเดิน “ข้าไม่ถือสาที่เจ้าของเรือเจียงไม่มีความอดทน เจ้าของเรือเจียงก็อย่าเข้าใจผิดคิดว่าข้าไม่มีความจริงใจมากพอ กลับกลายเป็นหันมาสาดน้ำโคลนใส่ข้า วิญญูชนสานสัมพันธ์ มิควรเอ่ยถ้อยคำให้ร้ายกันและกัน ช่างเถิดๆ พวกเราพยายามปฏิบัติต่อกันอย่างมีมารยาท พบกันด้วยดีก็ควรจากลากันด้วยดี”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่มองเจียงเกาไถผู้นั้นอีก แต่ไล่สายตามองไปยังพวกอู๋ฉิว ถังเฟยเฉียน ป๋ายซีทีละคน “กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้อนรับขับสู้แขกด้วยความจริงใจ ไต้เฮาพูดแล้ว เจ้าของเรือเจียงก็พูดแล้ว ต่อไปนี้ยังมีใครจะพูดอะไรก่อนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะพูดอีกหรือไม่ จากนั้นข้าค่อยเปิดปากพูดธุระของคืนนี้ ถึงอย่างไรจุดประสงค์ก็มีเพียงหนึ่งเดียว นับแต่วันนี้ไป หากทำให้เจ้าของเรือทุกท่านได้เงินน้อยกว่าในอดีต การค้าแบบนี้ อย่าว่าแต่พวกเจ้าที่จะไม่ทำเลย ข้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ทำเหมือนกัน”

กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็ย้ายเส้นสายตามองไปทางฝั่งของพวกเซียนกระบี่ “เซียนกระบี่เซี่ยไม่ไปส่งเจ้าของเรือเจียงพร้อมกับเซียนกระบี่เส้าหรือ?”

เซี่ยซงฮวาลุกขึ้นยืน มองอิ่นกวานหนุ่มที่ช่วยให้ตนสั่งสมคุณความชอบทางการรบถึงสองครั้งกับมือตัวเอง เซียนกระบี่หญิงที่ไม่ยินดีติดค้างน้ำใจใครมากที่สุดท่านนี้กลับมีสีหน้าละอายใจอย่างที่หาได้ยาก

เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ

เซี่ยซงฮวาจึงคลี่ยิ้มกว้าง แล้วก็คร้านจะเอะอะโวยวาย เพียงหันหน้าไปเอ่ยกับเจียงเกาไถ “ออกจากประตูใหญ่บานนี้ไป เซี่ยซงฮวาก็เป็นแค่เซี่ยซงฮวาผู้ฝึกกระบี่ของธวัลทวีปแล้ว เจ้าของเรือเจียง ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผู้ฝึกกระบี่สองคนที่มีขอบเขตเท่ากับเจ้าอย่างข้าและเส้าอวิ๋นเหยียนเดินเล่นทั่วเรือนชุนฟานเป็นเพื่อนเจ้าดีไหม?”

ความคิดของเจียงเกาไถหมุนเร็วจี๋ เอ่ยถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน กำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่ให้พวกเราขาดทุน จริงหรือ?”

เฉินผิงอันเดินมาอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะสี่เซียน ยื่นมือไปกดแผ่นหยกที่สลักตัวอักษรเก่าแก่สองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ จากนั้นก็มองทุกคนที่นั่งอยู่สองฝั่ง เพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด

เส้าอวิ๋นเหยียนเดินไปทางประตูใหญ่แล้ว

ส่วนเซี่ยซงฮวาก็แผ่ปณิธานกระบี่เสี้ยวหนึ่งออกมา มีเสียงกระบี่สั่นสะเทือนอยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไผ่ที่สะพายไว้ด้านหลัง

ถังเฟยเฉียนลุกขึ้นยืน เบี่ยงตัวหันข้างเล็กน้อย กุมหมัดคารวะคนหนุ่มผู้นั้น “ขอใต้เท้าอิ่นกวานโปรดให้เจ้าของเรือเจียงอยู่ต่อด้วยเถิด จากลากันอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงอย่างไรก็ไม่ดี หากใต้เท้าอิ่นกวานยินดีให้เรือข้ามฟากหนันจีทุ่มเทสุดแรงกำลังน้อยนิดที่มี จะไม่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ”

ถังเฟยเฉียนไม่ได้ช่วยต่อชีวิตให้เจียงเกาไถ แต่แท้จริงแล้วเป็นการช่วยตัวเอง ช่วยชีวิตคนทำการค้าทุกคนที่คืนนี้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างกล้าๆ กลัวๆ

ไม่ว่าจะมีความแค้นเคืองมากแค่ไหนก็ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ให้ดีก่อน

มีเพียงออกไปจากเรือนชุนฟาน ออกไปไกลจากภูเขาห้อยหัวแล้วเท่านั้น ทุกเรื่องจึงจะพูดกันได้ง่าย

เฉินผิงอันถาม “ทัศนียภาพบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลวกวนอ้อมค้อม พวกเจ้าคุ้นเคยกันดี ข้าเองก็ไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งแปลกตา ไม่พูดถึงเรื่องการค้าขาย พูดถึงแค่เรื่องที่เจ้าของเรือเจียงเดินออกจากประตูใหญ่ไป เขาจะมีจุดจบเช่นไร เจ้าถังเฟยเฉียนจะไม่รู้เลยหรือ? หรือคิดว่าตัวของเจ้าของเรือเจียงจะไม่รู้? จะอยู่ต่ออย่างไร? เหตุใดต้องอยู่ต่อ? ในฐานะที่เจ้าเป็นคนที่สามที่เปิดปากพูดกับข้าก็ลองพูดมาดีๆ สิ ข้าจะตั้งใจอดทนฟังดู”

เฉินผิงอันใช้นิ้วเคาะแผ่นหยกเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ในห้องโถงแห่งนี้ พูดคุยเรื่องการค้าก็ควรจะมีกฎเกณฑ์ของการค้า กฎเกณฑ์ที่ว่านี้มีแต่จะใหญ่ยิ่งกว่าอิ่นกวานเช่นข้า สรุปก็คือล้วนเป็นการคบค้ากันด้วยการค้า ล้วนสามารถสร้างบุญคุณหรือความแค้นบนเงินเทพเซียนได้ หากอยู่ร่วมกับข้านานวันเข้า พวกเจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่าข้าคือคนที่ทำการค้ายุติธรรมที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ อย่างน้อยก็ควรจะมีคำว่า ‘หนึ่งใน’”

เซียนกระบี่เซี่ยจื้อยิ้มกล่าว “ถูกต้องแล้ว”

เฉินผิงอันรีบพูดทันที “คนกันเองช่วยพูดให้คนกันเอง มีแต่จะช่วยให้เสียเรื่อง”

เซี่ยจื้อชำเลืองตามองผู้ดูแลเรือข้ามฟากของฝูเหยาทวีปกลุ่มนั้น แล้วเอ่ยว่า “ประโยคนี้ใต้เท้าอิ่นกวานพูดจาไร้เหตุผลยิ่งนัก ข้าเซี่ยจื้อมีชาติกำเนิดจากฝูเหยาทวีป ต้องถือว่าเป็นญาติผู้ยากจนบ้านเดียวกับเหล่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เอวห้อยเงินหมื่นกว้านกลุ่มตรงหน้านี้ต่างหาก”

เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา เขาหลับตาทำสมาธิอยู่บนเก้าอี้ ฟังมาถึงตรงนี้ก็ให้อ่อนใจเล็กน้อย

ประโยคนี้ของเซียนกระบี่ผู้ฝึกตนอิสระอย่างเซี่ยจื้อคงไม่ใช่เฉินผิงอันสอนมาไว้ล่วงหน้าหรอกกระมัง? น่าจะเป็นคำพูดจริงใจที่คิดขึ้นได้กะทันหันมากกว่า

ถังเฟยเฉียนใคร่ครวญถ้อยคำอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ขอแค่ใต้เท้าอิ่นกวานยินดีให้เจ้าของเรือเจียงอยู่พูดคุยธุระด้วยกันต่อ ข้าก็ยินดีจะแหกกฎตัดสินใจเองโดยพลการหนึ่งครั้ง คราวหน้าที่เรือข้ามฟากมาจอดเทียบท่าภูเขาห้อยหัว จะลดราคาให้หนึ่งส่วน”

เฉินผิงอันหยิบแผ่นหยกนั้นมาห้อยไว้ตรงเอว จากนั้นก็นั่งกลับลงไปที่เดิม เอ่ยว่า “เหตุให้ข้าต้องให้คนโง่ห้าขอบเขตบนที่เห็นเงินแต่กลับไม่รู้จักเก็บเข้ากระเป๋านั่งลงสร้างความหงุดหงิดใจให้ตัวเองอยู่ที่นี่ต่อด้วย? พวกเจ้าคงคิดว่ายศอิ่นกวานของข้ามีค่าเทียบกับ ‘หนันจี’ ลำหนึ่งที่รู้จักแต่จะลอบขโมยปราณมังกรจากร่องเจียวหลงไม่ได้จริงๆ กระมัง? หนึ่งส่วน? ปราณมังกรที่สกุลหลิวธวัลทวีปเปลี่ยนมือขายต่อให้กับที่พึ่งเบื้องหลังเจ้าถังเฟยเฉียนคู่ควรให้เจ้าควักผลประโยชน์ออกมาแค่ส่วนเดียวเองหรือ? เจ้าดูแคลนข้าแล้ว ยังจะดูแคลนชีวิตบนมหามรรคาของเจียงเกาไถไปด้วยกันเลยหรือไร?!”

ถังเฟยเฉียนขมวดคิ้ว

เรื่องลับประเภทนี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่รู้ได้อย่างไร?

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงหนัก “เซียนกระบี่ขู่เซี่ย”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเตรียมจะลุกขึ้นยืน “อยู่นี่”

หากจะบอกว่าเซี่ยซงฮวาติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้ากับเฉินผิงอัน

ถ้าอย่างนั้นราชวงศ์เส้าหยวนของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ติดค้างน้ำใจใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้ากับเฉินผิงอัน

หลินจวินปี้ที่เป็นเสาคานของราชวงศ์เส้าหยวนในอนาคต มหามรรคาในวันข้างหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยแสงสว่างโชติช่วง!

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่ได้มีความคิดที่วกวนอ้อมค้อม มีหนึ่งคืนหนึ่ง ง่ายดายเพียงเท่านี้

หากตนยังใช้คืนได้ไม่หมด ในเมื่อเป็นศิษย์หลานของโจวเสินจือ ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากอาจารย์ลุง หลังจากที่หลินจวินปี้กลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วก็สามารถบอกให้เขานำความไปบอกต่อได้

ส่วนข้อที่ว่าอาจารย์ลุงโจวเสินจือได้ฟังคำสั่งเสียสุดท้ายของศิษย์หลานที่ยังคงไม่ได้ความไปแล้ว จะยินดีสนใจหรือไม่ จะลงมือหรือไม่ เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่คิดถึงทั้งนั้น

ในใจของป๋ายซีรู้ดีว่า ในบรรดาเซียนกระบี่ที่นั่งอยู่ตรงนี้ คนที่พูดได้ง่ายที่สุดก็คือเซียนกระบี่ขู่เซี่ยผู้นี้ และหากคนผู้นี้ตัดสินใจอำมหิตพูดจาร้ายกาจขึ้นมา สำหรับฝ่ายของตนแล้วจะกลายเป็นหายนะไม่เล็กที่ทำให้จิตใจผู้คนสั่นคลอน

ดังนั้นต่อให้ต้องฝืนใจ ป๋ายซีก็ต้องใช้สถานะผู้ดูเรือข้ามทวีปอ่างกระเบื้องของถ้ำซานสุ่ยฝูเหยาทวีปมาขัดขวางเซียนกระบี่ขู่เซี่ยให้จงได้ ตนจะต้องเป็นคนที่เปิดปากก่อน!

ในที่สุดป๋ายซีก็มองออกอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว คิดจะทำการค้ากับอิ่นกวานหนุ่มที่ยิ่งใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าใต้หล้าไพศาลผู้นี้ จะใช้กลอุบายล้อเล่นกับใจคนไม่ได้เด็ดขาด

ป๋ายซีลุกขึ้นยืน พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หากใต้เท้าอิ่นกวานยืนกรานจะให้เจ้าของเรือเจียงจากไป ถ้าอย่างนั้นก็นับรวมข้าป๋ายซีแห่งถ้ำซานสุ่ยเข้าไปด้วยอีกคนหนึ่ง”

ป๋ายซีคลี่ยิ้มอย่างไม่คิดจะปิดบังแววดูแคลนของตัวเองแม้แต่น้อย “หวังเพียงว่าเซียนกระบี่เซี่ยและเซียนกระบี่เส้าจะไม่รู้สึกว่าขอบเขตของข้าต่ำต้อยเกินไป ไม่คู่ควรที่จะเดินทางไปด้วย”

เซี่ยซงฮวาร้องอ้อหนึ่งที จากนั้นก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่คู่ควรจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ไม่เป็นไร ปราณกระบี่ในกล่องไม้ไผ่ของข้ามีมากพอ”

ส่วนเส้าอวิ๋นเหยียนก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยหันหน้าไปมองอิ่นกวานหนุ่ม

เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่า บอกเป็นนัยแก่เขาว่าไม่ต้องลุกขึ้นพูด

มีป๋ายซีที่ยินดีจะทำลายสถานการณ์จนตรอก ไม่คิดจะปล่อยให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จูงจมูกเดินอย่างที่ใครก็ไม่คาดฝัน เพียงไม่นานก็มีผู้ฝึกตนทวีปเดียวกันซึ่งสนิทสนมกับป๋ายซีลุกขึ้นยืน “ข้าด้วยอีกคน”

แม้แต่เจ้าของเรือก่อกำเนิดที่ตอนแรกถูกผูเหอจับโยนไปนอกเรือนชุนฟาน ต่อให้ก่อนหน้านี้จะยอมรับผิดกับเซียนกระบี่เหมือนหมาตัวหนึ่ง ทว่าเวลานี้ก็ยังลุกขึ้นยืนตามป๋ายซีอย่างเด็ดเดี่ยว “หลิวอวี่เจ้าของเรือ ‘ฝูจง’ ก็อยากจะไปชมทัศนียภาพของเรือนชุนฟาน แล้วก็ถือโอกาสทำความเข้าใจกับปราณกระบี่ของเซียนกระบี่เซี่ยดูเหมือนกัน”

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเจ้าของเรือลำเล็กไม่ทราบชื่อซึ่งเป็นเพียงโอสถทองอายุน้อยคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นสตรี สถานะของนางค่อนข้างพิเศษ เพราะมาจากตระกูลเซียนบนมหาสมุทรทิศตะวันตกเฉียงใต้ของใต้หล้าไพศาล ตำแหน่งที่นั่งของนางค่อนไปทางข้างหลังมาก จึงเป็นเหตุให้อยู่ห่างจากเส้าอวิ๋นเหยียนไม่ไกลเท่าไร นางเองก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “หลิ่วเซินเจ้าของเรือ ‘หนีซาง’ ไม่ทราบว่าจะโชคดีสามารถชมเรือนชุนฟานโดยนอกจากจะมีเซียนกระบี่เซี่ย เซียนกระบี่เส้าไปเป็นเพื่อนแล้ว จะขอเซียนกระบี่อีกคนไปเดินเที่ยวด้วยได้หรือไม่”

ขอบเขตต่ำที่สุด ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนหญิง

วิธีการตายเช่นนี้ มีข้อพิถีพิถันอย่างใหญ่หลวง

สุดท้ายคนที่ลุกขึ้นยืนก็คือผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดจากแผ่นดินกลางที่ก่อนหน้านี้ใช้เสียงในใจตอบโต้กับหมี่อวี้ นางลุกขึ้นยืนช้าๆ ยิ้มมองมาทางหมี่อวี้ “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ โชคดีที่ได้พบกัน ไม่ทราบว่าไม่ได้เจอกันนานหลายปี เวทกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่มีการพัฒนาไปบ้างหรือยัง”

หมี่อวี้ยิ้มบางๆ เอ่ยตอบ “ตัดใจไม่ลง”

ก่อกำเนิดหญิงผู้นั้นหัวเราะเสียงหยัน

อู๋ฉิวที่นั่งนิ่งไม่ขยับตลอดมารู้สึกสาสมใจอย่างถึงที่สุด

แบบนี้สิถึงจะถูก!

นี่ต่างหากจึงจะเป็น ‘ภาพบรรยากาศฟ้าดินขนาดเล็ก’ ที่เรือข้ามทวีปทุกลำควรมีในการทำการค้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่

เซียนกระบี่ชอบแล้วก็ถนัดในการฆ่าคนที่สุดไม่ใช่หรือ?

ตอนนี้มีคนที่ยืดคอออกมาพร้อมให้พวกเจ้าสังหารแล้ว ทั้งยังไม่ใช่คนคนเดียว

พวกเจ้าจะออกกระบี่หรือไม่ จะฆ่าคนหรือไม่?

เจียงเถาไถกุมหมัดเอ่ยเสียงดังกังวาน “ขอบคุณทุกท่าน!”

ถังเฟยเฉียนที่พอลุกขึ้นยืนแล้วก็ไม่ได้นั่งลงอีก เวลาก็รู้สึกไม่ต่างจากสหายสนิทอย่างอู๋ฉิวสักเท่าไร

อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นคิดว่าเรียกเซียนกระบี่กลุ่มใหญ่มาช่วยคุมหลังให้ จากนั้นอาศัยแผ่นหยกแผ่นหนึ่งก็จะสามารถบังคับทุกอย่างไว้ในมือได้จริงๆ หรือ?

เจ้าคนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!

อายุน้อยๆ อย่างเจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้!