บทที่ 912
เมื่อตกอยู่ในความสิ้นหวัง เขาทำได้เพียงไปหาหลิ่วจ้าวเฉินเพื่อนสำมะเลเทเมาที่เคยคบหาในสมัยก่อน เดิมทีเขาคิดจะไปขอยืมเงินสามแสนจากเขา ไม่นึกเลยว่าช่วงนี้หลิ่วจ้าวเฉินก็เงินขาดมือมากเหมือนกัน
หลิ่วจ้าวเฉินบ่นกับเขา ระยะนี้พวกตำรวจปราบปรามการธุรกิจค้ามนุษย์อย่างเข้มงวดเหลือเกิน ครอบครัวทั้งหกคนแทบจะไม่มีข้าวกินแล้ว
หลิ่วจ้าวเฉินยังบอกเขาด้วยว่า ตอนนี้ตนกำลังมองหาเด็กๆ ที่เหมาะสมอยู่ จะเอาไปขายทางใต้ ตอนนี้ราคากำลังสูง หากว่าหาสินค้าได้ ก็จะได้กำไรก้อนโต
เจี่ยงหมิงพลันนึกถึงเด็กเล็กมากมายของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในช่วงนี้ สมองแล่นขึ้นมาในทันใด
เขาบอกข่าวนี้แก่หลิ่วจ้าวเยว่ เสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน ลักพาตัวเด็กกลุ่มหนึ่งจากในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าออกมาขาย
หลิ่วจ้าวเฉินกำลังกลัดกลุ้มไม่รู้จะไปหาเด็กมาจากไหนอยู่พอดี พอได้ยินว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามีเด็กมากมาย พลันเบิกบานใจ ความคิดถูกกระตุ้นขึ้นมาในชั่วขณะ
เจี่ยงหมิงรู้จักสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดี รู้ว่าเนื่องจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับการบูรณะมานานแล้ว ประกอบกับเงินทุนไม่เพียงพอ บุคลากรไม่เพียงพอ ระบบความปลอดภัยไม่ได้มาตรฐาน มีช่องโหว่มากมาย ขอเพียงเป็นคนที่คุ้นเคยกับกระบวนการสักหน่อย ก็สามารถหาจุดอับจากด้านในได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงเป็นตัวตั้งตัวตีทันที คิดแผนการที่ค่อนข้างรัดกุมแผนหนึ่ง
เมื่อหลิ่วจ้าวเฉินเห็นว่าแผนการนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก ก็ไปพาสมาชิกทั้งหมดในครอบครัวเข้ามาด้วยทันที
เจี่ยงหมิงไม่พอใจอย่างยิ่งที่ทั้งครอบครัวของหลิ่วจ้าวเฉินมาเข้าร่วมด้วย เนื่องจากเขารู้ว่า เหตุผลที่อีกฝ่ายเรียกคนมามากมายขนาดนี้ ก็เพื่อให้ได้เงินส่วนแบ่งมากขึ้น
หากว่ามีเพียงตนกับหลิ่วจ้าวเฉินทำเรื่องนี้ด้วยกัน เมื่อถึงเวลาเด็กสิบคนขายได้กว่าล้านหยวน ทั้งสองต่างจะได้กันคนละหกเจ็ดแสน
ผลคือ หลิ่วจ้าวเฉินพาครอบครัวอีกห้าคนมาด้วย ส่วนแบ่งของตนก็จะหดหายลงไปทันที
ไอ้หลิ่วจ้าวเฉินหน้าไม่อายคนนี้ คิดจะทำหน้าหนาถัวเฉลี่ยให้ทุกคนได้ส่วนแบ่งเท่าๆ กัน แบบนี้ก็จะแบ่งทั้งหมดออกเป็นเจ็ดส่วน เหลือมาถึงมือตนมากสุดก็แค่สองแสน
เจี่ยงหมิงต่อสู้กับหลิ่วจ้าวเฉินอย่างหนัก สุดท้ายถึงกำหนดวิธีแบ่งเงินได้ เจี่ยงหมิงจะได้ส่วนแบ่งสี่แสน ที่เหลือเป็นของครอบครัวหลิ่วจ้าวเฉิน
สูญเสียกำไรไปถึงสามแสน ในใจของเจี่ยงหมิงย่อมร้าวระทมยิ่ง
แต่ว่าเขาไม่มีวิธีอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว เนื่องจากหากว่าอีกฝ่ายทิ้งตนไปดำเนินการเอง ตนก็จบเห่แล้ว
ด้วยความอับจนหนทาง เขาทำได้เพียงยอมรับความเสียเปรียบนี้ไว้
ในเวลานี้ หลิ่วจ้าวเฉินมองแผนที่ จากนั้นก็มองเวลา เอ่ยขึ้นว่า “ใกล้จะถึงซูหังแล้ว หลังจากถึงแล้วคู่ค้าจะมารับสินค้า พอถึงเวลาพวกเราได้เงินแล้วก็รีบกลับกันเลย น่าจะกลับไปถึงก่อนฟ้ามืดได้”
พี่สาวของหลิ่วจ้าวเฉินเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี “ไอ้หยา ตอนนี้ฉันคิดแค่อยากจะไปมัลดีฟส์เร็วๆ!”
กล่าวจบแล้ว เธอก็ควักมือถือออกมา พูดว่า “ฉันจะเข้าติ๊กต็อกไปหาวิดีโอกับไกด์ไลน์ของมัลดีฟส์ ดูสักหน่อยว่าไปเกาะไหนถึงจะสนุกกว่ากัน!”
ว่าแล้วเธอก็เปิดDOUYINขึ้นมา คาดไม่ถึงว่าหลังจากเปิดแล้ววิดีโอลำดับแรกก็คือข่าวเกี่ยวกับการลักพาตาเด็กของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในครั้งนี้!
วิดีโอข่าวนี้เพิ่งจะถูกปล่อยออกมายังไม่ถึงสองสามชั่วโมงเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะมียอดไลก์กว่าห้าล้าน คอมเมนท์กว่าสามแสนข้อความ
หัวใจเธอบีบตัว เปิดดูคอมเมนท์ ตกตะลึงไปชั่วขณะ
เนื่องจากในคอมเมนท์แทบทั้งหมดมีข้อความจำพวกเรียกร้องให้ยิงถล่มผู้ค้ามนุษย์ ฆ่าล้างตระกูลผู้ค้ามนุษย์เช่นนี้!
เธอเอ่ยออกมาตามสัญชาตญาณ “ไอ้หยา บรรลัยแล้ว เรื่องนี้ขึ้นพาดหัวข่าวไปแล้ว! ดูเหมือนจะเป็นที่สนใจของชาวเน็ตทั่วประเทศเลย! พวกเราก่อเรื่องใหญ่ไปหน่อยหรือเปล่า?”
“กลัวอะไรกัน!” หลิ่วจ้าวเฉินเอ่ยอย่างไม่แยแสเลย “ขโมยหนึ่งคนกับขโมยสิบคน ไม่ต่างอะไรกันนักหรอก อีกอย่างตลอดทางนี้ฉันระวังตัวอยู่ตลอด ไม่หลงเหลือเบาะแสอะไรไว้เลย ใครก็หาตัวพวกเราไม่เจอหรอก ยิ่งไม่มีทางนึกสงสัยในตัวของพวกเราด้วย!”
พูดจบแล้ว เขาก็เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “พวกเธอทำใจให้สบายเถอะ! พอเวลาผ่านไปแล้วยังหาตัวพวกเราไม่เจออีก ความสนใจของชาวเน็ตก็จะถูกข่าวอื่นๆ ดึงดูดไปเอง ผ่านเวลาผ่านอีกครั้ง คนก็จะลืมพวกเราไปแล้ว!”
________