WSSTH ตอนที่ 2,660 : บทสนทนาประหลาด!
ปง! ปง! ปง! ปง!
…
เสียงระเบิดดังประหนึ่งจะเขย่าโลกอุบัติขึ้นระรัว เป็นค่ายกลกระบี่ที่ครอบคลุมร่างต้วนหลิงเทียนอยู่ปะทะเข้ากับพายุกรวดทรายและกลุ่มหิน ที่สภาวะประหนึ่งอุกกาบาตจากห้วงอวกาศ!
ซู่มมม!!
ครืนนน!!
…
การปะทะอันรุนแรงก่อให้เกิดคลื่นกระแทกทั้งสายลมวิปริตสาดซัดไปทั่ว! พาลให้โถงถ้ำสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่!!
ต้วนหลิงเทียนที่แม้จะอยู่ภายในค่ายกลกระบี่สีรุ้ง ตอนนี้ยังรู้สึกเสมือนเลือดลมตีกลับ อวัยวะภายในสะท้านสะเทือนไม่หยุด กลุ่มก้อนโลหิตหนึ่งเริ่มตีขึ้นไปยังลำคอ!
“อั่ค!”
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนที่ฝืนเกร็งร่างไปพักหนึ่งจนตัวสั่น ก็อดไม่ไหวจำต้องกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
โลหิตพุ่งเป็นฝอยพร่างพราว!
ครืน! ครืน! ครืน! ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าเลือดลมในร่างปั่นป่วนเหลือเกินและอึดอัดราวกำลังจะกระอักโลหิตออกอีกคำ กรวดทรายก็เริ่มควบรวมเป็นพายุงวงช้างอีกลูก หินขนาดกลางกับใหญ่ก็เริ่มรวมตัวก่อเกิดกลุ่มหินอีกรอบในเวลาอันสั้น ก่อนพวกมันจะถล่มเข้ามาเร็วไว ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสพักหรือหลบหนีไปไหน!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
เสียงระเบิดดังสนั่นสะท้านแดนดิน!
และคราวนี้ค่ายกลกระบี่สีรุ้งที่ปกคลุมทั่วร่างต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มอ่อนจางลง…เพราะรังสีกระบี่มากมายถูกทำลาย! ยิ่งถูกพายุกรวดทรายกับกลุ่มหินที่ไมต่างอะไรจากห่าอุกกาบาตก่อตัวถล่มซ้ำเร็วขึ้นเท่าไหร่ รังสีกระบี่ก็สลายตัวไปเร็วขึ้นเท่านั้น!
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
ในขณะที่ค่ายกลกระบี่ปะทะพลังทำลายต้านทานห่ามรสุมที่ถาโถมจนอ่อนโทรมลงทุกขณะ ร่างต้วนหลิงเทียนก็ทานรับพลังสะท้อนระลอกแล้วระลอกเล่า ร่างสั่นระริก…รู้สึกเสมือนทั่วร่างกำลังถูกทุบตีอย่างแรงไม่หยุด!
“อั๊ค!”
“อ่อค!”
…
โลหิตกระออกปากเขารัวๆ ร่างอันบอบช้ำยิ่งมายิ่งสั่นไหวรุนแรง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างที่จ่ายออกไปเพื่อสร้างรังสีกระบี่คงสภาวะค่ายกล กำลังลดลงด้วยอัตราเร็วอันน่ากลัว!!
ซ้ำร้ายไม่ว่าจะจ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างไปมากเพียงใด หากแต่พายุกรวดทรายกับกลุ่มหินที่ดั่งห่าอุกกาบาตถล่มก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ยิ่งมายิ่งสร้างแรงกดดันให้เขามากขึ้น!
ดูท่าแล้วคงใช้เวลาอีกไม่นาน ค่ายกลกระบี่ของต้วนหลิงเทียน ไม่พ้นต้องถูกพายุกรวดทรายและกลุ่มหินฝ่าทำลาย สุดท้ายก็ซัดใส่เขาตรงๆ!
ถึงเวลานั้นต้วนหลิงเทียนไม่พ้นต้องตายแน่นอน!
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้อาการบาดเจ็บของต้วนหลิงเทียนก็มากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายไม่เพียงแต่จะบอบช้ำ สติยังพร่าเลือนลงทุกที ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้เป็นเพราะเจตจำนงอันเข้มแข็งไม่ยอมแพ้ดั่งเหล็กกล้า ฝืนประคองสติดูดซับพลังฟ้าดินเพื่อชดเชยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ไหลออกไปปานเทน้ำทิ้ง!
อนิจจาแม้ต้วนหลิงเทียนจะใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเพื่อดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน เพาะสร้างพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเพิ่มเติม แต่เขาก็ไม่อาจคงสภาพดังกล่าวได้อีกนานนัก…
‘หรือวันนี้…ข้าต้วนหลิงเทียนต้องมาจบสิ้นที่นี่?’
ในขณะที่กำลังฝืนประคองสภาพอย่างกล้ำกลืน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ
ครั้งนี้กระทั่งเขาใช้พลังจากกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ซึ่งเป็นถึงอดีตอุปกรณ์เทพแล้ว แต่เขาก็ยากจะต้านทานพลังทำลายล้างสองขุมเบื้องหน้าได้…
หากพวกมันมาทีละอย่างเขายังพอทน แต่พวกล่อถล่มเข้ามาพร้อมๆกันไม่มีหยุดเป็นชุดแบบนี้ เขาก็ไม่ไหวจะต้าน!
‘ต้วนหลิงเทียนหนอต้วนหลิงเทียน…แกจะมาสำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้ว…เจ้าเมืองหลิ่วก็บอกอยู่ทนโท่ว่าตอนเริ่มเข้าใกล้เพลิงอมตะจะเจอกับอะไร…’
‘หากค่อยๆเข้ามาแต่แรก สุดท้ายถึงจะทานรับต่อไม่ไหว แต่อย่างน้อยๆก็ยังสามารถถอยได้ทันเหมือนเจ้าเมืองหลิ่ว…’
พอนึกถึงเรื่อนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขื่นขมในใจ
หลิ่วเฟิงกู่เล่าขั้นตอนทุกอย่างให้เขาฟังชัดเจน หากแต่เขาคิดว่ามันคงไม่เท่าไหร่ กระทั่งเชื่อว่าหากลงมือเต็มกำลังสมควรฝ่าการต่อต้านทั้งหลายของเพลิงอมตะ และเข้าไปรวบรวมมันได้ทันทีเป็นแน่…
มาตอนนี้เขาพึ่งจะสำนึกว่าชะล่าใจเกินไป!
และราคาที่ต้องจ่ายจากการชะล่าใจครั้งนี้ ก็คือทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในห้วงวิกฤตเป็นตาย! กระทั่งตอนนี้ยังเริ่มสูดได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายชัดขึ้นทุกขณะ!!
‘เพลิงอมตะนี่มันมีระดับอะไรกันแน่…หากเป็นเพลิงอมตะระดับต่ำ ต่อให้จะเป็นเพลิงอมตะระดับต่ำที่หาได้ยากขนาดไหน ก็สมควรเป็นอะไรที่ระดับพลังในตอนนี้ของข้ากำราบมันได้ง่ายๆ…’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของเพลิงอมตะเบื้องหน้า หลังต้องเผชิญกับห่าอุกกาบาตและพายุฝุ่นทรายที่มันใช้เพื่อต่อต้านเขา
ใจเขายังยืนยันได้เรื่องหนึ่ง…
กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีเทาเบื้องหน้า ไม่มีทางเป็นเพลิงอมตะระดับต่ำได้แน่!
พลังอำนาจในการต่อต้านของเพลิงอมตะระดับต่ำ ไม่มีวันรุนแรงได้ถึงขนาดนี้!
‘หรือ…ข้าต้วนหลิงเทียนต้องจ่ายราคาความชะล่าใจครั้งนี้ด้วยชีวิตจริงๆ?’
เมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างพร่องลงจนพลังขาดห้วง ค่ายกลกระบี่สลายตัว ทำให้สัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรงเกรี้ยวกราดที่กำลังโถมเขาใส่เขารอบทิศทางชัดเจน ในใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเต็มไปด้วยความสิ้นหวังทั้งยังรู้สึกสำนึกเสียใจนัก!
เสียใจที่มั่นใจในตัวเองเกินไป!
หากพระเจ้ามีจริงแล้วให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาจะค่อยๆฝ่าเข้าไปเหมือนหลิ่วเฟิงกู่…
“ต้วนหลิงเทียน ถึงแม้ความแข็งแกร่งของท่านยามนี้จะไม่ได้ด้อยไปกว่าต้าหลัวจินเซียนทั่วไป…แต่ข้าหวังว่าเมื่อท่านไปถึงที่นั่นแล้วจักไม่ฝืนจนเกินไป หากคิดว่าไม่ไหวจริงๆก็ล่าถอยไปก่อนเถอะ เพียงรอให้พลังฝึกปรือก้าวหน้าขึ้นกว่านี้ วันหน้าค่อยไปรับเพลิงอมตะก็ยังไม่สาย…”
เขายังจดจำได้ดีว่าก่อนที่จะออกจากเมืองเฉวี่ยโยว หลิ่วเฟิงกู่ถึงกับย้ำเรื่องนี้กับเขาเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามเขาเลือกที่จะเมินเฉย
เพียงคิดว่าด้วยมีพลังทัดเทียมกับขอบเขตต้าหลัวจินเซียน กระทั่งเอาชนะผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของจวนผู้ว่ามณฑลจิ่วโยวอย่างโจวทง ที่เป็นตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนได้ง่ายๆ เขาเลยคิดไปว่าการเก็บรวบรวมเพลิงอมตะต้องทำได้ง่ายดายแน่!
ไม่คิดเลยว่าพอถึงตอนสำคัญเข้าจริงๆ เรือกลับพลิกคว่ำกลางลำน้ำ!
ซู่มม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
พร้อมกับเสียงคำรามอันน่ากลัวของพายุกรวดทราย กับกลุ่มหินที่ซัดถล่มเข้ามาดั่งฝนดาวตก ร่างต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรจากชายฝั่งที่ถูกคลื่นอย่างพวกมันกระทบเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า สุดท้ายคนก็สิ้นสติไปไม่อาจคิดสิ่งใดได้อีก…
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนสิ้นสติไป แรกสุดเลยพายุกรวดทรายที่โถมเข้ามา ก็ป่นเสื้อคลุมเขาจนขาดวิ่นเป็นผ้าขี้ริ้ว จากนั้นพวกมันก็คล้ายจะไม่เลิกราแต่เพียงเท่านี้ เตรียมจะบดขยี้ร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลก!
ทว่าในห้วงเวลาเป็นตายนั้นเอง…
วู้มมม!!
ปรากฏแสงสลัวๆหนึ่งเรืองรองขึ้นมาจากร่างต้วนหลิงเทียนปกคลุมทั่วทั้งตัวเขาเอาไว้ และพายุกรวดทรายไม่เว้นกลุ่มหินที่ถล่มเข้ามาดั่งห่าอุกกาบาต ก็เสมือนเจอปราการไร้ทลายไม่อาจฝ่าเข้ามาได้ ต่างเริ่มสิ้นพลังอานุภาพ
สุดท้ายทุกสิ่งก็สงบลง
จากนั้นร่างต้วนหลิงเทียนที่ชุดขาดวิ่นจนแทบจะเปลือยเปล่า ก็ร่วงตกลงมา…
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ตอนนี้ทั่วร่างของเขาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยม่านแสงลี้ลับ เขากลับพลิกตัวลงไปยืนบนพื้นได้อย่างประหลาด อีกทั้งถึงแม้ดวงตาจะปิดลง…ทว่าคนกลับหันไปทำราวกับจะมองจ้องไปที่กลุ่มก้อนเฟลวเพลิงสีเทากลางถ้ำ!
ฟุ่บ!
สายลมกระเพื่อมพัดแผ่วบางเบา เป็นชิ้นส่วนโลหะแตกหักอยู่ๆก็พุ่งขึ้นมาหยุดลอยเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนอย่างอัศจรรย์ และเพียงมองก็รู้ว่าที่ร่างต้วนหลิงเทียนที่สิ้นสติยังยืนอยู่ได้ เป็นเพราะอะไร…
ม่านแสงลี้ลับที่พยุงร่างต้วนหลิงเทียนที่หลับไหลไม่ได้สติ ที่แท้กลับแผ่ออกมาจากชิ้นส่วนโลหะแตกหักนี่เอง! เพราะแสงลี้ลับรอบกายต้วนหลิงเทียนกับแสงลี้ลับที่เรืองรองอยู่รอบตัวมัน มีลักษณะทั้งกลิ่นอายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน!!
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนโลหะแตกๆนั่นอย่างไม่อาจแยกออก!
หากต้วนหลิงเทียนยังหลงเหลือสติอยู่ ตอนนี้เขาคงต้องตกใจครั้งใหญ่แน่
ชิ้นส่วนโลหะแตกๆนี่…มิใช่เป็นชิ้นส่วนโลหะแตกๆที่เข้าไปอยู่ข้างๆและคอยปกป้องดวงจิตเขามาตลอดหลังจากที่ขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนหรอกหรือ?
ชิ้นส่วนโลหะแตกหักชิ้นนี้ยังเป็นเขานำมันขึ้นมาจากระนาบโลกียะ และต้นกำเนิดของมันก็เกิดจากการหลอมรวมกันของวัตถุ 2 อย่าง…
หนึ่งในนั้นคือป้ายหยกที่เซี่ยเจี๋ย อาสามของเค่อเอ๋อจากดินแดนแห่งทวยเทพมอบให้เขา
อีกอย่างคือหินประหลาด ที่ป้ายหยกดังกล่าวมันนำเขาไปพบบนภูเขาใกล้เมืองวายุโปรย บ้านเกิดของเขาในทวีปเมฆาล่อง…
“เพลิงเทพโกลาหล…ไม่คิดเลยว่าจะได้พบพานสหายเก่าเช่นเจ้าในที่แบบนี้…”
ทันใดนั้นเองสุรเสียงอันปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจหนึ่ง ก็ดังก้องไปทั่วโถงถ้ำราวกับดังขึ้นจากรอบทิศทาง
และในเวลาเดียวกันกับที่เสียงนี้ดังขึ้น ชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มเปล่งแสงลี้ลับแรงกล้าออกมาสว่างไสวยิ่งกว่าครั้งใด
จนเมื่อสุรเสียงกังวานดังกล่าวจบลง แสงลี้ลับที่ส่องสว่างรอบชิ้นส่วนโลหะแตกหักดังกล่าวก็ค่อยๆหรี่ลง
“ทองเทพสุดลี้ลับ…”
พร้อมๆกันกับที่เสียงเก่าแก่โบราณหนึ่งดังก้องไปทั่วโถงถ้ำ เปลวเพลิงสีเทากลางถ้ำก็เริ่มลุกโชนขึ้นมา ส่องสว่างไปทั่วถ้ำกลบร่างต้วนหลิงเทียนให้สีซีดลงถนัดตา
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนตอนนี้สลบไสลไม่ได้สติ
ไม่งั้นเขาได้ตะลึงกับเรื่องราวเบื้องหน้าแน่นอน
นั่นเพราะเสียงที่ดังก้องอยู่ในถ้ำตอนนี้ กลับเป็นเสียงที่ดังออกจากชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์ กับเปลวเพลิงสีเทา!
ดูเหมือนทั้งสองกำลังสนทนนากันอยู่
“ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2…เจ้าหนุ่มผู้นั้นคือร่างต้นที่เจ้ายอมรับเป็นนายหรือ?”
เปลวเพลิงสีเทาที่ถูกเรียกหาว่า เพลิงเทพโกลาหล โดยชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์ เปล่งเสียงชราเหมือนก่อนหน้าออกมาอีกรอบ และในขณะที่เสียงชราก้องไปทั่วถ้ำเปลวเพลิงสีเทาก็ลุกโชนสว่างขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ผิด”
ชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์ที่เหมือนจะเป็น ทองเทพสุดลี้ลับ ก็เปล่งแสงลี้ลับเรืองรองขึ้นอีกรอบ สุรเสียงทรงพลังก็ดังขึ้นทั่วโถงถ้ำอีกครั้ง
“หากไม่ใช่เพราะเจ้ากับข้าล้วนเข้าถึงขั้นที่ 2 กันแล้วทั้งคู่…ข้ากับเจ้าคงไม่อาจปลุกสติสำนึกให้ตื่นขึ้นมา และสนทนากันได้เช่นนี้…ว่าอย่างไรเล่า สนใจมารับใช้เจ้านายเดียวกันกับข้าหรือไม่?”
ทองเทพสุดลี้ลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยการชักชวน
และหลังพูดชนจบ ไม่รอให้เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอบอะไร มันก็พูดเสริมออกมาว่า “หากข้าเดาไม่ผิดเจ้าสมควรเจอร่างต้น และอยู่ด้วยกันก่อนที่เจ้าจะพัฒนาเป็นขั้นที่ 2…แต่ร่างต้นของเจ้ามิอาจทานทนรับไหว จึงถูกพลังของเจ้าแผดเผาจนร่างสลายไปใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวออกอย่างทอดถอน “อดีตร่างต้นของข้ามิอาจทานรับพลังอำนาจของตัวข้าหลังพัฒนาสู่ขั้นที่ 2 ได้…กระทั่งร่างต้นของนายเจ้าตอนนี้ก็ไม่อาจทานรับไหวเช่นกัน”
“ก็จริงที่ร่างนายข้าเองก็คงไม่อาจทานรับพลังของเจ้าได้ไหว…แต่เจ้าอย่าได้ลืมไปว่ายังมีข้า!”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวโน้มน้าว
“ข้าไม่อาจปลุกสำนึกสติให้ตื่นได้นานนัก…ทั้งหมดอยู่ที่เจ้าแล้ว รีบตัดสินใจหน่อยก็ดี และหากเจ้ายินดีรับใช้นายข้า ข้าจะใช้ร่างกายของข้าล้อมกักเจ้าเอาไว้เอง พลังอำนาจของเจ้าจะได้ไม่แผดเผาร่างเขา…”
ทองเทพสุดลี้ลับยังคงกล่าวโน้มน้าวเชิญชวนต่อ และเสียงกล่าววคราวนี้คล้ายรีบเร่งไม่น้อย
ราวกับสำนึกสติของมันอาจจะดับลงได้ทุกเวลา…