ลี่ไฉ่ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมานวดคลึงมุมปากเบาๆ ใจนึกอยากจะใช้หนึ่งกระบี่ไล่ฟันคนพวกนี้ทีละคนให้รู้แล้วรู้รอดกันไป
เพียงแต่ในทะเลสาบหัวใจของนางยังคงมีเสียงของอิ่นกวานหนุ่มดังขึ้นมา เขายังคงบอกนางว่าไม่ต้องรีบร้อน
ลี่ไฉ่ถึงได้อดทนข่มกลั้นไม่ออกกระบี่
เว่ยจิ้นลืมตาขึ้นมาแล้ว
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากของนครมังกรเฒ่าสองคนที่คิดจะเคลื่อนไหวรีบอยู่นิ่งอย่างสงบทันใด
พวกเจ้าของเรือของทักษินาตยทวีปก็นับว่ายังสงบเสงี่ยมกันดี
ส่วนทางฝั่งของอุตรกุรุทวีปนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่มีท่าทีจะเข้ามาร่วมวงด้วยแม้แต่น้อย
และในเวลานี้เมื่อความฮึกเหิมกล้าหาญอันท่วมท้นเต็มห้องโถงได้ผ่านเลยไป ทุกคนถึงได้ทยอยกันสังเกตเห็นว่าคนหนุ่มที่เดิมทีควรจะร้อนใจจนนั่งไม่ติด กลับนั่งเท้าคางด้วยมือข้างเดียว เอนตัวพิงโต๊ะสี่เซียน ยิ้มมองทุกคนอยู่อย่างนั้น
อุตรกุรุทวีป แจกันสมบัติทวีป ทักษินาตยทวีป ล้วนพูดคุยกันได้ง่าย
ทวีปหนึ่งนั้นเกิดจากขนบธรรมเนียมนับแต่โบราณนำพาให้เป็นไป อีกทวีปหนึ่งไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงในการพูด ส่วนอีกทวีปหนึ่งก็เพราะอยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากเกินไป เพราะถึงอย่างไรก็มีสกุลเฉินผู้รอบรู้ อีกทั้งเฉินฉุนอันยังเพิ่งออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปเมื่อไม่นานมานี้
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีป ฝูเหยาทวีป คือทวีปที่พูดคุยได้ยากที่สุด
ทวีปหนึ่งเคยชินกับการเป็นผู้บงการ ดูแคลนเหล่าผู้กล้าของอีกแปดทวีปมานานแล้ว อีกทวีปหนึ่งต่อให้ฟ้าดินจะกว้างใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใหญ่เท่าเงินเทพเซียน ทวีปสุดท้ายเพราะทำการค้ากับภูเขาห้อยหัวมาจนโชกโชน แล้วก็เป็นทวีปที่มีความสามารถในการหาเงินมากที่สุด
เกราะทองทวีป หลิวเสียทวีป ทั้งพูดง่ายแล้วก็พูดยากในคราวเดียว ต้องดูที่สถานการณ์
ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่กลายมาเป็นพูดคุยกันได้ไม่ค่อยง่ายแล้ว
สุดท้ายสายตาของเฉินผิงอันย้ายไปมองร่างของผู้ดูแลเรือข้ามทวีปสองคนของนครมังกรเฒ่าค่อนข้างนาน
เรือข้ามทวีปของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงก็คือเรือหกลำของนครมังกรเฒ่าซึ่งได้แก่ปลาวาฬกลืนสมบัติ และเกราะลอยฟ้าที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ห้อยหัวน้อย’ ของตระกูลฝู ตระกูลซุนมีแค่เต่าทะเลภูเขาที่ถูกบรรพบุรุษของตระกูลจับมากำราบจนเชื่อง ตระกูลฟ่านก็มีเกาะกุ้ยฮวา
ผู้ดูแลสองท่านที่มาเป็นแขกในเรือนชุนฟานคืนนี้ คนหนึ่งคือผู้ดูแลปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝู อีกคนหนึ่งคือเจ้าของเรือผู้เฒ่าของเรือข้ามทวีปตระกูลติง
ไปเยือนนครมังกรเฒ่ามาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบหน้าทั้งสองคนนี้ คาดว่าต่อให้บุคคลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าสองท่านนี้เคยได้ยินชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ มาก่อน ก็คงคิดแค่ว่าเป็นชื่อที่ซ้ำกันเท่านั้น
อิ่นกวานหนุ่มยิ้มพูดอย่างเกียจคร้านว่า “อะไรกัน อะไรกัน การค้าได้กำไรดีๆ ที่ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ กลับจะต้องอาหัวมาวางบนโต๊ะการค้าแล้วชั่งน้ำหนักให้ได้เลยหรือ? ข้าว่าไม่จำเป็นกระมัง”
ถังเฟยเฉียนหัวเราะเสียงหยัน “เมื่อครู่คนที่บอกว่าจะฆ่าจะแกง อาศัยชื่อเสียงบารมีของเซียนกระบี่มากำหนดเป็นตายของคนตามใจชอบ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พวกเรากระมัง?”
เฉินผิงอันยังคงค้างอยู่ในท่าเดิม ยิ้มตาหยีเอ่ย “ข้าก็แค่เป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อน ได้กุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือก็เลยเหมือนคางคกขึ้นวอ ตัวเลยลอยไปหน่อยไม่ใช่หรือ”
อู๋ฉิวจิบน้ำชาของเรือนชุนฟานอึกหนึ่ง วางถ้วยชาลงเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “คนรุ่นพวกเราไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร แตกต่างจากใต้เท้าอิ่นกวานราวก้อนเมฆกับดินโคลน ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันก็พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง พวกเราหาเงินมาได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่ละคนล้วนเอาชีวิตออกไปเดิมพันกันทั้งนั้น ไม่สู้เปลี่ยนสถานที่เปลี่ยนช่วงเวลา แล้วค่อยมาคุยกันใหม่อีกครั้งดีหรือไม่? ยังคงเป็นประโยคนั้น ใต้เท้าอิ่นกวานคนหนึ่ง คำพูดคำจาย่อมมีน้ำหนักอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนเหล่าเซียนกระบี่เช่นนี้ บางทีไม่ต้องให้ใต้เท้าอิ่นกวานออกหน้าด้วยตัวเอง เปลี่ยนเป็นเจ้าประมุขเยี่ยนหรือเซียนกระบี่น่าหลันที่มาพูดคุยกับบุคคลตัวเล็กๆ อย่างพวกเราก็เพียงพอมากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่า ออกจากประตูก็มีกฎของการออกจากประตู นั่งอยู่ในนี้ก็มีกฎของการนั่งอยู่ในนี้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องทุกอย่างล้วนสามารถแก้ไขได้ด้วยเงินเทพเซียน เมื่อครู่มัวแต่เอะอะโวยวายกัน พวกเจ้าก็เลยคิดน้อยเกินไป ดังนั้นข้าจะพูดให้ชัดเจนอีกหน่อย ข้ามาเยือนภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ นับตั้งแต่แรกก็คิดอยากจะเปลี่ยนเจ้าของเรือกลุ่มใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น…”
เฉินผิงอันมองไปยังผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองที่ตำแหน่งอยู่ด้านหลัง “หลิ่วเซินเจ้าของเรือ ‘หนีซาง’ ข้ายินดีจ่ายเงินฝนธัญพืชสองร้อยเหรียญ หรือไม่ก็จ่ายด้วยทรัพยากรของหอโอสถที่มีมูลค่าเท่ากัน แลกมาด้วยการที่ให้ศิษย์น้องหญิงของเทพธิดาหลิ่วเข้ามารับหน้าที่ดูแล ‘หนีซาง’ แทน ราคาไม่ยุติธรรม แต่ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว จะยังทำอย่างไรได้อีก? วันหน้าก็จะไม่มาหาเงินที่ภูเขาห้อยหัวแล้วหรือ? คนไม่อยู่แล้ว แต่เรือข้ามฟากยังอยู่นี่นา จะดีจะชั่วก็ได้เงินมาตั้งสองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช ทำไมถึงเลือกเจ้าเป็นคนแรก? เหตุผลง่ายมาก เจ้าคือมะพลับนิ่ม คิดจะฆ่าขึ้นมา ทั้งภูเขาและอาจารย์ของเจ้าก็ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม”
สตรีโอสถทองผู้นั้นหน้าซีดขาวทันใด
เจียงเกาไถถามด้วยรอยยิ้มขึ้นมาทันที “ไม่ทราบว่าในสายตาของใต้เท้าอิ่นกวาน หัวของของมีมูลค่าเป็นเงินกี่เหรียญฝนธัญพืช?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าคือคนที่ต้องตายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าจ่ายแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียว ทางฝั่งของสกุลหลิวธวัลทวีป เซียนกระบี่เซี่ยย่อมช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้เอง ทางฝั่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ย่อมได้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่ไปพูดคุยกับโจวเสินจืออาจารย์ลุงของเขา ให้ช่วยจัดการถังเฟยเฉียนและที่พึ่งเบื้องหลังของเขา ทุกคนล้วนเป็นคนทำการค้าก็น่าจะรู้ดีว่า ขอบเขตไม่ขอบเขตอะไรนี่ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
เฉินผิงอันเอ่ย “เซียนกระบี่เซี่ย อย่าเพิ่งออกไปเลย ให้เจ้าของเรือเจียงได้พูดอีกสักคำแล้วค่อยสังหารเขาเถอะ หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขารู้สึกว่าอิ่นกวานอย่างข้า แม้แต่เชือดไก่ให้ลิงดูก็ยังไม่กล้าทำ”
เซี่ยซงฮวาพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ
ในที่สุดก็ได้ออกกระบี่สังหารคนเสียที
เฉินผิงอันหันหน้ามามองป๋ายซีจากถ้ำซานสุ่ย “บรรพบุรุษของพวกเจ้ามีความแค้นเก่ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของข้า ความแค้นนั้นใหญ่หลวงนัก อิ่นกวานคนก่อนไม่สนใจพวกเจ้า ข้าก็จะจัดการเอง วันนี้อย่าได้คิดจะจากไปเลย จะให้เซียนกระบี่เซี่ยจื้อเดินทางอีกรอบ คุ้มกันพาเรือข้ามฟากอ่างกระเบื้องของพวกเจ้าไปส่ง กระทั่งกลับไปถึงถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปอย่างราบรื่นปลอดภัย แล้วค่อยไปอธิบายให้บรรพจารย์ท่านนั้นฟังว่าความแค้นทั้งหมดจบสิ้นกันแล้ว วันหน้าการค้ายังคงมีดังเดิม อยากมาก็มา ไม่มาก็ยอมรับผลที่จะตามมาเอาเอง”
คราวนี้เป็นฝ่ายของฝั่งเซียนกระบี่ที่เริ่มลุกขึ้นยืนบ้างแล้ว
เซี่ยจื้อเซียนกระบี่ผู้ฝึกตนอิสระลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ไม่ได้ฆ่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลมานานหลายปีแล้ว ช่างเป็นความรู้สึกที่ทำให้คนคิดถึงยิ่งนัก”
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “วันนี้คนที่ไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้มาเอะอะโวยวาย ล้วนถือเป็นแขกผู้มีเกียรติของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่กระเทือนเส้นบรรทัดฐาน เศษซากกากสันดานทั้งหมดขึ้นมาจากบ่อโคลนแล้ววางลงบนโต๊ะให้เห็นกันจะๆ ให้ระหว่างเรือข้ามทวีปและกำแพงเมืองปราณกระบี่ และระหว่างเจ้าของเรือข้ามทวีปแต่ละลำได้มองกันอย่างละเอียด แล้วจะทำการค้าที่สบายใจอย่างยาวนานได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “หมี่อวี้”
หมี่อวี้ลุกขึ้นยืน มองผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “ขอโทษทีนะ ก่อนหน้านี้หลอกเจ้าครั้งสุดท้าย อันที่จริงข้าตัดใจได้ลง”
สตรีก่อกำเนิดพลันรู้สึกเหมือนถูกมีดคว้านหัวใจ
จากนั้นหมี่อวี้ก็ควักสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ กวาดตามองรอบด้าน แล้วเลือกผู้ดูแลเรือข้ามฟากคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ลุกขึ้น แต่ก็เกือบจะลุกมา แล้วเริ่มร่ายเอาบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาออกมาพูด
ไม่เพียงแค่ต้นกำเนิดการสืบทอด ลูกศิษย์ผู้สืบทอดมีใครบ้าง ใครที่ได้รับความสำคัญมากที่สุด ลูกหลานที่อยู่ด้านล่างภูเขาแตกกิ่งก้านสาขาอย่างไร เรือนส่วนตัวน้อยใหญ่แต่ละแห่งตั้งอยู่ที่ไหน ไม่เพียงแต่ผลผลิตส่วนตนที่ภูเขาห้อยหัว เรือนที่พักในพื้นที่ต่างๆ ของทวีปตัวเอง หรือแม้แต่กำลังทรัพย์ที่มีอยู่ในทวีปอื่นเหมือนคนอย่างอู๋ฉิว ถังเฟยเฉียนก็ยิ่งร่ายออกมาอย่างละเอียด ทุกอย่างล้วนมีบันทึกไว้ในสมุด เวลานี้จึงถูกหมี่อวี้เลือกออกมาแฉได้ตามใจชอบ แม้แต่เรื่องที่ว่าเทพธิดาคนใดที่ไม่ใช่คู่รักบนภูเขาแต่ก็ยิ่งกว่าคู่รักก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เอ่ยถึง
หมี่อวี้ยังพูดถึงรากฐานกำลังทรัพย์ของเจ้าของเรืออีกสองคนอย่างคล่องปากราวกับว่ากำลังร่ายนับสมบัติในบ้านตัวเอง
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าว “พอแล้วล่ะ เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม”
หมี่อวี้พยักหน้ารับ
ทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโสถูกใต้เท้าอิ่นกวานแต่งตั้งตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ของสายอิ่นกวาน คิดว่าข้ารับตำแหน่งอย่างเสียเปล่างั้นรึ?
เฉินผิงอันเรียกชื่อคนอีกคนหนึ่ง “ผูเหอ”
ผูเหอลุกขึ้นยืนจ้องผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ก่อนหน้านี้เคยเอ่ยขออภัยตนเขม็ง สายตาของเขามืดทะมึน ปากก็เอ่ยว่า “ข้าผู้อาวุโสคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดใต้หล้านี้ถึงมีคนทำการค้าที่รอดตายมาได้แล้วแท้ๆ แต่ยังอยากจะตายให้สิ้นซากแบบเจ้าได้ ข้าอยากจะรู้นักว่ารอจนข้าขึ้นเรือไปแล้ว หลิงหรานขอบเขตหยกดิบผู้นั้นจะคุกเข่าบนพื้น ขอร้องให้ข้าเห็นแก่หน้าเขาหรือไม่”
เฉินผิงอันมองไปยังบุคคลอันเป็นใจกลางหลักของเรือข้ามทวีปทั้งแปดลำสองคนนั้น “อู๋ฉิว ถังเฟยเฉียน เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนแล้ว แม้แต่เรือนของพวกเจ้าทั้งสองคนยังขายไปให้ภูเขาตี่ลี่ของอุตรกุรุทวีปแล้ว แต่ยามอยู่ต่อหน้าข้ากลับเรียกว่าตัวเองเป็นบุคคลเล็กๆ ที่หาเงินมาด้วยความยากลำบากอย่างนั้นหรือ”
ลี่ไฉ่ลุกขึ้นยืน “ข้าไม่มีทางออกไปจากภูเขาห้อยหัว แต่สามารถส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวแก่สำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิง สำนักกระบี่ไท่จง บอกว่าทางฝั่งภูเขาห้อยหัวนี้มีข่าวลือบอกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองคนสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ ใช่แล้ว เซียนกระบี่ขู่เซี่ย พวกเด็กรุ่นหลังอย่างอวี้เจวี้ยนฟูกับจูเหมยยังไม่ได้ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่หรือ ให้พวกเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักหน่อยสิ จะได้ให้เทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองได้มีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการใส่ร้ายคนดี”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยลุกขึ้นยืนทันใด “ไม่ยาก ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้”
สุดท้ายเฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ พูดด้วยสีหน้าสงสัยว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าต้องการผูกปมแค้นกับภูเขาที่เป็นที่พึ่งเบื้องหลังพวกเจ้าหรือ? ต้องทำขนาดนั้นเลยหรือไร? ไม่จำเป็นหรอก ข้าก็แค่เห็นพวกเจ้าแล้วไม่ถูกชะตาเท่านั้น นอกจากคนที่ต้องตายซึ่งมีจำนวนน้อยนิดแล้ว ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ล้วนรู้หนักรู้เบาเสมอ อีกอย่างหลังจบเรื่องจะยังไปขออภัย บวกกับมอบเงินชดเชยให้อีกก้อนใหญ่อยู่แล้ว เมื่อมองในระยะยาว ไม่ว่าใครก็ไม่ขาดทุน พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าที่ข้าเรียกพวกเซียนกระบี่มาก็แค่เพื่อให้มาดื่มเหล้าดื่มชาเป็นเพื่อนพวกเจ้าเท่านั้น? เศษสวะที่หาเงินมาได้เปล่าๆ แต่ดันไม่ยอมทำอย่างพวกเจ้า คู่ควรด้วยหรือ?”
ซุนจวี้เฉวียนเองก็ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม “ข้าและทุกท่านที่นั่งอยู่ กับสำนักและบรรพจารย์เบื้องหลังของพวกเจ้า ความสัมพันธ์ควันธูปนั้นยังพอมี แต่ความแค้นส่วนตัวกลับไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นเรื่องของการขอขมาคงไม่กล้ารบกวนใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรา เดี๋ยวข้าทำให้เอง”
เยี่ยนหมิงลุกขึ้นยืน “เรื่องชดใช้เงิน ข้าเยี่ยนหมิงถือว่าพอจะมีกำลังทรัพย์อยู่บ้าง ข้าเยี่ยนหมิงจะเป็นคนชดใช้ให้จนกว่าจะพอใจเอง”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ
เรื่องในคืนนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของนางไปมากมายเหลือเกินแล้ว
เฉินผิงอันจึงย้ายสายตามามองนาง “อย่าให้คนนอกเห็นเรื่องตลก หน้าตาของข้านั้นไม่ได้สำคัญ แต่หน้าตาของน่าหลันเซาเหว่ยกลับมีค่า”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนจึงได้แต่ลุกขึ้นยืนช้าๆ
เฉินผิงอันไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป แม้ว่าจะยังค้างอยู่ในท่าที่ดูเกียจคร้านนั้น แต่กลับจ้องเขม็งไปยังผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ทำการค้ามามากผู้นี้เขม็ง
น่าหลันไฉ่ฮ่วนจึงได้แต่ข่มใจไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ที่นั่งนี่วางผิดที่ไปหน่อยหรือไม่ เจ้าน่าหลันไฉ่ฮ่วนควรจะย้ายไปนั่งฝั่งนั้นไหม?”
สายตาของน่าหลันไฉ่ฮ่วนเฉียบคม กำลังจะเปิดปากพูด
เซียนกระบี่เกาขุยกลับลุกขึ้นยืน หันหน้ามามองน่าหลันไฉ่ฮ่วน
เดิมทีน่าหลันไฉ่ฮ่วนเตรียมจะเรียกชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ ออกมาตรงๆ เวลานี้จึงรีบกลืนคำพูดแต่ละคำกลับลงท้องไปทันที
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันนี้
กลับยิ่งทำให้พวก ‘คนนอก’ อย่างอู๋ฉิวรู้สึกขนพองสยองเกล้า
อิ่นกวานหนุ่มที่ปากบอกว่าตัวเองเป็น ‘คางคกขึ้นวอ’ ผู้นี้ คิดจะตัดสินใจอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่ตนก็จะฆ่าไปด้วยจริงๆ หรือ?
จะใช่คางคกขึ้นวอกหรือไม่ บอกได้ยาก
แต่จิตใจของคนหนุ่มผู้นี้ช่างอำมหิตชั่วร้ายยิ่งนัก!
ส่วนคำบอกที่ว่าได้กุมอำนาจใหญ่นั้น ก็เป็นเรื่องจริงแท้ที่ไม่ได้เอ่ยอย่างส่งเดชแม้แต่น้อย