ตอนที่ 1226 สิ่งที่ต้องทำก่อนการย้ายถิ่นฐาน

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

“หนาวชะมัดเลย”

พวกเขากำลังยืนอยู่บนพื้นดินสีเทาบนดวงจันทร์ ชายหนุ่มมองตัววัดอุณหภูมิภายนอกหมวกของชุดอวกาศ แล้วเขาก็ถามอีกฝ่ายว่า “ใส่ชุดอวกาศแบบนั้นแล้วคุณจะหนาวได้อย่างไรกันครับ? ”

คนที่เดินอยู่ข้างเขาคืออู๋กัง กัปตันทีมวิศวกรสถานีวิจัยดวงจันทร์นั่นเอง คนในทีมวิศวกรชอบพูดแซวเขาตลอดพอเขาพูดเรื่องอากาศบนดวงจันทร์

ซึ่งจริงๆ แล้ว ทั้งสถานีวิจัยก็มีทีมวิศวกรอยู่แค่ทีมเดียวนี่แหละ

พัสดุที่ส่งมาจากปราสาทจันทราถูกพวกเขาลำเลียงมา ติดตั้ง และปรับใช้งานบนดวงจันทร์

พวกเขาเป็นคนกลุ่มที่ซ่อมแซมแผงเซลล์แสงอาทิตย์และเครื่องชนอนุภาคบนดวงจันทร์ ทีมวิศวกรรมทีมนี้เป็นคนรับผิดชอบทั้งการก่อสร้างบนพื้นผิวดวงจันทร์และอุปกรณ์การก่อสร้างในอวกาศทุกรูปแบบ

คนที่ยืนอยู่ข้างอู๋กังคือวิศวกรที่เพิ่งได้เข้ามาอยู่ในทีมไม่นาน ชื่อของเขาคือสวีเฉิงหลี่ เขาจบการศึกษาปริญญาโทสาขาวิศวกรรมการบินและอวกาศจากมหาวิทยาลัยจินหลิง

เนื่องจากการร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างมหาวิทยาลัยจินหลิงกับสถาบันการศึกษาขั้นสูง ทำให้เรซูเม่ของเขาแสดงความโดดเด่นมากในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ มากเสียจนอู๋กังไม่เข้าใจว่าทำไมสวีเฉิงหลี่ถึงดั้นด้นมาทำงานที่ดินแดนอันหนาวเย็นและรกร้างอย่างนี้

“ก็แค่พูดเฉยๆ อย่าจริงจังสิ”

สวี่เฉิงหลี่ได้ยินเสียงดังมาจากระบบสื่อสารในหมวกอวกาศ เขาจึงหัวเราะออกมา

เพราะเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นานเอง ทุกอย่างก็ดูใหม่กับเขาไปหมด ถึงขนาดที่เพื่อนร่วมงานหลายคนคิดว่าเขาเป็นคนบื้อๆ นิดหน่อย แต่เขาก็คิดว่าความบื้อของตัวเองเป็นข้อดี

เพราะการได้ยินเสียงมนุษย์บนดวงจันทร์ที่แสนจะเงียบงันนี้ เป็นสิ่งที่แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย เขาคิดมาตลอดว่า ถ้าเขาไม่ได้พูดมากเหมือนที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันแล้วล่ะก็ เขาจะต้องเป็นบ้าไปสักวันแน่ๆ

แต่เหมือนกัปตันอู๋จะไม่เห็นด้วย

“คุณพูดมากไปแล้ว”

เมื่อเห็นว่ากัปตันมีท่าทางรำคาญ สวีเฉิงหลี่จึงเริ่มพูดด้วยใบหน้าไม่แยแสว่า

“ก็ได้ครับ ผมจะเลิกพูดมากก็ได้…นี่ๆ เอาจริงๆ แล้ว ตอนที่ผมอยู่บนโลกน่ะนะ ผมไม่ได้พูดมากขนาดนี้หรอกนะ”

“คุณกลับมาพูดมากอีกแล้ว”

ทั้งสองคนเดินต่อแล้วไปหยุดที่อยู่บริเวณพื้นเรียบ

หลังจากเดินไปเหยียบบนพื้นและยืนยันแล้วว่าดินดวงจันทร์มีความแข็งมากพอ อู๋กังเดินไปข้างหน้าและหยิบเครื่องส่งสัญญาณนำทางออกมาจากกระเป๋าเป้ เขาเซ็ตพารามิเตอร์ตรวจความแม่นยำด้วยความชำนาญ จากนั้นจึงฝังมันลงไปในดินให้มันอยู่อย่างมั่นคง

ตอนนี้งานของพวกเขาได้สำเร็จลุล่วงแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่ต้องรอยานอวกาศขนของให้ส่งยานลงจอดมาเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็จะสามารถแยกชิ้นส่วนยานขนของแล้วจัดระเบียบมันใหม่

ทั้งสองยืนอยู่กลางดินแดนรกร้างโดยไม่มีใครพูดอะไร พวกเขากำลังรอพัสดุให้มาส่ง

สวีเฉิงหลี่สงสัยว่าเขาควรจะเปิดบทสนทนาขึ้นมาไหม แต่อู๋กังก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนพอดี

“คุณอายุแค่ 25 ใช่ไหม?”

เมื่อเห็นว่ากัปตันของเขาเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา สวีเฉิงหลี่ก็ตอบคำถามอย่างรวดเร็วว่า “ใช่ครับ ทำไมเหรอ?”

อู๋กัง “ทำไมถึงมาที่แบบนี้ล่ะ?”

“มันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับ เงินเดือนก็สูง แทบจะเป็นสามเท่าของงานแบบเดียวกันบนโลกเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอาหารกับที่พักให้อีกต่างหาก ความเครียดในการทำงานก็ไม่ได้มากเกินไป ได้เปลี่ยนตัวในเวลาครึ่งปี แล้วก็ได้พักในเวลาสามเดือน สิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่พอใจนิดหน่อยก็คืออินเทอร์เน็ตที่นี่ค่าปิงเยอะเกินไป แถมแบนด์วิธการสื่อสารก็มีจำกัด แล้วก็…ที่นี่ไม่มีร้านเหล้าทำให้น่าเบื่อนิดหน่อย แล้วคุณล่ะ?”

อู๋กังนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนเขาลังเลในการตอบคำถาม

อย่างไรก็ตามพอเข้าเห็นแววตาสงสัยของสวีเฉิงหลี่ เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า

“เหตุผลก็แบบเดียวกับคุณนั่นแหละ…แต่ต่างกันนิดหน่อย ผมมีครอบครัวให้เลี้ยง ลูกสองคนต้องไปโรงเรียน แล้วต้องส่งเงินที่กู้มาค่าบ้านอีก…ขอแนะนำอะไรหน่อยนะ คนหนุ่มๆ อย่างคุณไม่น่ามาเสียเวลาที่นี่เลย สถานที่แบบนี้ควรจะมีแต่คนแก่แบบผมมากกว่า”

สวีเฉิงหลี่ขมวดคิ้วแล้วถามกลับว่า “มันจะไปเป็นการเสียเวลาได้อย่างไรกันครับ? คุณไม่คิดบ้างเหรอ ว่าได้ทำงานบนดวงจันทร์มันเจ๋งออกจะตาย?”

เจ๋งเหรอ?

เขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?

อู๋กังถึงกับพูดไม่ออก

นี่พวกเด็กสมัยนี้เขาคิดกันแบบนี้เหรอ?

เขารู้สึกเหมือนตัวเองตามยุคตามสมัยไม่ทันแล้ว

ในความคิดของเขาคือที่นี่ไม่มีอะไรสนุกเลย มันเป็นแค่ดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่มีแต่หลุมแต่บ่อเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าบันเทิงใจเลยแม้แต่น้อย

“คุณไม่อยากได้แฟนหรือไงกัน?”

“ไม่เอาล่ะครับ ผมมีมาพอแล้ว อยากอยู่คนเดียวมากกว่า จะไปไหนก็ได้ ทำไมเราต้องมาผูกตัวเองติดกับคนอื่นด้วย อีกอย่างผมก็เพิ่งนึกข้อดีอีกข้อของการทำงานที่นี่ได้ นั่นก็คือไม่มีใครมาบอกมาสั่งให้ผมต้องแต่งงานที่นี่ ฮ่าฮ่า”

สวี่เฉิงหลี่ยิ้มจากใจจริงและเงยหน้าขึ้นมา เขาเหลือบมองไปทางท้องฟ้าที่ลึกล้ำและดำมืด แล้วก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ทุกครั้งที่ผมมองขึ้นไปบนฟ้า ผมจะคิดว่าชีวิตของผมก็เป็นแค่สิ่งเล็กๆ ไม่สำคัญกับจักรวาลนี้ เด็กๆ รุ่นถัดไปจะไม่มีใครจำผมได้ หรือต่อให้จำได้แล้วมันจะช่วยอะไรได้ล่ะ?”

อู๋กังมองเขา

“ถ้าทุกคนคิดแบบนั้น ป่านนี้พวกเราก็สูญพันธุ์กันไปตั้งนานแล้ว”

“จะช้าจะเร็วพวกเราก็ต้องสูญพันธุ์กันสักวันอยู่ดี…ถ้าเวลาผ่านไปมากพอ” สวีเฉิงหลี่มองนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ที่มุมบนขวาของหมวกอวกาศ เขาพูดขึ้นว่า “จะว่าไปแล้วพวกปราสาทจันทราเขาไม่รู้จักความตรงต่อเวลาเลยนะครับ? เมื่อไรพวกของจะมาส่งถึงเนี่ย? พวกเรามารอที่นี่พักหนึ่งแล้วนะ”

“อาจจะมีอุบัติเหตุก็ได้” อู๋กังพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาเหลือบมองไปดูเวลาบนหมวกแล้วก็บอกว่า “แต่ก็คงไม่ใช่อะไรหนักหนาหรอก ไม่มีประกาศอะไรเพิ่มเติมมาจากศูนย์บัญชาการใหญ่”

สวีเฉิงหลี่ “จะว่าไปแล้วพัสดุรอบนี้เป็นอะไรนะครับ?”

“ตัวอย่างสารออกฤทธิ์ Dr-111…ไม่รู้รายละเอียดเท่าไรนะ ช่างเรื่องนั้นเถอะ สนใจเรื่องงานของเราดีกว่า…มันกำลังมาแล้ว”

สวีเฉิงหลี่พยักหน้าแล้วมองไปทางทิศเดียวกับกัปตันอู๋

เขามองเห็นจุดสีเขียวสว่างปรากฏขึ้นในท้องอวกาศอันมืดมิดและลึกล้ำ

จุดสีเขียวนั้นค่อยๆ เข้ามาใกล้ๆ เหมือนกับเป็นยานอวกาศ มันกะพริบด้วยความถี่คงที่ มันค่อยๆ เข้ามาใกล้จนทั้งสองคนสามารถเห็นพัสดุที่ส่งมาได้ด้วยตาของตนเอง

พัสดุนั้นเริ่มดูมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดพัสดุก็ร่วงหล่นพื้นผิวดวงจันทร์ ทำให้เกิดฝุ่นดวงจันทร์ฟุ้งกระจายไปทั่ว

“ได้เวลาทำงานกันแล้ว”

อู๋กังตบบ่าสวีเฉิงหลี่แล้วเดินไปทางยานสีขาวเงินที่ลงจอดเพื่อส่งพัสดุ ไฟสัญญาณสีเขียวของมันยังคงส่องกะพริบอยู่

“พวกคุณมาสาย”

อู๋กังมองนักบินอวกาศที่เดินออกมาจากยานที่เพิ่งลงจอด เขายกมือขวาขึ้นมาแล้วแตะที่ข้างหมวกสองครั้ง เป็นการเชื่อมต่อสัญญาณสื่อสารของเขาเข้ากับสัญญาณของอีกฝ่าย

“ผมต้องใช้เวลาพักหนึ่งเลยกว่าจะควบคุมวงโคจรได้ถูก ขอแนะนำตัวหน่อยนะครับ ผมชื่อหยางซิงหยวี่” นักบินอวกาศที่เดินออกมาจากยานลงจอดไอแค่กๆ แล้วปัดฝุ่นออกจากหมวกอวกาศของตัวเอง เขาพูดต่อ “ระบบนำทางเพิ่งถูกแทนที่ได้ไม่นาน ความแม่นยำก็เลยเหวี่ยงๆ นิดหน่อย เดี๋ยวผ่านไปสักพักก็จะดีขึ้นเอง”

สวีเฉิงหลี่ถามอย่างสงสัย “ระบบนำทางถูกเปลี่ยนเหรอครับ?”

“ใช่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง ระบบบริการทางคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของพวกเราถูกย้ายสิทธิ์การควบคุมไปให้สตาร์โวยาจวัน คุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว มันเป็นคอมพิวเตอร์ควอนตัมเครื่องแรกของโลก”

อู๋กังขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ดีเลย์มากขนาดนี้จะโอเคเหรอ?”

“เรื่องปิงไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาดีเลย์แก้ได้ด้วยอัลกอริทึม หลังจากนี้ไปสตาร์สกายเทคโนโลยีจะติดตั้งเซิร์ฟเวอร์บนปราสาทดวงจันทร์ มันจะช่วยลดปิงให้น้อยลงไปอีก”

นักวิทยาศาสตร์ตบยานข้างๆ เขาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “นี่แหละที่คุณต้องใช้ เอาเจ้านี่ไปปรับให้สนุกก็แล้วกัน…ผมเป็นวิศวกรชีวเวช ผมไม่รู้เรื่องอะไรเจ้านี่มากเท่าไร คุณช่วยติดต่อกัปตันหม่าให้ผมหน่อยได้ไหม? ผมจำได้ว่าเขาเป็นหัวหน้าสถานีวิจัยดวงจันทร์อยู่”

“เขากำลังมาน่ะ” อู๋กังมองไปทางยานที่ลงจอดแล้วถามว่า “ถ้าไม่ลำบากคุณเกินไปล่ะก็…ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าเจ้านั่นคืออะไร?”

“อ๋อ สบายมาก เดี๋ยวคุณก็เข้าใจเองนั่นแหละ” ดร. หยางยื่นมือออกไปกดคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเท่าข้อมือที่แขนซ้าย เขากดเลือกข้อมูลแล้วกดปุ่มส่งต่อ

แถบดาวน์โหลดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพรายละเอียดคร่าวๆ ของโปรเจกต์ประมาณสองร้อยคำปรากฏขึ้นบนหน้าจอหมวกอวกาศของอู๋กัง

“สารออกฤทธิ์ Dr-111….โปรเจกต์ชำระล้างเมแทบอไลต์ในสภาวะแรงโน้มถ่วงน้อย…หรือเจ้าสิ่งนี้จะ…”

“เหมือนคุณจะรู้ดีอยู่แล้วนะว่ามันทำอะไรได้” ดร. หยางยิ้มแล้วบอกว่า “ถ้าโปรเจกต์นี้เป็นไปได้ด้วยดีแล้วล่ะก็ มันจะช่วยให้การอพยพของคนจำนวนมากมายังดวงจันทร์เป็นไปอย่างราบรื่นแน่”

“ไม่ต้องมาพูดเลย” อู๋กังยิ้มกว้างแล้วกดนิ้วชี้ที่คอมพิวเตอร์ขนาดข้อมือสองครั้ง เขาปิดรายละเอียดโปรเจกต์คร่าวๆ ไป แล้วพูดต่อ “นอกจากพวกคนที่มีสมองทำงานไม่ปกติแล้วล่ะก็ ใครมันจะอยากมีที่ที่ห่วยแตกแบบนี้ล่ะ?”

“เดี๋ยวๆ คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” สวีเฉิงหลี่พูดอย่างไม่พอใจ “นี่จะบอกว่าสมองผมทำงานไม่ปกติเหรอ?”

อู๋กังมองเขาแล้วพูดขึ้นว่า

“เงียบไปเลย คุณยังอยู่ช่วงติดโปรอยู่ ไปทำงานต่อได้แล้ว”

ชายหนุ่มเริ่มเดินไปหายานที่ลงจอดทันทีพร้อมกับเครื่องมือในมือ

ดร. หยางมองชายหนุ่มที่เดินจากไปด้วยรอยยิ้มแล้วก็พูดกับอู๋กังว่า “คุณมั่นใจไม่ได้หรอกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ชีวิตมีอะไรมากกว่าแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านะ สิ่งที่คุณเห็นตอนนี้คือดินแดนรกร้างกับหลุมดวงจันทร์ไร้ชีวิตชีวา แต่ถ้าคุณกลับมามองที่นี่ในอีกสิบปีข้างหน้า ผมว่าคุณจะต้องหวนคิดถึงวันนี้แน่ๆ ”

อู๋กัง “คุณหมายถึงหลังจากผมเกษียณเหรอ?”

“ผมหมายถึงในกรณีไม่ว่าคุณจะเกษียณหรือไม่ก็ตาม”

ฮ่าฮ่า ลองมาอยู่ที่นี่สักเดือนก่อนแล้วดูว่าจะพูดแบบนี้อีกไหม

อู๋กังยิ้มนิดๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรไป เขาส่ายหัวแล้วกลับไปทำงานต่อ