ตอนที่ 2661

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 2,661 : สับสนงุนงง

 

 

พอเพลิงเทพโกลาหลได้ยินคำของทองเทพสุดลี้ลับ มันก็นิ่งไปไม่พูดจาพักหนึ่ง…

 

“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าเองก็คงพึ่งปลุกสติสำนึกขึ้นมาได้ไม่นาน…ใจเจ้าคิดจะอุดอู้อยู่แต่ในซอกหลืบแห่งนี้ไปจนกว่าจะมีใครมาพบเจอและสามารถเป็นร่างต้นให้เจ้าได้จริงๆหรือ?”

 

เสียงของทองเทพสุดลี้ลับเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เจ้าจะต้องรอคอยไปอีกนานเท่าใดกว่าจะพบผู้คนมาพบ และคนผู้นั้นก็มีความสามารถพอรองรับเจ้าได้ในซอกหลืบอันธุรกันดารแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ…ต่อให้สักวันจะปรากฏตัวคนที่เหมาะสมจริงๆ แต่เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ถูกผู้ถือครองเพลิงเทพโกลาหลคนอื่นดูดกลืน? สุดท้ายสำนึกสติเจ้าก็มีแต่จะต้องหายไปชั่วกาล…คงเหลือไว้แต่พลังอำนาจที่ไม่ต่างหินรองเท้าให้ผู้อื่น…”

 

“หรือ…เจ้าอยากเสี่ยงประสบชะตากรรมเช่นนั้นจริงๆ?”

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าถือดีและมีความหยิ่งทะนงไม่อยากรับใช้นายร่วมกับเทพเบญจธาตุอื่นใด แต่เจ้าคิดหรือว่าข้าเองก็ไม่ทะนงตัวเหมือนเจ้า? หากมิใช่เพราะข้าหวาดกลัวตัวข้าถูกผู้อื่นทำลายสำนึกและดูดกลืนพลัง เจ้าคิดว่าข้าจะชักชวนให้เจ้ามาร่วมรับใช้นายเดียวกันกับข้าหรือ?”

 

“ตราบใดที่พวกเรารับใช้นายคนเดียวกัน ต่อให้พวกเราจะพบเจอเพลิงเทพโกลาหลตนอื่น กระทั่งให้มันเป็นเพลิงเทพโกลาหลขั้น 3 ถ้าพวกเราร่วมมือกัน ก็ย่อมเอาชนะมันได้แน่ สุดท้ายเจ้าก็จักได้ดูดกลืนพลังอำนาจของเพลิงเทพโกลาหลขั้น 3 มายกระดับพัฒนาพลังของเจ้าได้ง่ายๆ!!”

 

พอทองเทพสุดลี้ลับกล่าวโน้มน้าวถึงจุดนี้ เสียงของมันก็เริ่มแผ่วเบาลงทุกทีคล้ายจะดับได้ทุกเวลา

 

“เจ้าลองคิดเอาเองเถอะ… สติข้ากำลังจะดับแล้ว”

 

เสียงของทองเทพสุดลี้ลับคล้ายอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที สุดท้ายก็ดับหายไป

 

หลังจากเสียงทองเทพสุดลี้ลับหายไปแล้ว ชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์ที่ลอยล่องเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆอ่อนจางลง สุดท้ายก็กลายเป็นกระแสแสงหนึ่งพุ่งหายไปในร่างต้วนหลิงเทียน

 

ครู่ต่อมาแสงลี้ลับที่ปกคลุมพยุงร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้ก็ค่อยๆหดหายกลับเข้าไปในร่างเขา…

 

ตุบ!

 

และเมื่อแสงลี้ลับดังกล่าวหายไปแล้ว ร่างต้วนหลิงเทียนก็ล้มลงไปนอนแอ้งแม้งแผ่หราบนพื้นดัง ตุบ! ปานหุ่นกระบอกไร้ด้าย…

 

จนเมื่อต้วนหลิงเทียนล้มลงไปกองกับพื้นได้พักหนึ่ง กลุ่มก้อนเปลวเพลิงที่ลอยล่องอยู่กลางโถงถ้ำ หลังจากที่เปลวเพลิงมันเดี๋ยวลุกเดี๋ยวมอดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้น “จะว่าไป…ก็มิใช่เรื่องไม่ดี…”

 

และแทบจะทันทีที่เสียงชราดังจบ เปลวเพลิงสีเทาที่ลอยค้างกลางโถงถ้ำ ก็เปลี่ยนลักษณ์กลับกลายเป็นกระแสแสงสีเทา พุ่งเข้าหาร่างต้วนหลิงเทียนที่นอนแผ่บนพื้น ก่อนจะหายเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียนทันที

 

ทันใดนั้นในถ้ำอันกว้างใหญ่ ก็กลายเป็นมืดมิดไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือทั้ง 5! คงเหลือแต่เสียงลมหายใจเบาๆของต้วนหลิงเทียนที่นอนแผ่อยู่บนพื้น…

 

สำหรับหิน กรวด ทราย ที่แต่เดิมลอยล่องทั้งโคจรรอบเพลิงสีเทาก่อนหน้า หลังจากที่เพลิงเทพโกลาหลหายเข้าร่างต้วนหลิงเทียนไปแล้ว พวกมันก็อันตรธานหายไปอย่างอัศจรรย์ราวกับไม่เคยปรากฏมากก่อน…

 

ถ้ำอันมืดมิดคืนสู่ความสงบเงียบเชียบ

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

 

จนเมื่อไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ต้วนหลิงเทียนที่นอนหลับไหลไม่ได้สติ ก็เหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา…

 

“โอย…”

 

พอรู้สึกตัว…อาการสลึมสลือของต้วนหลิงเทียนหายไปแทบจะทันที สองตายังฉายแววยินดีเป็นที่สุด “ข้า…ยังไม่ตายเหรอ ข้ายังไม่ตายจริงๆ!!”

 

อย่างไรก็ตามพอ เขาลืมตาเต็มตื่น เขาก็หันไปมองความมืดมิดรอบๆ ด้วยความงุนงง สีหน้ายังเริ่มเปลี่ยนไปไม่น้อย

 

“นี่ข้าฝันไปรึยังไง?”

 

หลังสีหน้าเปลี่ยนไป ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมา ในใจเริ่มเต็มไปด้วยความผิดหวัง

 

สาเหตุที่ไฉนเขาคิดว่ากำลังฝันไปนั้น เพราะหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแม้ตาจะมองไม่เห็น แต่จากสำนึกเทวะเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง อนิจจากลุ่มหินกรวดทรายที่ลอยล่องนั้นหายไปแล้ว แถมตามพื้นถ้ำก็ไม่พบร่องรอย

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เปลวเพลิงสีเทานั่นหายไปแล้ว…

 

เขายังจดจำได้ชัดเจน

 

ก่อนที่เขาจะสิ้นสติไป เขาจำได้ว่าแม้เขาจะพยายามสุดกำลังแล้ว แต่ก็ไม่อาจต้านทานพายุกรวดทรายและกลุ่มหินที่ถล่มเข้ามาดั่งพายุบุแคมได้เลย…

 

สุดท้ายเขาก็ถูกพายุกรวดทรายที่ไม่ต่างจากพายุงวงช้างอันดุร้ายกลืนกิน ยังมีกลุ่มหินมากมายทั้งน้อยใหญ่ถล่มซัดเข้าร่างไม่หยุดจนสติดับวูบไป…

 

หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นเขาก็จำไม่ได้แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเขาสูดได้กลิ่นความตายชัดเจน…

 

พอฟื้นสติขึ้นมา แม้จะคิดว่าตัวเองยังไม่ตาย แต่พอพบว่าเปลวเพลิงสีเทาหายไปแล้ว…แถมหินกรวดทรายที่เคยลอยเต็มถ้ำก็หายไปหมดสิ้น…

 

เรื่องนี้หมายความว่าอะไร?

 

นอกจากว่าเขากำลังฝันไป ยังจะเป็นอะไรได้อีก?

 

“หืม?”

 

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดว่าตัวเองอาจจะฝันไป เขาก็คล้ายพบเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ใจสะท้านร่างสะเทือน ยังอดขนลุกไปไม่ได้!

 

นั่นเพราะพอสัมผัสได้ เขาก็รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจน!

 

ทันใดนั้นสำนึกสติเขาก็เร่งส่องภายในร่างกายตัวเองอย่างร้อนรนปานเพลิงไฟ!

 

“นี่มัน…”

 

และพอส่องภายในดู ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง

 

เพราะเขาเห็นได้ชัดเจน!

 

ข้างๆดวงจิตของเขานั้น ในใจกลางชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์กลับมีเปลวเพลิงสีเทาดำรงอยู่! และนอกจากแสงลี้ลับที่เรืองรองสลัวของชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์แล้ว ยังมีแสงสีเทาอันให้กลิ่นอายน่ากลัวราวกับสามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่งแผ่ออกมา!!

 

นอกจากนี้ต้นตอของแสงสีเทานั่นสมควรมาจากเปลวเพลิงสีเทากลางชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์นั่นแน่ ที่สำคัญกลิ่นอายของมันยังเป็นอะไรที่เขาจดจำได้ชัดเจน…!

 

“กลิ่นอายพลังแบบนี้มัน…ไม่ใช่เป็นกลิ่นอายพลังเดียวกันกับเปลวเพลิงสีเทาก่อนหน้านี้หรือไง?”

 

ในขณะที่กล่าวคาดเดาออกมา ลมหายใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถี่รัวขึ้น!

 

เพราะตอนนี้เขามันใจเต็มสิบส่วน!

 

กลิ่นอายเปลวเพลิงสีเทาที่ลุกโชนอยู่ในใจกลางชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์…เป็นกลิ่นอายพลังเดียวกันกับที่แผ่ออกจากเปลวเพลิงสีเทาที่เขาคิดเก็บรวบรวมก่อนสิ้นสติเป็นแน่!

 

“เปลวเพลิงสีเทาในถ้ำหายไป…มาตอนนี้ใจกลางชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์ข้างดวงจิตข้า กลับมีไฟสีเทาแบบเดียวกันลุกโชนอยู่…”

 

“นี่ไม่ใช่ความฝัน ข้ายังไม่ตายจริงๆ…!”

 

“แต่ในเมื่อข้ายังไม่ตาย…แล้วเปลวเพลิงสีเทานั่นมันไปลุกไหม้อยู่ในเศษโลหะลึกลับนี่ได้ยังไง?”

 

ตอนนี้ในใจต้วนหลิงเทียนสับสนงุนงงนัก

 

และท่ามกลางความสับสนดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นมาหมายหยิกแก้มตัวเองอย่างไม่รู้ตัว…

 

ถึงแม้ระยะห่างระหว่างมือกับแก้มมันก็แค่ใกล้ๆ แต่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนมันช่างห่างไกลแสนไกล ใช้เวลาไปกว่า 10 ลมหายใจยังเอื้อมมาไม่ถึงแก้มด้วยซ้ำ!

 

และหากมีใครมาอยู่แถวนี้สักคนแล้วมองจ้องให้ดีจะพบว่า…

 

มือของต้วนหลิงเทียนกำลังสั่น ยังสั่นอย่างแรง!

 

“หากนี่ไม่ใช่ความฝัน งั้นก็เป็นความสุขครั้งยิ่งใหญ่…”

 

“แต่ถ้ามันเป็นความฝัน…งั้นข้าก็ตายแล้วจริงๆ”

 

ตอนนี้ในใจต้วนหลิงเทียนยังกลัวการเผชิญหน้ากับความจริงไม่น้อย เพราะกลัวว่าเขาจะฝันไปจริงๆ!

 

“ฟืด…”

 

สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นมือที่สั่นระริกก็พุ่งไปคว้าแก้มตัวเองดังหมับ แล้วหยิกดูทันที!

 

พอหยิกจนเนื้อแก้มบิดไป สองตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีริมฝีปากยังเหยเกไปทันใด ด้วยเพราะความเจ็บปวดได้แล่นวาบขึ้นสมอง! ทว่าครู่ต่อมาแววตาก็ฉายแววยินดีนัก ปากที่เหยเกก่อนหน้ายังคลี่ยิ้มสดใสออกมา เพราะรู้ว่าเขายังไม่ตาย!

 

ความเจ็บปวดที่แก้ม ได้บอกให้เขารู้ชัด..

 

เขาไม่ได้ฝันไป!

 

“ไม่ใช่ความฝัน! ข้าไม่ได้ฝันไป!”

 

“ข้ายังไม่ตาย! ข้ายังไม่ตายจริงๆ!!”

 

หลังยืนยันจนมั่นใจแล้วว่าตอนนี้เขายังไม่ตายจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็ร้องโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดีราวเด็กน้อย! ตอนนี้นับว่าอารมณ์เขาช่างมีความสุขเหนือคำบรรยายนัก!!

 

เป็นความสุขความยินดีจากการรอดตาย และความรู้สึกเสมือนได้เกิดใหม่…!

 

หลังจากคึกอยู่ราวๆเค่อหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงบสติอารมณ์ลง

 

‘ก่อนหมดสติไป ข้าคิดว่าต้องตายแน่แล้วเสียอีก…แต่พอตื่นขึ้นมา เพลิงอมตะนั่นกลับมาปรากฏในเศษโลหะแตกๆข้างดวงจิตได้อย่างประหลาด แถมหินกรวดทรายที่ดั่งผู้พิทักษ์เปลวเพลิงสีเทาก็ไม่รู้หายไปไหนหมด…’

 

‘ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่ผิดแน่ว่าตัวเองกำลังจะตาย! แล้วในเมื่อกับอีแค่ฝ่าปราการป้องกันของเพลิงอมตะเข้าไปยังไม่ได้ แล้วจะรับมือพลังของเพลิงอมตะได้อย่างไร?’

 

‘แต่ตอนนี้ข้าไม่เพียงแต่จะยังไม่ตาย…เพลิงอมตะที่ว่ากลับไปอยู่กลางชิ้นส่วนโลหะแตกหักนั่นอีก’

 

หลังสงบสติอารมณ์ลงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หวนคืนสู่ความสงบอย่างประหลาด เริ่มนึกย้อนไตร่ตรองเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความฉงนใจ สุดท้ายก็สรุปได้ว่า

 

ที่เขาโชคดีรอดตายมาได้ และเพลิงอมตะไปอยู่ในชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์นี้ได้…สิบในสิบไม่พ้นต้องเป็นเพราะชิ้นส่วนโลหะประหลาดนี่แน่!

 

“เศษโลหะประหลาดนี่ มันคืออะไรกันแน่นะ…?”

 

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะตระหนักได้แต่แรกแล้ว ว่าเศษโลหะที่อยู่ข้างดวงจิตเขาไม่ธรรมดา เพราะมีพลังป้องกันวิญญาณไม่ต่างอะไรกับยอดสมบัติสวรรค์คุ้มกันวิญญาณเลย แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร และไม่รู้ด้วยว่ามันยังทำอะไรได้อีกบ้าง นอกเหนือจากการป้องกันพลังวิญญาณ

 

วันนี้เขาพึ่งได้พบประโยชน์อีกอย่างของเศษโลหะดังกล่าว

 

มันสามารถเก็บเพลิงอมตะได้!

 

ยิ่งไปกว่านั้นดูท่าในระหว่างที่มันเก็บเพลิงอมตะนั้น ไม่เพียงแต่จะสามารถสยบพลังของเพลิงอมตะได้ ยังมีพลังช่วยชีวิตเขาจากการโจมตีอันน่ากลัวก่อนหน้าด้วย!

 

“เศษโลหะน้อย ที่แท้เจ้าเป็นอะไรกันแน่นะ…”

 

ไม่ทันรู้ตัว ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็หันไปสนใจชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์นั่นแล้ว

 

เพราะวันนี้มันเผยความสามารถอันไม่ธรรมดาออกมาต่อหน้าเขาอีกครั้ง!

 

‘เศษโลหะนี่เกิดจากหินดำประหลาดรวมกับป้ายหยกของอาสามเค่อเอ๋อ เซี่ยเจี๋ย ยอดฝีมือจากดินแดนแห่งทวยเทพ…แถมมันยังติดตามข้าจากระนาบโลกียะขึ้นมาระนาบเทวโลกได้ยังไงก็ไม่รู้’

 

‘หลังขึ้นมายังระนาบเทวโลก มันไม่ทราบทำอย่างไรก็ไปอยู่ข้างๆดวงจิตข้าได้อีก คอยปกป้องพลังวิญญาณทั้งหลายให้ข้ามาตลอด’

 

‘ตอนแรกที่อาสามมอบป้ายหยกให้ข้ามา ท่านเพียงบอกว่าป้ายหยกนี้ไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาเท่านั้น แต่คืออะไรก็ไม่รู้…’

 

‘ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ…หลังจ่ายพลังลงไป มันกลับส่องแสงและพุ่งนำข้ากลับไปบ้านเกิดอย่างทวีปเมฆาล่อง สุดท้ายกลับพาข้าไปถึงจุดเริ่มต้นในชีวิตนี้ของข้าอย่างไม่คาดคิด จนไปเจอหินสีดำประหลาดละแวกเมืองวายุโปรย…’

 

‘จากนั้นป้ายหยกกับหินดำประหลาดนั่นก็หลอมรวมเกิดเป็นเศษโลหะแตกๆลี้ลับนี่…’

 

‘ป้ายหยกที่อาสามให้มามันคืออะไรกันแน่…’

 

‘หินสีดำประหลาดนั่นด้วย มันไปอยู่ที่เมืองวายุโปรยได้ยังไง…แล้วทั้งหมดนี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญงั้นเหรอ?’

 

ไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย และยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสนงุนงงมากขึ้นเท่านั้น

 

ทุกหนทางล้วนตีบตัน มีแต่ความไม่เข้าใจไร้สิ้นสุด

 

ยังประหนึ่งตกลงสู่หุบเหวลึกไร้ก้นบึ้ง ยากนักที่จะหลุดพ้น…