บทที่ 1315 หลักฐานแน่นหนา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,315 หลักฐานแน่นหนา

“เจ้า…”

ใต้เท้าหมิงรั่วหยุดชะงัก

จากแววตาของหลินเป่ยเฉิน ใต้เท้าหมิงรั่วสามารถบอกได้เลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่คิดไว้หน้าเขาอีกแล้ว

ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้หยุดการทะเลาะวิวาทระหว่างหลินเป่ยเฉินกับพานตั่วชิง เพราะใต้เท้าหมิงรั่วอยากจะยืมมือหลินเป่ยเฉินสั่งสอนพานตั่วชิงให้มีความเคารพต่อตนเองบ้าง

แต่ใครจะไปคิดเลยว่าสถานการณ์กลับบานปลายมาถึงขั้นนี้

“ข้ามีอะไรจะแนะนำเจ้า… สำหรับกับศิลาเทวะหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อน เจ้าอย่าได้นำอนาคตของตนเองมาทิ้งเช่นนี้เลย”

น้ำเสียงของใต้เท้าหมิงรั่วอ่อนโยนลง

“ใต้เท้าคิดว่าข้าทำเพื่อศิลาเทวะหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อนนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินกล่าวตอบกลับมาเสียงดังกังวานด้วยความฉุนเฉียว “ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะพานตั่วชิงดูหมิ่นเทพเจ้าระดับสูงต่างหาก… วันนี้ไม่มีใครจะมาขวางข้าได้อีก หากพานตั่วชิงไม่มอบศิลาเทวะออกมา ข้าก็จะฆ่ามันซะ พวกเราลงนามในสัญญาเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็เอาผิดข้าไม่ได้”

กล่าวจบ เด็กหนุ่มก็เพิ่มน้ำหนักมือกดลงไปที่ด้ามจับกระบี่มากขึ้น

จึก! จึก!

แกร๊ง!

ปลายกระบี่เพลิงโลกันตร์ค่อย ๆ ทิ่มแทงลงไปในหน้าอกของพานตั่วชิง

เสียงกระบี่ทิ่มทะลุเนื้อหนัง เสียงกระบี่เสียดสีกับชุดเกราะเหล็ก เสียงกระบี่แทงผ่านกระดูก…

เสียงเหล่านี้ผสมรวมกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในบรรยากาศที่เงียบสงัด

ผู้คนอดรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาไม่ได้ หัวใจสั่นไหวเต้นไม่เป็นจังหวะ

“อ๊าก…”

พานตั่วชิงร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

ในที่สุด ความโกรธแค้นของเขาก็สลายหายไป

สติสัมปชัญญะกลับคืนมา

เมื่อเห็นดวงตาที่ปรากฏความดุดันอำมหิตภายใต้หน้ากากของหลินเป่ยเฉิน พานตั่วชิงก็รู้ได้โดยทันทีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีเจตนาฆ่าเขาจริง ๆ

ดังนั้น พานตั่วชิงจึงหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว

คนเราเมื่อเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้น ความหวาดกลัวนั้นก็จะกลืนกินทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว

“หยุดเถอะ ข้ายอมแล้ว…”

พานตั่วชิงรู้สึกได้ถึงเปลวไฟร้อนผ่าวที่เผาผลาญจากบาดแผล มันเป็นเปลวไฟที่ร้อนแรงมากพอจะเผาไหม้เขาให้กลายเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าต่อตาเจี๋ยนเซียวเหยาผู้นี้

“ทำไมอ่อนแอถึงเพียงนี้?”

หลินเป่ยเฉินชักกระบี่กลับออกไป

ฟู่!

โลหิตพุ่งกระฉูดออกจากบาดแผล

พานตั่วชิงรีบดีดกายลุกขึ้นยืน ตัวสั่นเทา สีหน้าปรากฏทั้งความโกรธแค้นและความหวาดกลัว

สุดท้าย เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจ่ายศิลาเทวะเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อน

และต้องจ่ายโดยทันทีด้วย

หลินเป่ยเฉินอดตกตะลึงไม่ได้

เผ่าเทพตะวันร่ำรวยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

พานตั่วชิงพกศิลาเทวะนับหมื่นก้อนติดตัวอยู่จริง ๆ

ศิลาเทวะหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อน มีค่าเท่ากับคะแนนศรัทธาหนึ่งร้อยสิบล้านแต้ม

“หากเจ้าทำตัวเชื่อฟังตั้งแต่แรกก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

หลินเป่ยเฉินเก็บศิลาเทวะเหล่านั้นก่อนจะกระโดดเตะพานตั่วชิงลอยกระเด็นออกไป “ชอบทำให้ข้าอารมณ์เสียอยู่เรื่อย”

พลั่ก!

พานตั่วชิงร่วงหล่นกระแทกพื้นหินห่างออกไปไกลหลายวา สภาพสะบักสะบอมน่าอนาถใจ

เขาไม่พูดคำใด ได้แต่โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเอง และกลืนเม็ดยาเข้าไปหลายเม็ดครั้งแล้วครั้งเล่า

เพียงพริบตาเดียว อาการบาดเจ็บของพานตั่วชิงก็หายดี

ผู้คนจำนวนมากจ้องมองไปที่พานตั่วชิงด้วยความเวทนา

หลังเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป ภาพลักษณ์ของหอกแห่งตะวันก็พังทลายย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี

อาศัยเพียงการแพ้เดิมพันต่อเจี๋ยนเซียวเหยา นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้พานตั่วชิงไม่สามารถโงหัวขึ้นมาสู้หน้าผู้ใดไปอีกนาน

แต่ที่สำคัญก็คือการประลองฝีมือกันเมื่อสักครู่ เขาพ่ายแพ้ให้แก่เจี๋ยนเซียวเหยาอย่างราบคาบ มิหนำซ้ำ ยังกลัวตายจนต้องยอมจ่ายศิลาเทวะออกไป ทั้งหมดนี้นับเป็นการกระทำที่ส่งผลให้เผ่าเทพตะวันอับอายขายหน้ายิ่งนัก

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าใต้เท้าหมิงรั่วและไต่ถามว่า “ยังมีคัมภีร์ไพรีดารารายอีก ไม่ทราบว่าใต้เท้าสมควรมอบให้ข้าแล้วไม่ใช่หรือ?”

ในฐานะผู้ชนะการวัดพลังความแข็งแกร่ง หลินเป่ยเฉินจึงมีสิทธิ์ที่จะทวงถามของรางวัลของเขา

แต่ใต้เท้าหมิงรั่วกลับส่ายศีรษะ “ข้ามอบให้เจ้าไม่ได้หรอก… อีกอย่าง เจ้ารีบคืนหมวกเหล็กอมตะมาเสียดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หืม? คิดจะให้ข้าคืนของรางวัลอย่างนั้นหรือ… รบกวนใต้เท้าบอกเหตุผลด้วย”

ดวงตาของใต้เท้าหมิงรั่วเป็นประกายวูบวาบอย่างเย้ยหยัน “ที่เมื่อสักครู่ข้าไม่ได้ห้ามการต่อสู้ ก็เพราะพวกเจ้าได้ลงนามในสัญญากันเอาไว้ การต่อสู้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการคุ้มครองสัญญาเทวะ และเจ้าก็อาศัยความแข็งแกร่งของตนเองจนได้รับศิลาเทวะเหล่านั้นมาในที่สุด แต่ว่า…”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ใต้เท้าหมิงรั่วก็หยุดชะงักเล็กน้อย

เขาหันกลับไปมองที่พานตั่วชิงซึ่งยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ก่อนจะหันกลับมามองที่หลินเป่ยเฉินอย่างช้า ๆ และกล่าวว่า “แต่เจ้าได้สังหารหมู่นักรบเทวะระดับสูงของเผ่าเทพตะวัน มิหนำซ้ำยังมีหลักฐานแน่นหนา พานตั่วชิงกล่าวถูกต้องทุกประการ เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่แรก เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงเบิกฟ้าในค่ำคืนนี้ ฮ่า ๆๆ ต่อให้เจ้าวัดพลังได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับของรางวัลอีกแล้ว”

สีหน้าของบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างก็แสดงออกไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘เป็นเช่นนี้จริง ๆ ด้วย’

“ดูเหมือนใต้เท้าหมิงรั่วจะยังคงอยู่ข้างเดียวกับพานตั่วชิงสินะ”

“ใต้เท้าหมิงรั่วไม่ปล่อยเจี๋ยนเซียวเหยาอีกแล้ว”

“น่าเสียดาย เจี๋ยนเซียวเหยาน่าจะเจิดจรัสได้มากกว่านี้… น่าเศร้าที่เขาทำผิดพลาดใหญ่หลวง”

เสียงพูดคุยดังขึ้นในงานเลี้ยงเบิกฟ้า

ใบหน้าที่สวยงามของฮันลั่วเซวี่ยขณะนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

นักบวชสาวเซียงเหยียนขมวดคิ้วนิ่วหน้า คล้ายกับกำลังคิดหาวิธีเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ แต่หัวคิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างคิดไม่ตก

เจ้าอ้วนยังคงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารพร้อมกับคิดว่า หากอีกไม่นานพี่ใหญ่ต้องถูกขับไล่ออกจากงานเลี้ยง ตนเองก็สมควรรับประทานอาหารให้ได้เยอะมากที่สุด…

หลินเป่ยเฉินมองหน้าใต้เท้าหมิงรั่วก่อนจะหันมามองที่พานตั่วชิง

“น่าสมเพชที่ต้องหาข้อแก้ตัวกันถึงขนาดนี้”

เด็กหนุ่มยิ้มกริ่ม “หึ ๆ ข้าขออธิบายได้หรือไม่? การสังหารหมู่คนของเผ่าเทพตะวันเหล่านั้นล้วนมีเหตุผล”

ใต้เท้าหมิงรั่วส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ไม่ว่าเหตุผลใดก็ไม่อาจลบล้างความผิดใหญ่หลวงของเจ้าได้”

“จริงหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดีดนิ้ว “แล้วถ้าเหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นนี้เล่า?”

ทันใดนั้น ม่านพลังสำหรับการฉายภาพก็ถูกแสดงขึ้นในห้องโถงใหญ่

ภาพเหตุการณ์ที่ถูกฉายออกมามีคุณภาพชัดเจนมากกว่าภาพที่ฉายจากศิลาบันทึกภาพของพานตั่วชิงหลายเท่า

มันเป็นภาพเหตุการณ์ที่เจี๋ยนเซียวเหยาถูกลอบสังหาร หลังจากจัดการมือสังหารเหล่านั้นได้หมดสิ้น ลำแสงสีทองก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ปรากฏเงาร่างที่ถือหอกทองคำอย่างสง่างาม ร่างนั้นโจมตีเข้าใส่เจี๋ยนเซียวเหยาอย่างดุดันอำมหิตหมายจะฆ่าเขาให้ตายดิ้นสิ้นชีวิตอยู่ตรงนั้น…

เงาร่างสีทองคำนั้น…

ดวงตาของผู้คนจำนวนมากหันกลับไปจับจ้องที่พานตั่วชิง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่พยายามลอบสังหารเจี๋ยนเซียวเหยาก็คือพานตั่วชิง

นี่คือความจริงที่ไม่อาจปิดบังซ่อนเร้น

เพราะเมื่อสักครู่นี้ พานตั่วชิงแสดงกระบวนท่าต่อสู้ออกมาระหว่างการปะทะฝีมือกับหลินเป่ยเฉิน ทุกคนเห็นกับตาว่ารูปแบบการโจมตีของเขามีความเหมือนกับรูปแบบการโจมตีของร่างทองคำที่พยายามลอบสังหารเจี๋ยนเซียวเหยาทุกกระเบียดนิ้ว

และไม่ว่าจะเป็นความสง่างามในการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือระดับพลังในการระเบิดลำแสงออกจากหอกทองคำนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเลียนแบบได้เด็ดขาด

สีหน้าของพานตั่วชิงปรากฏความอับอายขึ้นมาในทันที

หากก่อนหน้านี้ไม่ได้ต่อสู้กับเจี๋ยนเซียวเหยาในงานเลี้ยงต่อหน้าผู้คน เขาก็คงพอมีหนทางปฏิเสธได้บ้างว่าตนเองไม่ใช่คนที่อยู่ในภาพเคลื่อนไหว

แต่บัดนี้ พานตั่วชิงไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว

เว้นแต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นบุคคลโง่งมไร้สมอง

แต่สิ่งที่ทำให้พานตั่วชิงคิดไม่ถึงก็คือ ในค่ำคืนนั้นเขาลอบโจมตีอย่างกะทันหัน เจี๋ยนเซียวเหยาจึงไม่มีเวลาได้ทันตั้งตัว แล้วอีกฝ่ายสามารถนำศิลาบันทึกภาพออกมาใช้งานได้อย่างไร?

สีหน้าของใต้เท้าหมิงรั่วก็แข็งค้างไปแล้วเช่นกัน

ในมือของเจี๋ยนเซียวเหยามีหลักฐานที่แน่นหนาเช่นนี้ได้อย่างไร?

เขาหันกลับไปมองที่พานตั่วชิงพลันก็ให้เกิดความรู้สึกว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ช่างเป็นตัวโง่เขลาเบาปัญญา ใต้เท้าหมิงรั่วจึงไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดเบื้องบนถึงเลือกให้บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ชนะ?

“ว่าไง? ถึงกับพูดอะไรไม่ออกกันเลยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้มเย้ยหยัน “ทุกท่านคงรู้แล้วใช่ไหมว่าที่ข้าลงมือเมื่อสักครู่นี้ มิใช่เพราะความโกรธแค้นสักนิดเดียว ฮ่า ๆๆ แต่เป็นข้าตั้งใจหลอกล่อให้พานตั่วชิงแสดงฝีมือออกมา เพื่อเป็นหลักฐานมัดตัวตนเองมากกว่า มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะต้องต่อสู้กับเขานานขนาดนั้นเพื่ออะไร?”

คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของพานตั่วชิงซีดขาวราวกับหิมะ