ตอนที่ 1921 วาสนาอยู่ตรงหน้า

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1921 วาสนาอยู่ตรงหน้า

 

ทรงพลังมาก!

 

ถึงแม้หลิงฮันจะสามารถจัดร่างความทรงจําตรงหน้าได้ด้วยพลังของตนเอง แต่ก็คงไม่ง่ายดายเพียงนี้

 

สมแล้วที่หอคอยสามภพคือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด

 

ยิ่งกว่านั้นพลังที่เขานํามาใช้ก็ยังเป็นเพียงแค่พลังส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากมีข้อจํากัดในระดับพลัง

 

จักรพรรดิใช้เวลาประมือกับร่างความทรงจําอยู่นานสักพัก เนื่องจากนางมีพลังต่อสู้ด้อยกว่าหลิงฮันและไม่มีหอคอยทมิฬ

 

หลังจากมุ่งหน้าต่อไป คู่ต่อสู้คนใหม่ก็ปรากฏตัว

 

“กาลเวลแปรผัน!” หลิงฮันใช้อํานาจแห่งกฎเกณฑ์เวลาของหอคอยทมิฬ ทันทีที่เขาผลักฝ่ามือออกไป ร่างความทรงจําก็สลายหายไปทันที

 

ไม่ใช่ว่ามันถูกบดขยี้ด้วยพลังทําลายอันน่าสะพรึงกลัว แต่มันถูกอํานาจห้วงเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด จากฝ่ามือของเขาเร่งให้เสื่อมสลายไป แน่นอนว่าหากความสามารถนี้ถูกนําไปใช้กับจอมยุทธทั่วไป ย่อมไม่ทําให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีเท่าไหร่

 

นั่นเพราะตัวตนระดับนิรันดร์นั้นมีอายุขัยที่ไร้ขีดจํากัด มีรึที่การเร่งกระแสเวลาจะทําให้พวกเขาแก่ชราและตายได้? ความสามารถนี้จึงสามารถใช้ทําให้การโจมตีหรือทักษะต่างๆ สลายไปเท่านั้น

 

หลังจากนั้น หลิงฮันก็ลองใช้อํานาจแห่งกฏเกณฑ์สังหาร

 

เขาสะบั้นดาบปลดปล่อยปราณพิฆาตทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ภายในพริบตารางความทรงพลัง อีกร่างก็ถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ

 

อํานาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสามช่างทรงพลังจนน่าอัศจรรย์

 

หลังจากลองจนเข้าใจแล้ว หลิงฮันก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป ทันทีที่เขาเห็นร่างความทรงจําปรากฏตัว เขาจะทําการบดขยี้พวกมันทิ้งในพริบตา และไต่ขึ้นไปยังยอดเขาด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าเดิม 

 

หลิงฮันรับหน้าที่เป็นผู้โจมตีหลัก โดยที่จักรพรรดินีแทบไม่ได้ทําอะไรเลย

 

เพียงพริบตา เวลาหลายวันก็ผ่านพ้นไป

 

เอี๋ยนเซียนลู่ที่จิตใจอัดแน่นไปด้วยความทะเยอทะยาน ได้เคลื่อนที่ใกล้จะถึงยอดเขาแล้ว ตัวเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าวาสนาแห่งสวรรค์และปฐพีนี้ ไม่มีทางตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น

 

ยิ่งเขาเดินหน้า เมฆหมอกรอบด้านก็ค่อยๆ สลายไป และแผ่นหินก้อนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเขาในที่สุด มันเป็นแผ่นหินที่แบนเรียบที่มีตราประทับแห่งเต๋า ส่องประกายอยู่เป็นระลอกราวกับมีชีวิต

 

หินก้อนใหญ่แผ่นนี้คือแผ่นหินที่ราชานิรันดร์หย่งชาง นั่งในขณะที่ทะลวงผ่านเป็น ราชานิรันดร์ ไม่ใช่สามารถราชานิรันดร์คนใดจะสามารถชี้นําให้เกิดวาสนาแห่งสวรรค์ปฐพีได้ มีเพียงราชานิรันดร์ที่มีที่พลังสูงส่ง อย่างราชานิรันดร์หย่งชางเท่านั้นที่ทําได้

 

ยิ่งเคลื่อนที่เข้าใกล้แผ่นหินเท่าไหร่ อู๋เซียนลู่ก็ยิ่งเผยสีหน้าตื่นเต้น ตราบใดที่เขานั่งไปบนแผ่นหินได้ พลังแห่งสวรรค์และปฐพีที่สั่งสมมานานหลายยุคสมัย จะหลั่งไหลเข้ามาในร่างของเขา ซึ่งจะสร้างโอกาสให้เขาสามารถไล่ตามอัจฉริยะที่ราวกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้ทัน

 

เพราะความรู้สึกอันตื่นเต้นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง อู๋เซียนลู่จึงเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว

 

เพียงแต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ จิตใจของเขาก็ชะงักและรีบยกฝ่ามือขึ้น ตราประทับสีขาวพรั่งพรูออกมาจากมือของเขา และปรากฏร่างของเต่าอําพัน

 

“ตูม!”

 

การโจมตีของใครบางคนปะทะเข้ากับเต่าอําพัน ชั้นบรรยากาศรอบด้านเกิดรอยปริแตก ราวกับห้วงมิติถูกฉีกกระชาก

 

“ซานจี้ถง!” อู๋เซียนลู่กล่าวออกมาโดยไม่แม้แต่หันหลังไปมอง

 

“ที่นี้เจ้ารู้สึกเสียใจรึยัง ที่เชิญข้ามาที่นี่?” ซานจี้ถงปรากฏตัวออกมาจากระยะที่ห่างออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

 

เอี๋ยนเซียนลู่ยิ้มมุมปาก สายตาของเขาไม่ได้มองไปยังซานจี้ถง แต่มองไปยังอีกทิศทางหนึ่งก่อนจะกล่าว “น้องชายเหลา ยังไม่ออกมาอีกรึ? เจ้าจะซ่อนตัวไปถึงเมื่อไหร่กัน”

 

ซานจี้ถงเปลี่ยนสีหน้าทันใด เนื่องจากเขาไม่รู้สึกตัวมาก่อนว่าเหลาซงจะแอบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ถ้าหากเขากับซานจี้ถงเริ่มการปะทะกันล่ะก็ วาสนาจะต้องถูกอีกฝ่ายลอบแย่งชิงไปแน่นอน

 

แต่ประเด็นก็คือเขาสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่าเหลาซงนั้นอยู่ที่นี่ การที่เอี้ยนเซียนลู่สัมผัสได้ ย่อมหมายถึง อย่างน้อยในด้านความสามารถของการรับรู้ตัวเขากับเอี้ยนเซียนรู้มีความห่างชั้นกันอย่างมาก

 

“ฮ่าๆ หูตาของพี่ชายเอี้ยนช่างเฉียบคมนัก ข้ามั่นใจมากแท้ๆ ว่าแม้แต่ตัวตนระดับแบ่งแยก วิญญาณก็ไม่หาตัวข้าได้ แต่พี่ชายเอี้ยนกลับมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง” เสียงหัวเราะดังขึ้น พร้อ มกับร่างของเหลาซงค่อยๆ ก้าวเดินออกมา

 

เมื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้าของซานจี้ถงก็กลายเป็นบูดบึงจนน่าเกลียด เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าความสามารถในการรับรู้ของเอี้ยนเซียนลู่นั้นอยู่เหนือเขาจริงๆ

 

เอี๋ยนเซียนลู่ยิ้มและกล่าว “ข้าไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของเจ้าได้หรอกนะเหลาซง ข้าแค่คิดว่าในเมื่อน้องชายซานปรากฏตัวที่นี่แล้ว เจ้าเองก็น่าจะอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”

 

บัดซบ ที่แท้เจ้าก็มั่วงั้นรึ

 

ซานจี้ถงแทนจะกระอักโลหิตออกมา เขาไม่คาดคิดว่าอัจฉริยะอย่างเอี้ยนเซียนลู่จะใช้วิธีการปลิ้นปล้อนเช่นนี้ด้วย ถ้าเกิดเหลาซงไม่ได้อยู่ที่นี่ขึ้นมาล่ะ อีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอับอายบ้างรึ?

 

เอี้ยนเซียนลู่หัวเราะโดยไม่ตอบอะไร มีเพียงตัวเขาคนเดียวที่รู้ว่า ความจริงแล้วเขาสามารถสัมผัสถึงตัวตนของเหลาชงได้จริงๆ

 

ตัวเขาที่มีแก่นกําเนิดนิรันดร์สอดคล้องกับอํานาจแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ จะไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของใครอื่นรอบกายได้อย่างไร?

 

“วาสนาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ใครจะได้ครอบครองมันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง!” เซียนลูกล่าวออกมา พร้อมกันนั้นเองกลิ่นอายทั่วร่างของเขาก็เปลี่ยนไป

 

ก่อนหน้านี้กลิ่นอายของเขาเปรียบดั่งดาบไร้เทียมทาน ที่ถูกเก็บอยู่ในปลอกดาบ จึงไม่แสดงอ อกถึงความน่าเกรงยําเกรง แต่ตอนนี้เมื่อดาบถูกชักออกมา คลื่นอํานาจที่สั่นสะท้านไปถึงสวรรค์ ถูกปลดปล่อยออกมา

 

“พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันทั้งสองคนนั่นล่ะ” อู๋เซียนลู่กล่าวกับเหลาซงและซานจี้ถง ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ราวกับทั้งสองเป็นเพียงจอมยุทธธรรมดาทั่วไป