คัมภีร์สิบเล่มเป็นตัวแทนแห่งคัมภีร์ธรรมที่หลากหลายอันเป็นเอกอุแห่งยุคสมัยซึ่งสืบทอดต่อกันมา ประหนึ่งน้ำทองแดงสีทองอร่ามหลอมละลาย แปลงเป็นซุ้มธรรมสีทองภายใต้สายตาตื่นตะลึงของหลินสวิน!
รูปลักษณ์ของซุ้มธรรมเหมือนดั่งสามพันสถูปเจดีย์ไม่มีผิดเพี้ยน กระนั้นกลับมีความสูงเพียงแค่หนึ่งฉื่อ ส่องประกายทองอร่ามทั่วเรือน ประหนึ่งทองเทพเทหลอมขึ้นมา พร่างพรมละอองแสงมงคล
และในซุ้มธรรมนี้ กลับบูชาดวงใจดวงหนึ่ง!
ดวงใจเผยให้เห็นสีสันผ่องแผ้ว ราวกับดวงแสงที่ส่องสว่างพร่างพรายและบาดตา
ตุ้บๆๆ!
เมื่อสายตาของหลินสวินกวาดผ่านดวงใจ พลันรู้สึกว่าดวงใจดวงนั้นคล้ายกับกำลังฟื้นคืนชีพ ความแข็งแกร่งระลอกหนึ่งแผ่พุ่งออกมาราวกับฟ้าร้อง พร้อมระเบิดแรงกดดันอันน่าสะพรึงกระทบใบหน้า
ท่ามกลางความเลือนลาง หลินสวินคล้ายแลเห็นมายาภิกษุที่สูงใหญ่ไร้เทียมทาน เต็มแน่นทั่วทั้งผืนจักรวาลอีกหน
เพียงแต่ในครั้งนี้หลินสวินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเงามายาภิกษุนี้พยักหน้ายิ้มเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “ข้ามีนามว่าซิงเจีย ยินดีที่ได้พบสหายยุทธ์!”
หลินสวินเกิดใจไหววูบ ขณะที่มองออกไป มายาภิกษุตนนั้นกลับเลือนหายไปเสียแล้ว
นี่ทำให้หลินสวินหวนคิดถึงจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง นางก็เรียกขานตนแบบเดียวกันนี้ สำหรับนางแล้วตนคือ ‘สหายยุทธ์’ บนมรรคา ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีการแบ่งแยกสถานะสูงต่ำ ต่างเรียกขานว่า ‘สหายยุทธ์’ ทั้งสิ้น!
และในตอนนั้น หลินสวินถึงได้รู้ว่าในสายตาของบุคคลระดับเทียมฟ้าเช่นนี้ ‘สหายยุทธ์’ สองคำนี้มีค่าเพียงใด!
ท่ามกลางการแสวงหามหามรรค สหายยุทธ์ ย่อมถูกมองว่าเป็นมิตรสหาย!
เห็นชัดว่า ‘ซิงเจีย’ อริยพุทธแห่งสมัยบรรพกาลผู้นี้ ก็มองว่าตนเป็น ‘สหายยุทธ์’ คนหนึ่งเช่นเดียวกับจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง
ฉะนั้นจึงเรียกขานด้วยคำว่า ‘สหายยุทธ์’
ซุ้มธรรมที่สูงหนึ่งฉื่อ ในเวลานี้เก็บงำท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์และกลิ่นอายลง แปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์เรียบง่าย นิ่งสงบ ไม่มีจุดสนใจใดเป็นที่สะดุดตา
และภายในซุ้มธรรมนั้น ดวงใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องดวงนั้นถูกผนึกด้วยอักษรธรรมแน่นขนัดอีกชั้นจนอับแสง
“ปล่อยให้จิตสถูปปลิดชีพของข้า ทลายวิถีเกิดดับในตัวเจ้า!”
เสียงสวดอันยิ่งใหญ่ดังก้องกังวานภายในใจของหลินสวิน
จากนั้นซุ้มธรรมนั่นร่วงหล่นลง โดยมีสองมือของหลินสวินประคองไว้ พริบตานั้นเขาก็รู้ซึ้งถึงคุณค่าแห่งซุ้มธรรมนี้
ยามเผชิญหน้าสถานการณ์เป็นตาย สามารถเปิดผนึกซุ้มธรรม ใช้พลังแห่ง ‘จิตสถูปปลิดชีพ’ มาเกื้อหนุนตน ทลายเส้นทางแห่งความเป็นตาย!
…
ภายในสถูปเจดีย์ อักษรธรรมสีเหลืองอร่ามหายลับไป แม้แต่รอยสลักหินทั้งสิบแปดบนผนังนั้นยังมลายสูญ
เพียงแต่เมื่อรู้ว่าหลินสวินปฏิเสธที่จะรับวาสนาอันเป็นของมรดกตกทอดเช่นนี้ เจ้าคางคกและนกทมิฬต่างเบิกตาอ้าปาก ท่าทางประหนึ่งกำลังมองคนโง่งมอย่างไรอย่างนั้น
“นี่เจ้าโง่ไปแล้วหรือ ข้ากับเจ้าเฒ่าดำทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เสียเวลาไปปีกว่าถึงสามารถเปิดทลายศุภโชคใหญ่พลิกฟ้า แต่เจ้ากลับ… ไม่ต้องการ”
เจ้าคางคกท่าทีเจ็บแค้นกับความไม่เอาไหน โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“โง่ โง่เขลานัก”
นกทมิฬทอดถอนใจเช่นกัน
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร”
หลินสวินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขากล้ายืนยันว่าหากตนนำซุ้มธรรมนั้นออกมา เจ้าสองคนนี้ต้องอิจฉาตาร้อนก่อนใครเป็นแน่!
“เหตุใดข้ากลับรู้สึกว่า เขาได้รับประโยชน์แสนมหัศจรรย์บางอย่างมาครอบครอง”
เจ้าคางคกเกิดความสงสัย รู้จักกับหลินสวินมาเนิ่นนาน เขาไม่เชื่อว่าหลินสวินจะยอมคายเนื้อที่เข้าปากไปแล้วออกมาอย่างแน่นอน
“ข้าก็สังหรใจเช่นเดียวกัน”
แววตาของนกทมิฬกวาดมองหลินสวินอย่างลับๆ ล่อๆ
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย พวกเราควรไปจากที่นี่ได้แล้ว”
หลินสวินเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“คงต้องไปแล้วจริงๆ แม่งเอ้ย! เพราะวาสนาครั้งเดียว เสียทั้งเวลาทั้งแรงของข้าไปตั้งปีกว่า ก็ไม่รู้ว่าแดนเก้าบนจะแปรเปลี่ยนไปเช่นไรแล้วบ้าง”
เจ้าคางคกนั่งไม่ติดในทันใด
เมื่อใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน พวกเขาใช้เวลาเกือบสองปีอยู่ที่สถูปเจดีย์
หากอยู่โลกภายนอก เวลาสองปีนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ทว่าในแดนเก้าบนนั้น เวลาสองปีย่อมมีเหตุการณ์ผันแปรไปมากมายเลยทีเดียว!
ที่แห่งนี้วาสนามากมายนับไม่ถ้วน เหล่าผู้กล้าแก่งแย่งความเป็นใหญ่ มกุฎปรากฏขึ้นตลอด ทุกช่วงเวลาหนึ่งย่อมปรากฏคนที่เจิดจรัสผงาดกร้าวประหนึ่งดาวหางก็ไม่ปาน
สามารถคาดเดาได้ว่า แดนเก้าบนในยามนี้ เมื่อเทียบกับสองปีก่อนหน้าต้องแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“ไม่รออวิ๋นชิ่งไป๋แล้วหรือ”
นกทมิฬถามขึ้นมาทันที
มันรู้ดีว่าการที่หลินสวินรั้งอยู่ที่นี่ นอกจากเพื่อเคี่ยวกรำพลังปราณเพิ่มพูนพลังต่อสู้ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ รอคอยอวิ๋นชิ่งไป๋ปรากฏตัวอีกครั้ง!
“ไม่รอแล้ว”
หลินสวินส่ายหน้า การรอคอยย่อมหมายถึงเป็นผู้ถูกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
เมื่อเทียบกับการสังหารอวิ๋นชิ่งไป๋ เขากลับให้ความสนใจในข่าวคราวของอาหลู่มากกว่า
บัดนี้ระยะเวลาที่ตกลงไว้กับธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยเหลืออีกไม่ถึงสองเดือน หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย แดนโบราณหมื่นคชาที่อยู่ในแดนอสนีบูรพานั่น พลังผนึกของมันจะสลายไปอย่างหมดสิ้น
เรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ ยังคงเป็นการสืบหาร่องรอยของอาหลู่เสียก่อน
และวันเดียวกันนี้ พวกหลินสวินก็เคลื่อนไหว เดินทางออกจากแดนธรรมสถูปมุ่งหน้าไปยังแดนอสนีบูรพา
…
ครึ่งเดือนให้หลัง
พวกหลินสวินมาถึงแดนอสนีบูรพา
พื้นที่ภายในแดนอสนีบูรพานั้นผิดแผกไปจากแดนอัคคีทักษิณและแดนคีรีอีสาน เต็มไปด้วยอสนีบาตกราดเกรี้ยว
ในหินผา พืชพรรณ ตลอดจนแม่น้ำลำธาร ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสายฟ้า กระทั่งบนเวิ้งฟ้า ทุกวันยามราตรีจะเกิดฟ้าผ่ารุนแรง สายฟ้าคดโค้งดุจอสรพิษเงินร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง ฉีกกระชากแผ่นฟ้ายามราตรีให้แตกทลาย แสงสว่างเจิดจ้า
สถานที่เช่นนี้ หากไม่มีปราณระดับราชันขึ้นไปย่อมไม่กล้าล่วงล้ำโดยง่าย
“ลำดับเปลี่ยนอีกแล้ว อันดับที่หนึ่งตกเป็นของผู้แข็งแกร่งนามว่าเซ่าเฮ่าอีกครั้ง!”
เบื้องหน้าศิลาศึกอสนีบูรพา ปรากฏผู้ฝึกปราณรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์ไม่คาดสาย ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยการทอดถอนใจ
ในแดนเก้าบนนี้ ในแต่ละแดนจะปรากฏ ‘ศิลาศึก’ อันน่าพิศวง มีเพียงผ่านด่านทดสอบของศิลาศึก จึงจะสามารถตัดสินได้ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอจะติดอันดับบนกระดานทองคำผู้กล้าหรือไม่ ทั้งสามารถติดอันดับที่เท่าไรบนกระดานทองคำผู้กล้า
ศิลาศึกทั้งเก้าแท่นล้วนสามารถเข้ารับการทดสอบ
“เซ่าเฮ่าหรือ ตามที่ลือกันเห็นว่าเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณฝีมือล้ำเลิศคนหนึ่ง เก็บตัวเงียบอย่างยิ่ง เมื่อหนึ่งปีก่อนเพิ่งเข้ารับการทดสอบศิลาศึก เพียงแค่ครั้งแรกก็สามารถขึ้นอันดับจุดสูงสุด เขี่ยอันดับของอวิ๋นชิ่งไป๋ลงมาได้! ครานั้นสะเทือนไปทั่วทั้งแดนเก้าบนเลยทีเดียว”
“คนผู้นี้น่ากลัวจริงๆ อดทนมานานหลายปี ชื่อเสียงไม่ปรากฏ ใครจะคาดคิดได้ว่าเขาที่นิ่งเงียบไม่โดดเด่น กลับเผยฝีมือที่พาให้ทุกคนตะลึง”
“อันที่จริงพวกเจ้าสังเกตหรือไม่ว่า ผู้หญิงที่ชื่อ ‘รั่วอู่’ อันดับสองนั่นก็น่ากลัวมากเช่นเดียวกัน ตลอดหนึ่งปีมานี้นางและเซ่าเฮ่าต่างแย่งชิงอันดับหนึ่งมาโดยตลอด แพ้ชนะสูสีกัน ยอดเยี่ยมเลิศล้ำอย่างแท้จริง”
“เทพธิดารั่วอู่ นั่นเป็นตำนานที่มีลมหายใจเลยนะ!”
“ทว่าน่าเสียดาย หนึ่งปีกว่ามานี้อันดับของอวิ๋นชิ่งไป๋ถูกเบียดไปอยู่อันดับสาม แต่เขากลับไม่เคลื่อนไหวมาโดยตลอด หรือว่านี่เป็นการปิดด่าน”
“ไม่เพียงแต่อวิ๋นชิ่งไป๋ แม้แต่เทพมารหลินก็ไม่ได้ยินชื่อมานานแล้ว แดนเก้าบนในตอนนี้ คนที่เจิดจรัสที่สุดคงไม่พ้นสัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน ไป๋หลงถิงพวกนี้!”
“เฮ้อ สัตว์ประหลาดยุคโบราณอีกแล้ว สิบอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้า นอกจากอวิ๋นชิ่งไป๋คนอื่นๆ ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณทั้งสิ้น หรือว่าพวกเราเหล่าผู้กล้ายุคปัจจุบันจะไม่อาจเทียบสัตว์ประหลาดที่เก็บตัวเงียบมาตั้งแต่บรรพกาลได้เลยหรือ”
“น่าเสียดาย เทพมารหลินไม่เคยฝ่ากระดานทองคำผู้กล้าเลย หาไม่ด้วยพลังต่อสู้ของเขาคงจะติดสิบอันดับแรกเป็นแน่”
“เหอะๆ หากเป็นเมื่อสองปีก่อนอาจจะพอไหว ทว่ายามนี้เจ้าไม่เห็นรายชื่อผู้ติดสามสิบอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้าหรือ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกร้ายกาจที่เพิ่งผงาดขึ้นมาในสองปีนี้ เขาเทพมารหลินหวังติดสิบอันดับแรกหรือ เพ้อพก!”
เหล่าผู้กล้าต่างวิพากษ์วิจารณ์ กลับไม่ทันสังเกตเลยว่า ห่างไปไม่ไกลนักหลินสวินที่พวกเขากำลังเอ่ยถึงยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้นอย่างเงียบๆ
“ดูสิ ไม่ปรากฏตัวสองปี คนทั่วหล้าต่างไม่เห็นหัวเจ้าแล้ว”
เจ้าคางคกยักคิ้วหลิ่วตาพูดจายั่วเย้า
หลินสวินเพียงยิ้มไม่ใส่ใจ เอ่ยอย่างคล้ายขบคิดว่า “ว่าไปแล้วพวกเจ้าอาจไม่เชื่อ เซ่าเฮ่าอันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้าคนนั้น ข้าเคยพบเขาตอนที่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณเมื่อนานมาแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ในสมองเขาก็อดนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ขณะอยู่ที่ ‘ยอดเขาดาราโรย’ ในแดนฐิติประจิมขึ้นมาไม่ได้
ครานั้น ‘เซ่าเฮ่า’ นายน้อยเผ่าจักรพรรดิเร้นดาราเก็บงำจำศีลอยู่ภายใน ‘ไข่แห่งกลุ่มดาว’ รอบทิศมีกระบวนผนึกอริยมรรคคุ้มกันเอาไว้ น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง
เขาเคยพูดคุยกับเซ่าเฮ่าครั้งหนึ่ง แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับทำให้เขารับรู้ได้อย่างรุนแรง ว่าเซ่าเฮ่าผู้นี้เป็นพวกเลิศล้ำที่เด็ดเดี่ยว องอาจ และมีความทะเยอทะยานสูงคนหนึ่ง
หากวันใดปรากฏตัวสู่โลก คนผู้นี้ย่อมไม่มีทางไร้ชื่อเสียงเป็นแน่!
มาบัดนี้การคาดเดาของหลินสวินได้รับการพิสูจน์แล้ว เซ่าเฮ่าไม่เผยตัวยังไม่เท่าไร แต่เมื่อสำแดงตนออกมาก็ครองอันดับหนึ่งในกระดานทองคำผู้กล้า ชื่อเสียงระบือไกลทั้งแดนเก้าบน!
นี่ ทำให้หลินสวินเกิดความประทับใจ
เมื่อได้รู้ที่มาของเซ่าเฮ่าจากปากหลินสวิน นัยน์ตาของเจ้าคางคกและนกทมิฬต่างหดรัดลง
“เผ่าจักรพรรดิเร้นดารา เฮ้อ นี่คือเผ่าที่แข็งแกร่งเกรียงไกรในสมัยต้นบรรพกาล ควบคุมขุมอำนาจบรรพกาลนับพันไว้ในมือ สมกับเป็นหนึ่งใน ‘เผ่าจักรพรรดิ’”
นี่คือปฏิกิริยาของเจ้าคางคก น้ำเสียงมีความตกตะลึงและความซับซ้อนด้วยเช่นกัน
“เฮอะ ขอเพียงสามารถเรียกขานด้วยคำว่า ‘เผ่าจักรพรรดิ’ สองคำนี้ได้ ย่อมไม่ใช่เผ่าธรรมดาอยู่แล้ว อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่า ภายในเผ่านี้ได้ให้กำเนิด ‘จักรพรรดิ’ ที่แท้จริงขึ้นมา!”
“น่าเสียดาย เท่าที่ข้ารู้ในสมัยบรรพกาลเผ่าจักรพรรดิเร้นดารานี้ประสบเภทภัยครั้งใหญ่กะทันหัน แทบจะภายในหนึ่งปีสั้นๆ ก็พินาศย่อยยับ จมหายไปท่ามกลางกาลเวลาอันเนิ่นนาน ประวัติความเป็นมาและบันทึกที่เกี่ยวข้องต่างๆ ยามนี้ล้วนไม่มีอยู่แล้ว!”
นี่คือปฏิกิริยาของนกทมิฬ คล้ายว่าเขาไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อคำว่า ‘เผ่าจักรพรรดิ’
ทันใดนั้นไม่ว่านกทมิฬหรือเจ้าคางคกล้วนแต่มีสีหน้าเคร่งขรึม เปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่งขึ้นมา กล่าวเตือนหลินสวินว่าหากเซ่าเฮ่าคือทายาทสายตรงของเผ่าจักรพรรดิเร้นดาราจริงๆ ซ้ำยังมีสถานะเป็น ‘นายน้อย’ ด้วย นั่นย่อมเป็นตัวตนที่น่ากลัวอย่างที่สุด จะต้องระวังให้ดี
“ตอนนั้นความรู้สึกของข้าที่มีต่อคนผู้นี้ก็ไม่เลวทีเดียว ตามความเห็นของข้า หากผูกมิตรได้ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย”
หลินสวินกล่าวออกไป
จะว่าไปเสี่ยวอิ๋นราชันหนอนกินเทพผู้นี้ ก็เป็น ‘หนอนเทพอารักษ์’ ของเผ่าจักรพรรดิเร้นดาราด้วยเช่นกัน!
“จริงสิ พวกเจ้าเคยได้ยินชื่อเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียงบ้างหรือไม่”
หลินสวินถามขึ้นมาในทันที
เขานึกขึ้นได้ว่าศิษย์พี่เสวียนคงเคยมอบจี้หยกรูปใบไผ่สีเขียวอ่อนแก่ตน ในภายภาคหน้าเมื่อตนมีโอกาสพบเจอคนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียง ให้นำของสิ่งนี้ส่งคืนพร้อมบอกแก่พวกเขาว่าสิ่งนี้เป็นของเจียงซิงเชวี่ย
“ไม่เคยได้ยิน”
นกทมิฬและเจ้าคางคกต่างส่ายหน้าพร้อมกัน แสดงให้เห็นว่าแม้พวกเขามีชีวิตมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล กระนั้นเรื่องที่รู้กลับมีไม่มาก
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ ‘เผ่าจักรพรรดิ’ ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยต้นบรรพกาล ยามพวกเขาถือกำเนิดมาก็ไม่รู้ว่าห่างจากช่วงต้นบรรพกาลมากี่หมื่นปีแล้ว!
นี่ทำให้หลินสวินตกตะลึง ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ว่า หากเซ่าเฮ่าเป็นนายน้อยของเผ่าจักรพรรดิเร้นดาราจริงๆ นั่นย่อมหมายความว่าเขาเกิดขึ้นมาในช่วงต้นยุคบรรพกาลไม่ใช่หรือ
………….