บทที่ 1313 เพื่อที่จะได้รอดชีวิต

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,313 เพื่อที่จะได้รอดชีวิต

“เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าได้หนึ่งร้อยคะแนนได้อย่างไร?”

พานตั่วชิงไม่สามารถควบคุมความผิดหวังของตนเองได้อีกต่อไป จึงถามออกมาเสียงดังสนั่น

หลินเป่ยเฉินยักไหล่อย่างไม่แยแส “ข้าจำเป็นต้องอธิบายให้เจ้าฟังด้วยหรือ?”

“ไม่ใช่อธิบายให้ข้าฟัง”

พานตั่วชิงกวาดตามองผู้คนรอบกายและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่เป็นอธิบายให้ทุกคนรับฟัง พวกเราต่างก็มีสิทธิ์ที่จะได้รู้ความจริง”

กลุ่มคนในห้องโถงใหญ่จ้องมองตรงไปที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

พวกเขาเองก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน

พวกเขาอยากรู้ว่าเจี๋ยนเซียวเหยาสามารถทำได้หนึ่งร้อยคะแนนได้อย่างไร

เพราะนี่คือเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากเกินไป

“งั้นทำไมเจ้าถึงได้เก้าสิบเก้าคะแนนล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะถามกลับไป

“เจ้า…”

พานตั่วชิงแค่นหัวเราะตอบกลับมา “อย่าได้คิดเปลี่ยนเรื่อง”

“เฮอะ”

หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าด้วยความระอาใจ “เจ้าต่างหากอย่าได้คิดเปลี่ยนเรื่อง… ยังไม่รีบนำศิลาเทวะมามอบให้ข้าอีก”

พานตั่วชิงทั้งร้อนรนทั้งโกรธแค้น

เดิมที เขาตั้งใจเดิมพันเพื่อหวังที่จะบดขยี้ภาพลักษณ์และความมั่นใจของหลินเป่ยเฉิน

เพราะพานตั่วชิงคิดว่าตนเองไม่มีทางแพ้เด็ดขาด

เนื่องจากการวัดพลังในงานเลี้ยงประจำค่ำคืนนี้ ถูกจัดขึ้นเพื่อพานตั่วชิงโดยเฉพาะ

เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้เข้ารับการทดสอบ แต่เขาคือผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้ชนะ

ในเมื่อกรรมการอยู่ฝ่ายเดียวกับนักกีฬา แล้วเขาจะสามารถแพ้ได้อย่างไร?

แต่ที่ไหนได้ เจี๋ยนเซียวเหยากลับสามารถวัดพลังออกมาได้มากกว่าตัวเขาเอง

นี่คือสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเลย

พานตั่วชิงคิดไม่ตกว่าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

เพราะเหตุใด เจี๋ยนเซียวเหยาจึงได้หนึ่งร้อยคะแนน

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพยายามบังคับให้เจี๋ยนเซียวเหยาพูดออกมา

“ประเสริฐ”

พานตั่วชิงสูดหายใจลึก “เจ้าบอกทุกคนก่อนสิว่าได้หนึ่งร้อยคะแนนได้อย่างไร แล้วข้าจะนำศิลาเทวะทั้งหมดออกมามอบให้กับเจ้า”

หลินเป่ยเฉินหมุนมือวูบ

กระบี่เพลิงโลกันตร์พลันปรากฏขึ้นในมือของเขา

“เจ้าเห็นกระบี่เล่มนี้หรือไม่?”

เปลวไฟลุกโชนสว่างไสวทั่วตัวหลินเป่ยเฉินขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ในสัญญาลงนามของพวกเราไม่ได้ระบุถึงเรื่องนี้ไว้ เจ้าอย่าได้บังคับข้าดีกว่า หากเจ้าไม่มอบศิลาเทวะออกมา ข้าก็คงต้องฆ่าเจ้าแล้ว”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง

วูบ!

หมวกเหล็กอมตะที่ลอยอยู่ข้างหอคอยผู้พิชิตนั้นกลับพุ่งเข้ามาครอบทับลงบนศีรษะของหลินเป่ยเฉินและปรับขนาดให้พอดีกับศีรษะของเขาได้อย่างน่ามหัศจรรย์

ลำแสงสีทองเป็นประกายระยิบระยับ

ศีรษะของหลินเป่ยเฉินระเบิดลำแสงเจิดจ้า

“นี่มันอะไรกัน?”

“หมวกเหล็กอมตะได้เลือกเจ้านายของมันแล้ว”

“เขาชนะ เขาชนะแล้ว…”

ในห้องโถงใหญ่เกิดเสียงอุทานดังต่อเนื่อง

นี่มันมากเกินไปแล้ว

เจี๋ยนเซียวเหยาได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็มยังไม่พอ หมวกเหล็กอมตะถึงกับเสนอตัวพุ่งเข้ามาสวมใส่ลงบนศีรษะของเขาเองเลยหรือนี่?

กุหลาบเทวะเจียงรั่วไป๋มีสีหน้าตกตะลึง

ต่อให้เป็นคนโง่ก็ต้องดูออกว่าเจี๋ยนเซียวเหยาสามารถวัดพลังได้หนึ่งร้อยคะแนนจริง ๆ

บางทีสำหรับพานตั่วชิงการที่เขาได้เก้าสิบเก้าคะแนนก็เพราะว่าเขามีความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ ในขณะที่เจี๋ยนเซียวเหยาวัดได้หนึ่งร้อยคะแนน อาจเป็นเพราะมาตรวัดของหอคอยมีคะแนนสูงสุดเพียงหนึ่งร้อยคะแนนนั่นเอง

ความแข็งแกร่งแตกต่างกันมากเกินไป…

เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว หญิงสาวก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้

ฮั่วเซี่ยจ้องมองหลินเป่ยเฉินอย่างพินิจพิจารณา

ในเวลานี้ หลินเป่ยเฉินปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์จากร่างกาย ทำให้หัวใจของฮั่วเซี่ยเต้นไม่เป็นจังหวะ เขากำลังชั่งใจอยู่ว่าหากนำถ่อไม้ไผ่คู่ใจตนเองแทงใส่เจี๋ยนเซียวเหยา เขาจะพอมีโอกาสสังหารปีศาจน้อยได้หรือไม่?

จุ่ยถูลุกขึ้นยืนแกว่งแขนอย่างไม่มีเหตุผล นิ้วมือของเขาสัมผัสกับพื้นหิน ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากศิลาแตกร้าวฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง…

หลี่อี้เทียนเด็กสาวร่างบางผู้อ่อนหวาน

นักฆ่าแมวเหมียวในชุดเสื้อคลุมสีดำ

รวมไปถึงผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ

ขณะนี้ ทุกคนต่างก็กำลังประเมินความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินอยู่ในใจ และอดไม่ได้ที่จะนำมาเทียบกับความแข็งแกร่งของตนเอง เพื่อคำนวณถึงความเป็นไปได้ว่าหากต้องเผชิญหน้ากับเจ้าปีศาจน้อยคนนี้ ตนเองจะมีโอกาสชนะมากน้อยเพียงใด

ซึ่งผลสรุปส่วนใหญ่ที่ออกมาก็ทำให้พวกเขามีใบหน้าซีดขาวแล้ว

มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มั่นใจว่าตนเองสามารถเอาชนะเจี๋ยนเซียวเหยาได้

“บังอาจนัก”

ทันใดนั้น ใต้เท้าหมิงรั่วผู้นิ่งเงียบด้วยความตกตะลึงก็ส่งเสียงออกมาในที่สุด

“เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้ากล้ามาก่อเรื่องในงานเลี้ยงเบิกฟ้าเชียวหรือ?”

พลังกดดันจากใต้เท้าหมิงรั่วกระจายตัวครอบคลุมห้องโถงใหญ่

ระหว่างที่พูด ตัวคนก็ลุกขึ้นยืน

เว้นแต่เพียงเจ้าอ้วนผู้เดียว คนอื่น ๆ ในห้องโถงใหญ่ต่างก็หวาดหวั่นไปกับกิริยาท่าทางของใต้เท้าหมิงรั่ว

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ

ไอ้หมอนี่มันเลือกข้างแล้วนี่หว่า

หลินเป่ยเฉินแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ถามกลับไปว่า “ข้าน้อยเพียงปกป้องศักดิ์ศรีของเทพเจ้าผู้สร้างหอคอยผู้พิชิต พานตั่วชิงไม่ยอมทำตามคำสัญญาที่ได้ลงนามเอาไว้ ใต้เท้าเองก็เห็นกับตาว่าพวกเราลงนามในสัญญาอะไรบ้างก่อนหน้านี้ แต่เมื่อพ่ายแพ้การแข่งขัน เขากลับใส่ร้ายป้ายสีข้าน้อยว่าโกงการวัดพลัง นั่นเท่ากับเป็นการดูหมิ่นเทพเจ้าผู้สร้างหอคอยผู้พิชิต ความผิดใหญ่หลวงในครั้งนี้ จึงต้องไถ่โทษด้วยความตายสถานเดียว”

ใต้เท้าหมิงรั่วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ในงานเลี้ยงเบิกฟ้า ห้ามไม่ให้ผู้เข้าแข่งขันโจมตีกันเอง”

“แต่พานตั่วชิงดูหมิ่นเทพเจ้าระดับสูง”

หลินเป่ยเฉินยึดประเด็นนี้เป็นหลักสำคัญ “หรือว่าใต้เท้าหมิงรั่วเห็นว่าศักดิ์ศรีของเทพผู้สร้างหอคอยผู้พิชิตมีค่าต่ำต้อยกว่าตัวแทนจากเผ่าเทพตะวันขอรับ?”

ใต้เท้าหมิงรั่วมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที

เรื่องราวนี้หากพูดผิดแม้แต่คำเดียว ตนเองก็อาจเดือดร้อนถึงขั้นชีวิตดับสูญ

แต่ในงานเลี้ยงเบิกฟ้าที่มีแขกเข้าร่วมงานกว่าสี่สิบสองชีวิต เจี๋ยนเซียวเหยากล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาถึงเช่นนี้ หากใต้เท้าหมิงรั่วไม่ทำอะไรเลยก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่อีกเช่นกัน

“พานตั่วชิง หอคอยผู้พิชิตไม่มีทางวัดผลคะแนนผิดพลาด…เจ้าแพ้แล้ว”

ใต้เท้าหมิงรั่วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ข้าขอประกาศว่าของรางวัลประจำค่ำคืนนี้ตกเป็นของเจี๋ยน…”

“ช้าก่อนขอรับ”

พานตั่วชิงส่งเสียงแทรกขึ้นมาอีกครั้ง

นี่ทำให้ใต้เท้าหมิงรั่วรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะถูกทางเบื้องบนกำหนดมาให้เป็นผู้ชนะ แต่ด้วยพฤติกรรมที่ก้าวร้าวเช่นนี้ ถือว่าขาดความเคารพต่อเขามากเกินไป

“เจ้ามีอะไรจะพูด?”

ใต้เท้าหมิงรั่วข่มความไม่พอใจหันไปมองหน้าพานตั่วชิง

“กราบเรียนใต้เท้า เจี๋ยนเซียวเหยาผู้นี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการแข่งขันขอรับ”

พานตั่วชิงเดินไปหยุดยืนหน้าบัลลังก์ใหญ่ ก้มศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพูดแก่ผู้คนในงานเลี้ยงเบิกฟ้าว่า “เมื่อสามวันที่แล้ว เจี๋ยนเซียวเหยาก่อเหตุสังหารหมู่คนจากเผ่าเทพตะวันกลางเมืองเยี่ยเฉิงอย่างไม่มีเหตุผล นี่ถือเป็นการละเมิดกฎเมืองอย่างร้ายแรง และตามกติกาของการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ เขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันและไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้เช่นกัน…”

กล่าวจบ พานตั่วชิงก็นำศิลาบันทึกภาพออกมาฉายเหตุการณ์ที่ตนเองกำลังเอ่ยถึง

ภาพเหตุการณ์ถูกฉายในอากาศอย่างรวดเร็ว

มันเป็นเหตุการณ์ในค่ำคืนที่หลินเป่ยเฉินเข้าไปช่วยเหลือตัวประหลาดและสังหารกลุ่มผู้ไล่ล่าจากเผ่าเทพตะวันกลางถนนร้าง

เมื่อทุกคนเห็นภาพนั้น สีหน้าก็แสดงความตกตะลึงออกมา

แม้ในภาพจะเป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมองเห็นไม่ชัดเจน แต่รูปแบบการต่อสู้นั้นเป็นรูปแบบเฉพาะตัวของหลินเป่ยเฉินเพียงไม่ถึงสิบลมหายใจ กลุ่มนักรบเทวะระดับสูงจากเผ่าเทพตะวันก็ล้มลงตายเกลื่อนกลาดพื้นถนน…

แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน แต่จิตสังหารก็ยังคงแผ่ออกมาจากภาพเหตุการณ์ในศิลาบันทึกภาพก้อนนี้อย่างแรงกล้า

นี่ทำให้ใครหลายคนตัวสั่นเทา

“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ”

พานตั่วชิงหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าตนเองกระทำเรื่องชั่วร้ายถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้อย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าโง่ เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”

“สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดนั้นเรียบง่ายมาก”

พานตั่วชิงหัวเราะในลำคอ “ในเมื่อเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ตั้งแต่แรก ผลคะแนนที่เจ้าวัดได้จากหอคอยผู้พิชิตจึงถือเป็นโมฆะ เจ้าไม่มีสิทธิ์ได้รับหมวกเหล็กอมตะ… เพราะฉะนั้น ข้าจึงอยากแนะนำให้เจ้าส่งหมวกเหล็กอมตะใบนั้นมาซะ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ”

หลินเป่ยเฉินยังคงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ไม่มีท่าทีของความโกรธแค้นแม้แต่นิดเดียว

“ข้าประเมินเจ้าสูงส่งเกินไปจริง ๆ…”

หลินเป่ยเฉินยกกระบี่เพลิงโลกันตร์ขึ้นมาพาดขวางระดับหน้าอกและยอมรับหน้าตาเฉยว่า “ใช่แล้ว ข้าคือผู้สังหารนักรบเทวะเศษสวะเหล่านั้นเอง ข้าไม่สนใจหรอกว่าตนเองมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้หรือไม่ แต่เจ้าแพ้การเดิมพัน เจ้าต้องมอบศิลาบูชามาให้ข้าเสียดี ๆ มิฉะนั้น เจ้าจะไม่ได้กลับออกไปจากงานเลี้ยงเบิกฟ้าอย่างมีชีวิต…. ข้าขอบอกเลยว่าไม่มีผู้ใดจะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้อีกแล้ว”