บทที่ 2081 ถงเหลียนซี

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งประจำที่ คำพูดแสดงอำนาจบารมีสองสามประโยคคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ จากนั้นเหล่าเทพธิดาก็เดินขวักไขว่อยู่ทั้งข้างในข้างนอกงานเลี้ยง สุราชั้นดีกับอาหารชั้นเลิศถูกจัดวางขึ้นโต๊ะแล้ว

ราชินีสวรรค์ชูจอกสุราไปไกลๆ ร่วมดื่มกับกลุ่มผู้ร่วมงาน นับว่าเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการแล้ว

ระหว่างงานเลี้ยง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นอกจากเริ่มทักทายอวิ๋นจือชิวตามมมารยาทสองสามประโยคแล้ว ตอนหลังก็แทบไม่ได้มองอวิ๋นจือชิวตรงๆ อีกเลย พูดคุยยิ้มแย้มกับเม่ยเหนียงที่อยู่อีกข้างเท่านั้น มีท่าทีเย็นชาต่ออวิ๋นจือชิว

บรรดาสนมของราชันสวรรค์ที่นั่งอยู่สองฝั่งและเข้าใกล้ได้ก็ไม่มีใครคุยกับอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอวิ๋นจือชิว คนที่พอจะมีความใกล้ชิดกับทัพใต้ได้อยู่บ้าง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้สานสัมพันธ์ที่ควรค่าให้เชื่อใจกับฝั่งเหมียวอี้ พวกสนมที่ทหารรบแพ้ส่งเข้าวังก็ถูกเบียดออกไปเพราะคนที่หนุนหลังพวกนางสิ้นอำนาจ ตำแหน่งที่นั่งไม่อาจอยู่ใกล้ฝั่งนี้ได้ อวิ๋นจือชิวถูกเมินเฉยท่ามกลางสายตาฝูงชน แต่นางก็ยังชูจอกสุราอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจอะไร

เหตุการณ์ทุกอย่างนี้ เสวี่ยหลิงหลงที่นั่งอยู่เบื้องล่างเห็นอยู่ในสายตาหมดแล้ว ในใจรู้สึกกังวล คิดแต่ว่ากลับไปจะต้องเตือนสวีถังหรานสักหน่อย ท่านอ๋องให้สวีถังหรานจัดการเรื่องส่งสนมเข้าวัง เรื่องในวันนี้ทำให้หวังเฟยเสียหน้าอย่างเห็นได้ชัด

ผ่านไปไม่นาน นางระบำเรียงแถวขึ้นเวที ดึงดูดสายตาคนในงาน

ในตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน ที่นั่งของขุนนางใหญ่เต็มราชสำนัก มีการระบำเฉลิมฉลองเช่นกัน ขุนนางราชันร่วมยินดี สวีถังหรานจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม ได้พบกับความรู้สึกสูงส่งยิ่งใหญ่แล้ว

ในอุทยาน สาวงามมากมายดุจมฆบนท้องฟ้า ทิวทัศน์งดงามไร้ที่เปรียบ เศรษฐีใหม่เผยตัว

หลังจากรับประทานสุราอาหารเลิศรส เสียงระฆังดังก้อง งานเลี้ยงจบลง เหล่าขุนนางให้ประมุขชิงเป็นผู้นำ เหล่าสนมให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นผู้นำ ทยอยกันออกจากพระตำหนักอุทยาน เริ่มเที่ยวชมอุทยานหลวง ชายหญิงเที่ยวคนละเส้นทาง

สวนท้อเซียนสามพันลี้ที่ยามปกติไม่เปิดให้ชม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นำกลุ่มผู้หญิงเข้ามา ให้ทุกคนเที่ยวชมได้ตามใจชอบ ไอเซียนในสวนลอยวนเวียนเป็นเกลียว กลิ่นหอมทำให้ใจผ่อนคลาย

อวิ๋นจือชิวมองหารอบๆ อย่างแนบเนียน เจอเป้าหมายยังถงเหลียนซีแล้ว เตรียมจะหาโอกาสเข้าไปตีสนิท

ใครจะคิดว่าจูโยวเหม่ย อนุภรรยาคนโปรดของเถิงเฟยเข้ามาตีสนิทกับนางอย่างแนบเนียนแล้ว ทำท่าทางเมืองบังเอิญเจอ คำนับอย่างอ่อนน้อม “หวังเฟยเหนียงเหนียง”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้มอย่างเป็นกันเอง ถ้าไม่ใช่เพราะซูอวิ้นเตือนไว้ นางคงคิดว่าเป็นความบังเอิญจริงๆ แล้ว ในใจรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว

ไม่รอให้พูดอะไร จูโยวเหม่ยก็เข้ามาใกล้ตรงหน้านางแล้ว พออ้าปากก็กล่าวขออภัยทันที “ก่อนหน้านี้ข้าอบรมคนไม่ดี ล่วงเกินหวังเฟยเข้าแล้ว หวังเฟยเหนียงเหนียงโปรดอย่าถือสา”

“โยวเหม่ย ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ เจ้ามาล่วงเกินข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” อวิ๋นจือชิวถามเหมือนแปลกใจ

จูโยวเหม่ยส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เรื่องนี้ต้องโทษข้า ก่อนหน้านี้ข้าเรียกบ่าวรับใช้ไปเก็บกวาดเรือนพัก ไม่คิดว่าบ่าวสองคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจะถือวิสาสะบุกเข้าไปที่เรือนพักของจวนท่านอ๋อง ไปรบกวนหวังเฟยเหนียงเหนียงแล้ว”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมข้าไม่รู้เลย?” อวิ๋นจือชิวทำเหมือนประหลาดใจ

จูโยวเหม่ยปัดกิ่งไม้ที่ยื่นมาบังตรงหน้าออก “สงสัยเหนียงเหนียงจะเป็นผู้ใหญ่ที่ใจกว้างจริงๆ ก็เลยไม่เก็บมาใส่ใจ ที่จริงก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ตอนหลังถึงได้รู้ว่ามีบ่าวรับใช้ไปรบกวนที่เรือนพักของจวนท่านอ๋อง พอถามแล้วถึงได้รู้ บ่าวที่ไปรบกวนชื่อว่าเฉาว่านเสียงกับเถียนจื่อจวิน เฉาว่านเสียงคนนี้คืออดีตสามีของเแม่ทัพมู่หรง เป็นแม่ทัพของหนียงเหนียง ในปีนั้นเพื่อที่จะใต้เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูง เขายอมทิ้งแม่ทัพมู่หรงเพื่อไปแต่งงานกับเถียนจื่อจวินนั่น อิ๋งจิ่วกวงวางแผนชั่วล้มเหลว ชายหญิงคู่นี้ไปขอยอมแพ้ให้ท่านอ๋อง เดิมทีก็เก็บไว้ด้วยเจตนาดี แต่ใครจะคิดว่าจะกล้าไปรบกวนแม่ทัพมู่หรง ข้าสั่งสอนไม่ดีเอง เหนียงเหนียงอย่าเก็บไปใส่ใจเชียวนะคะ”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “อ้อ! โยวเหม่ยพูดถึงพวกเขาเหรอ ยังนึกว่าเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก คนประเภทนี้ไม่มีใครเอ่ยถึงหรอก ไม่ต้องพูดถึงก็ได้” นางไม่อยากสอบถามเอาเรื่อง ถ้าเป็นอย่างที่ซูอวิ้นบอกจริงๆ ขนาดมู่หรงซิงหัวยังไม่แสดงท่าที นางก็ไม่จำเป็นต้องไปถือสาจนทำร้ายชีวิตของพวกเขา

“เหนียงเหนียงเป็นคนใจกว้างจริงด้วย” จูโยวเหม่ยยิ้มพร้อมเคยชม ในเมื่ออวิ๋นจือชิวบอกว่าไม่ต้องเอ่ยถึง นางก็ไม่เอ่ยถึงอีกเช่นกัน แต่ในเมื่อได้คุยกันแล้ว ก็จะจบบทสนทนาง่ายๆ ไม่ได้ เป็นฝ่ายหาประเด็นสนทนาก่อน “ได้ยินว่าจวนของท่านอ๋องสวรรค์หนิวทิวทัศน์งดงาม ข้ายังไม่เคยไปเลย วันนี้ได้เจอเหนียงเหนียง อดไม่ได้ที่จะคิดถึง ต้องมาขอให้เหนียงเหนียงแก่ไมตรีสักหน่อย ไม่ทราบว่าถ้าว่างๆ ข้าจะไปเที่ยวที่นั่นได้หรือเปล่า?”

“เดิมทีเป็นที่อยู่เก่าของจวนท่านอ๋องฮ่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าโยวเหม่ยสนใจ ก็ถือว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติพี่เชิญมาได้ยาก ข้าย่อมต้องยินดีต้อนรับอยู่แล้ว” อวิ๋นจือชิวกล่าว

จูโยวเหม่ยเอามือป้องปากหัวเราะคิกคัก “ในเมื่อเหนียงเหนียงพูดอย่างนี้แล้ว เช่นนั้นก็ถือเป็นความสิริมงคล เลือกวันอื่นไม่สู้เลือกวันนี้ หลังจากจบงานเลี้ยงอุทยาน ข้าก็จะอาศัยบารมีเหนียงเหนียงติดตามไปด้วยกันเลยดีไหม?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้มตอบ “ได้สิ!”

ในหัวกลับนึกถึงภาพในปีนั้นตอนที่ไปเยี่ยมคำนับผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้หยิ่งยโส ท่าทางเย็นชา แต่ตอนนี้กลับพูดประจบสอพลอทุกคำ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลง ท่าทีของคนเราเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจจริงๆ

คำพูดดีๆ ที่ฟังมาตลอดทางก็แค่ฟังเฉยๆ ไม่นับว่าเป็นเรื่องงดงามอะไรเช่นกัน ทว่าจูโยวเหม่ยเหมือนไม่อยากให้คนเห็นเยอะเกินไปว่าตัวเองใกล้ชิดกับอวิ๋นจือชิว ระหว่างทางจึงหาข้ออ้างเดินออกไปก่อน

สวนท้อเซียนกว้างใหญ่ไพศาล ต้นท้อโบราณสูงบังแดด ไอเซียนหมุนเป็นเกลียวคลื่น ถ้าจะตามหาคนก็ไม่ง่าย แต่กลับเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับคุยเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครเห็น

ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนมารวมตัวกันนอกสวนท้อ อวิ๋นจือชิวแอบกำชับเฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ว่าให้แบ่งกันตามหาถงเหลียนซี

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เสวี่ยหลิงหลงก็ส่งข่าวมาแล้ว บอกว่าเจอแล้ว

ตอนที่อวิ๋นจือชิวไปถึง ก็เห็นถงเหลียนซีนั่งอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง อวิ๋นจือชิวสั่งให้เสวี่ยหลิงหลงไปเยี่ยมคำนับ ให้นางหาข้ออ้างดึงตัวผู้หญิงอีกคนแยกออกไป ขณะเดียวกันก็ให้คนคอยเฝ้ารอบๆ เอาไว้ เสร็จแล้วถึงได้เดินออกมาจากป่าท้อ เดินตรงเข้าไปในศาลานั้น

เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวเดินเข้ามา ถงเหลียนซีก็รีบก้าวขึ้นมาคำนับ “หวังเฟยเหนียงเหนียง”

“ที่แท้ก็เป็นเหลียนซีนี่เอง!” อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนประหลาดใจ รีบยื่นมือบอกไปว่าไม่ต้องมากพิธี ขณะเดียวกันก็เชิญให้นั่งลง “เดินเล่นน่าเบื่อ เห็นศาลาเลยจะมานั่งสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะเจอเหลียนซีแล้ว ช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ”

ถงเหลียนซียิ้มอย่างสำรวม นั่งลงข้างๆ ด้วยความสง่าทว่านุ่มนวล นางไม่เหมือนคนสดใสเปิดเผย เป็นคนพูดน้อย ต้องรอให้อวิ๋นจือชิวต้องถามนางถึงจะตอบ

อวิ๋นจือชิวใช้คำพูดทดสอบนิดหน่อย ในใจเชื่อคำพูดของพระปีศาจไปแล้วสามส่วน นางเคยเห็นเจียงอีอีมาแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับภาพของเจียงอีอีที่อยู่ในความทรงจำ ก็พบว่าตรงช่วงหว่างคิ้วของถงเหลียนซีคล้ายกับเจียงอีอีอยู่หลายส่วน ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเจียงอีอี หน้าตาของน้องสาวเขาก็ย่อมไม่แย่แน่นอน ไม่แปลกใจที่ได้กลายเป็นอนุภรรยาคนโปรดของลั่วหม่าง

ขณะที่สมองกำลังคิด จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ถอนหายใจ “เมื่อเห็นเหลียนซี ก็ไม่รู้ว่าข้ารู้สึกไปเองหรือเปล่า มักรู้สึกว่าเหลียนซีคล้ายสหายเก่าของข้าคนหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างเหมือนกัน สหายเก่าของข้าแซ่เจียง เจียงจากคำว่าเจียงหู ไม่รู้ว่าเหลียนซีรู้จักหรือเปล่า?” ขณะที่พูดแบบนี้ นางก็สังเกตความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างละเอียด

สิบนิ้วของถงเหลียนซีที่อยู่นอกแขนเสื้อหดเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด แววตาวูบไหวชัดเจน แต่ภายนอกกลับไม่แสดงปฏิกิริยามากนัก นิ่งสงบมาก นางเงยหน้ามองไปรอบๆ แล้วถามว่า “หวังเฟยมาคนเดียวหรือคะ?” ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ ด้วยสถานะในตอนนี้ของอวิ๋นจือชิว เป็นชนชั้นสูงคนใหม่ที่มีคนรายล้อมเหมือนดาวล้อมเดือน จะมาเดินเล่นคนเดียวได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้บังเอิญอย่างที่อีกฝ่ายบอก แต่เป็นการจงใจทำให้บังเอิญ

อวิ๋นจือชิวสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้ว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ เหลียนซีก็เหมือนจะชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ เหมือนกัน พวกเราพี่น้องจะได้คุยเล่นกันพอดี ไม่มีใครรบกวน เจ้าคิดว่ายังไง?”

ถงเหลียนซีลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ คงตัวคำนับ แล้วกล่าวขณะที่ยิ้มบางๆ “เกรงว่าจะทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของเหนียงเหนียงแล้ว ข้ายังต้องไปอยู่กับก่วงหวังเฟยอีก ไม่รบกวนเหนียงเหนียงแล้วค่ะ” พูดจบก็เดินเนิบนาบออกไปด้วยท่วงท่าสง่างาม

อวิ๋นจือชิวรุดแขนเสื้อ แล้วกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “สหายเก่าแซ่เจียงคนนั้นตามหาน้องสาวของเขามาโดยตลอด ก็หาไม่พบเลย ตอนหลังก็หมดหนทางแล้วจริงๆ เลยมาหาข้า ไหว้วานให้ข้าช่วยหา เพื่อที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้ ข้าเองก็ใช้ความพยายามไปเต็ม ถึงได้สืบเจอเบาะแสแล้วนิดหน่อย”

ถงเหลียนซียืนตัวแข็งอยู่ตรงทางออกศาลาแล้ว นางก้าวขาไม่ออก ร่างงามสั่นเทิ้มเล็กน้อย

อวิ๋นจือชิวปรายตามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างสบายๆ ต่อไป “สงสัยเบาะแสที่ข้าได้มาจะผิดพลาด เกรงว่าจะทำให้สหายเก่าของข้าผิดหวังแล้ว”

ตอนที่ถงเหลียนซีหันตัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าก็กลับมานิ่งสงบเหมือนเดิมแล้ว นางจ้องอวิ๋นจือชิว “ข้าไม่เข้าใจว่าหวังเฟยหมายความว่ายังไง หวังเฟยหวังจะให้ข้าช่วยหาคนเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวแอบคิดในใจ สมกับที่ถูกฝึกมาจากสมาคมวีรชน มีการเตรียมพร้อมทางด้านจิตใจดีมาก ไม่ยอมรับปากง่ายๆ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ นางยืนมือบอกใบ้ “ถ้าเหลียนซีอยากจะช่วยฆ่าเรื่องนี้ ก็นั่งลงค่อยๆ คุยกันได้”

ถงเหลียนซีเดินเนิบนาบกลับมานั่งลงที่เดิม

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ น่าเสียดายที่เจียงอีอีในปีนั้นทำอะไรระมัดระวังตัว ไม่ได้เก็บจดหมายของน้องสาวไว้ข้างกาย ไม่อย่างนั้นแค่เปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์ก็จบเรื่องได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ นางถามว่า “ยินดีฟังข้าเล่าหรือเปล่าล่ะ?”

“ข้าจะตั้งใจฟัง” ถงเหลียนซีกล่าว

อวิ๋นจือชิวครุ่นคิดเล็กน้อย ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “สหายของข้าคนนั้นแซ่เจียง มีน้องสาวคนหนึ่ง สองพี่น้องมีชีวิตเพื่อกันและกัน เขาบอกว่าตอนเด็กๆ น้องสาวของเขาชอบกินถังหูลู่ แต่เขามักไม่มีเงินซื้อ อยู่มาวันหนึ่งสมาคมวีรชนปรากฏตัว แล้วพาตัวพวกเขาไป หลังจากสองพี่น้องที่อยู่สมาคมวีรชนก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ก็ถูกจับแยกกัน จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ไม่รู้ว่าน้องสาวหน้าตายังไง กำลังทำอะไร ตัวอยู่ที่ไหน วิธีการเดียวที่ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ก็คือ ได้รับจดหมายที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายเป็นระยะ เนื่องจากน้องสาวอยู่ในมือสมาคมวีรชน ด้วยความที่ถูกกดดัน เรื่องบางเรื่องเขาก็จำเป็นต้องทำ เขาเปลี่ยนชื่อเป็นเจียงอีอี กลายเป็นโจรราคะที่คนในใต้หล้าอยากกำจัดทิ้ง เขาต้องช่วยคนบางคนทำเรื่องน่าละอาย เขาเลยกังวลสุดๆ ว่าน้องสาวเขาก็จะถูกบีบบังคับเหมือนกัน ถึงได้ขอร้องให้ข้ามาช่วยชีวิตน้องสาวของเขา”

พอได้ฟังตอนแรก ถงเหลียนซีก็ร้องไห้แล้ว น้ำตานองหน้าอย่าเงียบๆ เรื่องที่ตอนเด็กนางชอบกินถังหูลู่ นอกจากพี่ชายแล้ว แม้แต่สมาคมวีรชนก็ไม่รู้เช่นกัน ตอนที่อวิ๋นจือชิวพูดถึงเรื่องนี้ นางก็แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายถูกไหว้วานจากพี่ชายให้มาหานางจริงๆ

แต่ตอนที่ได้ยินคำว่า ‘เจียงอีอี’  นางก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นเพราะในปีนั้นโจรราคะมีชื่อเสียงเกินไป แม้แต่นางเองเวลาจะออกไปข้างนอกก็ยังต้องป้องกัน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นางรู้แล้วว่าโจรราคะคนนั้นมีจุดจบที่อนาถมาก เหมือนจะตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อตอนที่ยังเป็นแม่ทัพภาคตลาดผี นางพลันเหลือบตาขึ้น ในดวงตาที่คลอน้ำตาราวกับมีไฟลุก “พวกเจ้าฆ่าเขาเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวจ้องนาง “ไม่ใช่พวกเราฆ่าเขาหรอก ที่เจ้าฟังมาเป็นข่าวลือทั้งนั้น มีคนจงใจปกปิดความจริง ไม่อยากให้คนรู้ว่าเจียงอีอีกับสมาคมวีรชนเกี่ยวข้องกัน แล้วความจริงก็ไม่เหมือนข่าวลือ ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ข้าจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ข้าจะช่วยเขาตามหาน้องสาวมาตลอดหลายปีขนาดนี้ได้ยังไง มีใครเขาขอให้ศัตรูช่วยทำเรื่องแบบนี้บ้าง?”

ถงเหลียนซีสะอื้นพลางส่ายหน้า “ใครเป็นคนฆ่าเขา?”

“อยากรู้ความจริงเหรอ? แต่ทำไมข้าต้องบอกเจ้าล่ะ? ข้าแค่มาขอให้เจ้าช่วย เหมือนเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะเกินไปนะ” อวิ๋นจือชิวตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

………………