บทที่ 1312 จ่ายมาซะดี ๆ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,312 จ่ายมาซะดี ๆ

แต่มองไปมองมาชักจะเหมือนขนหน้าแข้งมากกว่าเส้นผมบนศีรษะ

คำถามสำคัญก็คือมีขนหน้าแข้งมาลอยอยู่ในหอคอยผู้พิชิตได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินหรี่ตาใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง

มันคงไม่ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลหรอก

ต้องเป็นส่วนหนึ่งในการวัดพลังความแข็งแกร่งแน่นอน

เด็กหนุ่มนึกถึงเรื่องเล่าอุทาหรณ์ที่เคยอ่านในอินเทอร์เน็ต ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินทางไปสมัครงาน ระหว่างการสัมภาษณ์งานเขามองไม่เห็นม้วนกระดาษทิชชู่ที่ตกอยู่ข้างถังขยะ สุดท้ายจึงเป็นเหตุให้ไม่ผ่านการสัมภาษณ์ เพราะผู้สัมภาษณ์ถือว่าเขาขาดความใส่ใจในรายละเอียดมากเกินไป

ขนหน้าแข้งเส้นนี้ก็น่าจะเปรียบดั่งกระดาษทิชชู่ม้วนนั้น

บรรดาผู้เข้ารับการทดสอบที่ได้คะแนนต่ำเตี้ย คงเป็นเพราะมองไม่เห็นขนหน้าแข้งเส้นนี้เอง สุดท้ายจึงถูกหอคอยผู้พิชิตส่งตัวกลับออกไปอย่างโกรธแค้น

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ

อุ๊วะฮ่า ๆๆ เป็นลูกไม้ที่น่าเบื่อเหลือเกิน

หอคอยผู้พิชิตอาจจะหลอกผู้อื่นได้ แต่หลอกเขาไม่ได้เด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

แต่ขนหน้าแข้งเส้นนี้มีเอาไว้ทำอะไรล่ะ?

ระหว่างที่คิดอยู่นี้ หลินเป่ยเฉินก็ยื่นมือออกไปหยิบขนหน้าแข้งเส้นนั้นมาสำรวจดู

หืม?

เป็นเพียงขนหน้าแข้งธรรมดาเท่านั้น

ไม่มีสิ่งใดพิเศษ

แล้วมันมีไว้ทำอะไร?

หลินเป่ยเฉินสังเกตอย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้น หมวกเหล็กอมตะที่เขาหนีบเอาไว้กับซอกแขนก็ปรากฏแสงสว่างเรืองรอง ทำให้มองเห็นอักขระโบราณที่ถูกแกะสลักอยู่เรืองแสงขึ้นมาไม่ต่างไปจากถุงมือทองคำ

“หรือว่าคนที่สร้างหมวกเหล็กใบนี้ขึ้นมาจะเป็นคนเดียวกับที่สร้างถุงมือข้างนั้น?”

“หรือว่าเจ้าของหมวกใบนี้กับเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างจะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน?”

หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดและตัดสินใจสวมหมวกเหล็กลงบนศีรษะ

เอ่อ…

ใหญ่ไปหน่อยแฮะ

เอ๊ะ?

ทำไมมันถึงเล็กลงแล้วล่ะ?

อันที่จริง หมวกเหล็กอมตะมีขนาดใหญ่มากกว่าศีรษะของหลินเป่ยเฉินพอสมควร แต่เมื่อเขาสวมใส่มัน หมวกเหล็กก็ย่อขนาดลงจนพอดีกับศีรษะของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

หลินเป่ยเฉินลองสะบัดศีรษะแรง ๆ

สวมใส่สบาย

ไม่กดใบหูแม้แต่น้อย

ไม่หนักอีกด้วย

เมื่อได้สวมใส่หมวกเหล็กเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นหลายเท่า

“ทำไมขั้นตอนการวัดพลังยังไม่เริ่มอีก?”

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความแปลกใจ

เขาจำได้ว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ เข้ามาอยู่ในนี้ไม่กี่ลมหายใจ การวัดพลังก็เสร็จสิ้นลง

นี่เขารอมานานแล้วนะ

เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ มวลอากาศรอบกายก็เกิดความปั่นป่วนรุนแรง

บังเกิดแรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้ามาจากรอบทิศทาง

“เชี่ย เราจะถูกส่งออกไปแล้วสินะ….”

“จบกัน สงสัยได้คะแนนน้อยแหง ๆ”

“ดูเหมือนเราคงต้องแพ้ให้กับพานตั่วชิงซะแล้ว”

“ว่าแต่ขนหน้าแข้งเส้นนี้มีไว้ทำอะไรวะ”

หลายความคิดผุดขึ้นในสมอง

ลมหายใจต่อมา ภาพเบื้องหน้าก็เกิดความเปลี่ยนแปลง

ความเวิ้งว้างว่างเปล่าสลายหายไป แสงสว่างจำนวนมากที่สาดส่องเข้ามาทำให้หลินเป่ยเฉินแสบตา

แต่เมื่อสายตาของเขาปรับตัวได้แล้ว หลินเป่ยเฉินจึงทราบว่าตนเองกลับมาอยู่ในงานเลี้ยงเบิกฟ้าอีกครั้ง

ห้องโถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบ

ไม่ต่างจากสุสานยามเที่ยงคืน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกกระทบพื้น

ทุกคนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาว่างเปล่า

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของพวกเขากระตุกระริก ไม่ต่างจากผีดิบที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากหลุมฝังศพและกำลังพยายามปรับตัวกับการเคลื่อนไหวอีกครั้ง

แม้แต่ใต้เท้าหมิงรั่วผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ก็ยังมีสีหน้าตกตะลึง จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ

“เจ้า…”

พานตั่วชิงพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น เนื้อตัวของเขาก็สั่นเทา ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

หลินเป่ยเฉินพบว่าบรรยากาศแปลกประหลาดมากเกินไป

สิ่งแรกที่เขาทำคือหันหน้ามองไปยังมาตรวัดคะแนนของหอคอยผู้พิชิต

หลังจากนั้น กลายเป็นเขาเองที่ต้องตกตะลึง

เพราะขีดพลังที่อยู่บนมาตรวัดคะแนนกำลังเรืองแสงสว่างไสวสวยงามครบทุกขีด

หลินเป่ยเฉินวัดพลังได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม?

นี่เขาสามารถทำได้อย่างไร?

ในใจของเด็กหนุ่มเกิดคำถามขึ้นมากมาย

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็นึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง…

ไม่สำคัญหรอกว่าเขาทำได้อย่างไร

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือนอกจากหลินเป่ยเฉินจะได้รับของรางวัลทั้งสองอย่างนั้นแล้ว เขาก็กำลังจะได้รับศิลาเทวะเป็นจำนวนมหาศาลอีกด้วย

ตื่นเต้นมาก

หลินเป่ยเฉินตื่นเต้นมากจริง ๆ

แต่ว่า…

ต้องรักษาภาพลักษณ์สักหน่อย

นิ่ง ๆ ไว้

จะออกอาการมากไม่ได้

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก

นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเบิกฟ้า เขาก็สามารถเอาชนะยอดอัจฉริยะทุกคน คว้าของรางวัลที่ล้ำค่าที่สุดประจำค่ำคืน และยังสามารถชนะการเดิมพันได้ศิลาเทวะมาครอบครองอีกหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อน ไม่ทราบว่าเคยมีผู้ใดกระทำได้เช่นเขาบ้างหรือไม่?

น่าเสียดายที่โทรศัพท์มือถือของหลินเป่ยเฉินไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกมนุษย์ใบเก่าได้ มิฉะนั้นแล้ว เขาคงอัปเรื่องนี้ลงทุกสื่อโซเชียลของตนเองเพื่อประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้กันอย่างทั่วถึง

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาช้า ๆ และจ้องมองไปที่พานตั่วชิง

“เจ้าเคยบอกว่าจะทำให้ข้ารู้สึกหมดหวัง”

เด็กหนุ่มค่อย ๆ จุดบุหรี่มวนใหม่ “แต่บัดนี้ เจ้าคงรับทราบได้ถึงความรู้สึกนั้นแล้วกระมัง?”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของพานตั่วชิงสั่นกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

“เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไร?”

พานตั่วชิงพูดออกมาเสียงดังกังวาน

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”

เพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

“นี่มันเป็นไปไม่ได้…”

ในที่สุด พานตั่วชิงก็สามารถรวบรวมสติกลับคืนมา คำรามด้วยความโกรธแค้น “เจ้าจะวัดได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็มได้อย่างไร… เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็มีสีหน้าดุดันขึ้นมา “เจ้าคิดจะผิดคำสัญญาใช่หรือไม่?”

บัดนี้ บรรดาผู้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงเรียกสติกลับคืนมาได้หมดสิ้น

นี่คือเหตุการณ์ที่เหนือจริงมากเกินไป

เพราะทันทีที่เจี๋ยนเซียวเหยาเข้าสู่หอคอยผู้พิชิต ขีดพลังบนมาตรวัดก็เรืองแสงขึ้นไม่หยุดยั้ง…

พวกเขารู้สึกว่าที่เจี๋ยนเซียวเหยาวัดพลังได้หนึ่งร้อยคะแนนนั้น ก็เพราะมาตรวัดพลังของหอคอยมีขีดระดับสูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยคะแนน หากมาตรวัดพลังมีขีดคะแนนมากกว่านี้ เจี๋ยนเซียวเหยาก็จะต้องได้สามร้อยหรือสี่ร้อยคะแนนอย่างไม่มีปัญหา

แข็งแกร่งเกินไป

“ข้าไม่ได้คิดที่จะผิดคำสัญญา แต่ว่าเจ้า… เจ้า…”

พายุอารมณ์โหมกระหน่ำใส่หัวใจของพานตั่วชิง

เขาใช้เส้นผมที่เตรียมมาเป็นเครื่องมือโกงการวัดพลัง และลอบได้รับการช่วยเหลือจากใต้เท้าหมิงรั่วจนได้เก้าสิบเก้าคะแนน… ความจริง งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อเปิดฉากความยิ่งใหญ่ของเขาโดยเฉพาะ

แต่ถึงกระนั้น พานตั่วชิงก็ยังไม่ได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม

แล้วเจี๋ยนเซียวเหยาสามารถทำได้อย่างไร?

ขี้โกง!

เจี๋ยนเซียวเหยาต้องโกงการวัดคะแนนแน่ ๆ

“เจ้าคิดจะกล่าววาจาเหลวไหลอะไรอีก”

หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาข้างหน้า “เจ้าแพ้การเดิมพันแล้ว จ่ายศิลาเทวะหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อนนั้นมาซะดี ๆ”

“เจ้าโกงการวัดคะแนน”

พานตั่วชิงระเบิดเสียงคำรามออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ “เจ้าต้องโกงแน่นอน”

“โกงมารดาเจ้าเถอะ”

สีหน้าของหลินเป่ยเฉินยิ่งแสดงความดุดันออกมามากขึ้น “รีบจ่ายมาได้แล้ว”

หลังจากนั้น เขาก็กล่าวเสริมอีกประโยคว่า “หากไม่จ่าย ข้าจะฆ่าเจ้าจริง ๆ ด้วย”

เรื่องนี้หลินเป่ยเฉินเป็นผู้กำหนด เขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาผู้ใดอีก

ความจริงในขณะนี้ ผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากก็เริ่มโน้มเอียงมาอยู่ฝั่งเดียวกับหลินเป่ยเฉิน และเข้าใจว่าพานตั่วชิงต้องการผิดคำสัญญาเพราะไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้

“หอคอยผู้พิชิตเป็นเทพเจ้าระดับสูงจากสภาสร้างขึ้นมาเองกับมือ แล้วผู้ใดจะสามารถแทรกแซงผลการวัดคะแนนได้?”

“ใช่ ข้าก็ต้องการพูดเช่นนั้นเหมือนกัน”

“พอมีคนสามารถเอาชนะตนเองได้ ก็เที่ยวกล่าวหาว่าผู้อื่นโกงการทดสอบ ถ้าอย่างนั้น ตัวเขาเองก็คงโกงการทดสอบเหมือนกันน่ะสิ”

“ในเมื่อยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ แล้วจะเดิมพันตั้งแต่แรกทำไม”

“เป็นนักรบชื่อดังจากเผ่าเทพตะวันเสียเปล่า ช่างไร้ค่าสิ้นดี”

หลายเสียงที่พูดคุยกันด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามลอยมาถึงหูของพานตั่วชิง

บุรุษหนุ่มรู้สึกสมองมึนงง

ใช่แล้ว นี่คืองานเลี้ยงเบิกฟ้า

นี่คืองานเลี้ยงใหญ่ที่จะจัดขึ้นทุก ๆ หกสิบปีเท่านั้น

กฎต้องเป็นกฎ

เมื่อเขาตั้งคำถามกับการวัดคะแนนของเจี๋ยนเซียวเหยา นั่นก็หมายความว่าพานตั่วชิงกำลังตั้งคำถามกับเทพเจ้าระดับสูงผู้สร้างหอคอยผู้พิชิตใช่หรือไม่?