WSSTH ตอนที่ 2,659 : เพลิงอมตะสีเทา
‘กระทั่งได้ฟังตำแหน่งจากเจ้าเมืองหลิ่วมาอย่างละเอียด ยังยากจะหาที่ตั้งเพลิงอมตะด้วยซ้ำ…’
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายประกายวูบวาบ คนเหินพุ่งไปพุ่งมามองหาลักษณะที่ทางทั้งจุดสังเกตุตามที่หลิ่วเฟิงกู่บอก
และไม่นานนัก สองตาเขาก็หดหยีลง ในแววตายังเริ่มฉายถึงประกายตื่นเต้นให้เห็นชัด
‘ตรงนั้น!’
หลังมองหาจุดสังเกตตามที่หลิ่วเฟิงกู่บอกไว้อย่างละเอียด จนมาถึงเขาที่ดูไม่เด่นแห่งหนึ่ง ต้วนนหลิงเทียนก็เริ่มเหินวนรอบเขาลูกดังกล่าว
สุดท้ายเขาก็มาหยุดลงทางทิศตะวันออกของเชิงเขาลูกนั้น
“ค่ายกลที่เจ้าเมืองหลิ่วจัดตั้งไว้ปกปิดยังอยู่…แสดงว่าไม่เคยมีใครมาพบสถานที่แห่งนี้อีกเลยนอกจากเจ้าเมืองหลิ่ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำออกมาในขณะที่แผ่สำนึกเทวะลองไปสำรวจป่ารกชัดบริเวณเชิงเขา
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศดังขึ้นฉับไว เป็นต้วนหลิงเทียนวูบร่างไปปานสายลมหอบหนึ่ง พริบตาก็ดิ่งลงสู่ป่ารกชัดดังกล่าว
มองไกลๆเห็นเพียงเขาพุ่งไปยังแนวป่าที่เชิงเขา ท่าอยู่ๆร่างเขาก็วูบหายไปในแนวป่าอย่างอัศจรรย์ ดั่งคนเดินทะลุกำแพง!
ประหนึ่งถูกแนวป่ากลืนหายไป!
มองจากด้านบนป่ารกชัดแห่งนี้ก็แลดูปกติไม่ได้มีใดผิดแปลก…
ทว่าที่แท้ป่ารกชัดบริเวณเชิงเขานั้นเป็นภาพลวงตาจากค่ายกลที่หลิ่วเฟิงกูจัดตั้งขึ้นเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง และมันก็ถูกต้วนหลิงเทียนมองออก!
ต้วนหลิงเทียนที่ก่อนหน้าเหมือนจะพุ่งเข้าสู่แนวป่านั้น ก็พุ่งภาพลวงของค่ายกลเท่านั้นไม่ได้ชนลำต้นฝ่าดงใบไม้อะไร และในที่สุดก็บรรลุถึงเบื้องหน้าโพรงถ้ำบริเวณเชิงเขา และบริเวณปากโพรงถ้ำยังมีแอ่งน้ำขังส่งกลิ่นเน่าเหม็นไม่กี่แอ่ง
วู้ม!
หลังเหินข้ามแอ่งน้ำขังเข้ามาในโพรงถ้ำแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เร่งเร้าพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดขึ้นมา จนทั่วร่างเปล่งแสงขาวส่องสว่าง ขับไล่ความมืดมิดในถ้ำไปทันใด
ปงงง!
หลังเหินเข้าโพรงถ้ำได้ไม่นาน พอมาถึงจุดที่มีหินงอกหินย้อยแลดูธรรมดาหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนที่มองนับจำนวนแท่งหินย้อยอยู่สักพัก ก็มองไปยังผนังโพรงถ้ำด้านหนึ่ง ค่อยซัดฝ่ามือไปยังผนังโพรงถ้ำที่ว่าทันใด!
และทันใดนั้นเอง!
ปงงง!!
ตึง แกร่ก แกร่กก…
…
เมื่อพลังฝ่ามือซัดปะทะผนังโพรงถ้ำที่ว่า ผนังโพรงถ้ำก็เริ่มพังทลายเผยให้เห็นช่องทางสายหนึ่ง ที่ทอดตัวลึกลงไปที่ใดไม่ทราบ ทว่าช่างมืดดำจนไม่อาจแลเห็นแม้แต่นิ้วมือทั้ง 5 ประหนึ่งมันคือปากของอสูรกายน่ากลัวที่อ้าออกรอเหยื่อ…
‘จากที่เจ้าเมืองหลิ่วบอก ช่องทางเดินนี่มันทอดยาวลึกลงไปใต้โลก และเพลิงอมตะที่ว่าก็อยู่ที่ปลายทาง!’
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้า ร่างพุ่งวูบเข้าช่องทางมืดสนิทนั่นทันที
พอเขาเข้ามาแสงจากพลังทั่วร่างก็ทำให้ช่องทางเริ่มสว่างไสว
ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ คนคล้ายไข่มุกราตรีก็ไม่ปาน เปล่งแสงสว่างขับไล่ความมืดมิดโดยรอบให้หายไป…
ระหว่างเดินทางลงลึกไปยังใต้ดิน เขาก็ไม่พบเจออุปสรรคหรือสิ่งมีชีวิตใดเข้ามาขัดขวาง
เพราะสุดท้ายแล้วเพลิงอมตะก็ไม่ใช่สิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้น มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไหนเลยจะมีด่านทดสอบอะไร เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนที่เดินลึกลงมาในช่องทางอันเงียบสงัดราวๆครึ่งชั่วยาม ก็มาถึงสุดทาง…
“ถึงแล้ว”
มองไปยังแสงสีเทาสลัวๆที่เรือรองอยู่ที่สุดทางเบื้องหน้าไกลๆ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายจ้า ยังสว่างไสวงดงามราวดวงดาวกลางฟ้ายามค่ำคืน
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะมาถึงที่นี่เขาก็ได้ยินหลิ่วเฟิงกู่บอกไว้แต่แรก
ว่าเพลิงอมตะที่นี่ มีสีเทา!
ส่วนมันจะเป็นเพลิงอมตะสำหรับหลอมปรุงโอสถหรือหลอมสร้างอุปกรณ์นั้น หลิ่วเฟิงกู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน…
ตูม!
พอเห็นแสงสีเทาสลัวสุดทาง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่ามาถึงที่หมายแล้ว เท้าย่ำลงพื้นอย่างแรงส่งร่างให้พุ่งทะยานไปยังแสงเทาสลัวดังกล่าวทันที!
เมื่อมาถึงสุดทาง ต้วนหลิงเทียนก็พบโถงถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล!
ภายในถ้ำอันกว้างใหญ่แห่งนี้ปรากฏเศษหินมากมายลอยล่องอยู่ในถ้ำราวไร้น้ำหนัก บ้างก้อนเล็กเท่าเม็ดข้าวบ้างก้อนใหญ่เท่าเตียง ทั้งหมดล่องลอยในความว่างเปล่าดั่งสายธารฝุ่นดิน
ที่ลอยล่องอยู่มากที่สุดก็คือทรายและก้อนกรวดขนาดเล็ก
หิน กรวด ทราย
นี่เป็นความคิดแรกของต้วนหลิงเทียนหลังแลเห็นฉากเรื่องราวในถ้ำ
ประหนึ่งที่นี่เป็นโลกที่มีแต่หิน กรวด แล้วก็ทราย
“นั่นน่ะเหรอ…เพลิงอมตะ!?”
ขณะเดียวกันสองตาต้วนหลิงเทียนก็มองลอดผ่านกลุ่มหินกรวดทรายเบื้องหน้าไปยังต้นตอแสงเทาสลัวของถ้ำ จนตกลงบนเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่ากลางถ้ำ! และพอได้เห็นเปลวเพลิงที่ว่าเขาก็ยากจะละสายตาออกมาจากมันได้!!
เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาเคยเห็นเปลวเพลิงสีนี้
เปลวเพลิงสีเทาที่อยู่กลางถ้ำนั้น ประหนึ่งใจกลางก็ไม่ปาน เหล่าหินกรวดทรายทั้งหลายก็โคจรรอบมันจนเกิดเป็นวงโคจร
นอกจากนี้ในขณะที่มองจ้องเปลวเพลิงสีเทาที่ลุกโชนกลางอากาศเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนเขากำลังตกลงไปในห้วงๆหนึ่ง
ราวกับเปลวเพลิงสีเทานี้มีอำนาจดูดกลืนลี้ลับ คอยดึงดูดสติสำนึกของต้วนหลิงเทียนให้ติดอยู่ในนั้นอย่างยากจะถอนตัว…
“หืม?”
จนเมื่อแสงลี้ลับที่ส่องสลัวรอบชิ้นส่วนโลหะแตกๆข้างดวงจิตต้วนหลิงเทียนเรืองรองขึ้นมาวาบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ผงะไปคล้ายได้สติ เร่งละสายตาออกมาจากเปลวเพลิงสีเทาทันที
“เพลิงอมตะนี่…ช่างแปลกประหลาดจริงๆ”
หลังงละสายตาออกมาจากเพลิงสีเทาได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าลึกๆ
เมื่อครู่หากไม่ได้ชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์ข้างดวงจิตเปล่งพลังลี้ลับออกมาปกคลุมดวงจิตเขาเอาไว้ ดั่งถังน้ำเย็นราดรดลงหัวเขาล่ะก็…
เขาคงได้แต่มองเปลวเพลิงสีเทาอยู่อย่างนั้นไม่อาจดึงสติกลับมาได้…
‘ก่อนจะมา ไม่เห็นเคยได้ยินเจ้าเมืองหลิ่วบอกไว้เลยว่าเพลิงอมตะนี่มีอำนาจดึงดูดใจแบบนี้ด้วย’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
เพราะหลิ่วเฟิงกู่ไม่ได้กล่าวเตือนเขาเรื่องนี้ เขาเลยเผลอจ้องมองเปลวเพลิงสีเทาอย่างไม่รู้เรื่อง จนทำให้สติสำนึกจมลงไปในนั้นอย่างยากจะถอนตัว…
‘หรือเจ้าเมืองหลิ่วอาจจะไม่พบเจอสถานการณ์แบบนี้…’
‘บางทีทั้งหมดเป็นเพราะระดับพลังวิญญาณของข้ายังไม่สูงมากพอจะรอดพ้นจากอำนาจสะกดจิตของเพลิงสีเทานี่…เพราะอย่างไรเสียระดับพลังวิญญาณของข้าก็แค่จินเซียนตะวันเหลืองเท่านั้น…น้อยกว่าระดับพลังวิญญาณของเจ้าเมืองหลิ่วตอนที่พบเจอเพลิงอมตะนี่เสียอีก…’
ต้วนหลิงเทียนค่อนข้างเชื่อถือคนอย่างหลิ่วเฟิงกู่
ดังนั้นเขาไม่คิดสงสัยว่าเป็นหลิ่วเฟิงกู่จงใจปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่คิดว่าเป็นเพราะระดับพลังวิญญาณเขาอ่อนด้อยเองถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
และอันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็คิดถูก
เหตุผลที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์เมื่อครู่ เป็นเพราะระดับพลังวิญญาณของเขาอ่อนแอเกินไป
‘ฟังจากที่เจ้าเมืองหลิ่วพูด…เมื่อเริ่มเข้าใกล้เพลิงอมตะนี่ จะถูกเหล่าหินกรวดทรายในถ้ำโจมตีใส่ทันที และตอนนั้นเป็นเพราะเจ้าเมืองหลิ่วไม่อาจฝ่าเหล่าหินกรวดทรายที่โถมเข้ามาทุกทิศทางได้ จึงต้องกลับบ้านมือเปล่า…’
ไม่ทันรู้ตัว สายตาต้วนหลิงเทียนก็กวาดมองจ้องไปยังหินกรวดทรายมากมายที่ลอยล่องอยู่เบื้องหน้าเต็มถ้ำ
เรียกว่าเหล่าก้อนหิน เม็ดกรวดและทรายมากมายที่ลอยล่องอยู่รอบเพลิงอมตะดั่งวงโคจรของดวงดาวนั้น ไม่ต่างอะไรจากผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องเพลิงอมตะราวทาสผู้ซื่อสัตย์เลย…
ทันใดนั้นเอง
อยู่ๆแวตาของต้วนหลิงเทียนก็เย็นลง
ครู่ต่อมา
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
บังเกิดเสียงหวีดหวิวของกระบี่ดังขึ้นระรัว! เป็นต้วนหลิงเทียนที่อาศัยหนึ่งห้วงคิดก็เรียกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมา ได้ใช้ออกด้วยทุกสิ่งสร้างค่ายกลกระบี่สีรุ้งขึ้น!
พอค่ายกลกระบี่สีรุ้งก่อตัวแล้วเสร็จ ก็ปกคลุมทั่วร่างเขาเอาไว้ จากนั้นก็พาเขาท่องทะยานเข้าใส่เพลิงอมตะด้วยความเร็วสูงล้ำ!
เมื่อไม่ทราบว่าเพลิงอมตะเบื้องหน้ามีพลังอำนาจร้ายกาจแค่ไหน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลงมือเต็มกำลังเอาไว้ก่อน!
สำหรับวิธีรวบรวมเพลิงอมตะเข้าร่าง ต้วนหลิงเทียนได้ถามหลิ่วเฟิงกู่ก่อนออกจากเมืองเฉวี่ยโยวครั้งนี้มาแล้วเรียบร้อบ
และหลิ่วเฟิงกู่ก็ได้มอบยันต์อมตะเก็บความทรงจำให้เขาโดยเฉพาะ เป็นยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บอกวิธีเก็บเพลิงอมตะเข้าร่างอย่างละเอียด…
‘ในการเก็บรวบรวมเพลิงอมตะ นอกจากต้องรับมือการต่อต้านของมันได้แล้ว ยังต้องอาศัยสำนึกเทวะสื่อสารกับมันด้วย…หากมีพลังมากพอจะสยบเพลิงอมตะลงได้อย่างราบคาบ แล้วใช้สำนึกเทวะสื่อสารกับมันได้ ปกติแล้ววก็จะสามารถทำให้มันเชื่องได้ไม่ยาก เพราะพวกมันยังไม่ได้เปิดภูมิปัญญาโดยสมบูรณ์!’
ต้วนหลิงเทียนที่ควบคุมค่ายกลกระบี่ล้อมร่างให้ท่องทะยานตะลุยฝ่าเข้าหาเปลวเพลิงอมตะนั้น ทั้งคนทั้งค่ายกระบี่ประหนึ่งภูตผีก็ไม่ปาน วูบไปดั่งเงาเลือนสีรุ้ง จี้เข้าใกล้เพลิงอมตะอย่างรวดเร็ว!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพร้อมค่ายกลกระบี่ท่องทะยานเข้าใกล้ หินกรวดทรายโดยรอบก็คล้ายมีชีวิต เป็นเหล่ากรวดทรายที่มีจำนวนมากที่สุดเริ่มพุ่งเข้าจู่โจมค่ายกลกระบี่สีรุ้งที่ห้อมล้อมร่างต้วนหลิงเทียนทันที!
กรวดทรายทั้งหลายยังเริ่มรวมตัวดั่งพายุงวงช้าง ซัดถล่มเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างรุนแรง!
พายุกรวดทรายยังมีหลายลูกนัก ปิดกั้นทัศนวิสัยต้วนหลิงเทียนงสมบูรณ์ มองไปทางใดก็เห็นแต่พายุทรายอันน่ากลัว!
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพายุกรวดทรายโถมเข้าใส่ปะทะกับค่ายกลกระบี่ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ชัดเจน
การโจมตีของพายุกรวดทรายนับว่าทรงพลังไม่ใช่ชั่วจริงๆ! ให้เทียบกับการลงมือเต็มกำลังของโจวทง ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของมณฑลจิ่วโยว ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังรับมือกับพายุกรวดทรายที่โถมมาน่ากลัว ก็มีเสียงคำรามฉับไวดังเข้าหู
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเพียงไม่กี่เสียง
หลังจากนั้นเขาก็สามารถเห็นได้ชดเจน
ด้านหลังพายุทรายที่กำลังโถมถันเข้ามา ปรากฏก้อนหินขนาดใหญ่มากมายที่เริ่มรวมกลุ่มกัน จากนั้นก็เริ่มพุ่งเข้ามาหาเขาดั่งห่าอุกกาบาตจากอวกาศ!
ความเร็วของพวกมันเหนือกว่าพายุทรายมาก!
‘การโจมตีนี่มัน…ทรงพลังเหนือกว่าการลงมือของโจวทงไปแล้ว!’
เมื่อสัมผัสได้ถึงอานุภาพพลังจากเสียงคำรามแหวกอากาศของกลุ่มหินที่ไม่ต่างอะไรจากห่าอุกกาบาต สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันใด ลูกตาหดเล็กลงในฉับพลัน!