“นั่นคือวิญญาณสายฟ้าที่ถือกำเนิดภายในกลิ่นอายทำลายล้างแห่งมรรคอสนี!”

เจ้าคางคกสูดหายใจเย็น นัยน์ตาทองแววระยับ “นี่คือวัตถุดิบสำคัญในการหลอมสมบัติอริยะ สามารถยกระดับสมบัติให้สูงขั้นขึ้นไปอีก!”

“เลิกเพ้อฝันได้แล้ว วิญญาณสายฟ้านั่นมีแค่อริยะจึงจะสยบได้ หากเจ้าอยากรนหาที่ตาย ก็อย่าได้ลากพวกเราไปด้วย”

นกทมิฬเอ่ยปากเตือน

ภายในใจหลินสวินก็เกิดความรู้สึกยำเกรงเช่นกัน

วิญญาณสายฟ้า ร่างวิญญาณที่กำเนิดภายในกลิ่นอายมรรคอสนี พบเจอได้ยากยิ่ง และเรียกได้ว่าน่ากลัวอย่างมากเช่นเดียวกัน ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับอริยะย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!

เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วน เงามายาวิญญาณสายฟ้าแต่ละตนประหนึ่งเทพ แล่นล่องอยู่ภายในโลกแห่งสายฟ้า กลิ่นอายน่าสะพรึงอย่างไร้ขอบเขต

ที่โชคดีคือ ขอเพียงเดินไปตามเส้นทางดุจรุ้งขาวสายนี้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกวิญญาณสายฟ้าหมายหัวเอาได้

“พวกเจ้าระวังกันหน่อย เส้นทางที่ทอดผ่านไปยังแดนโบราณหมื่นลักษณ์มีเพียงเส้นทางนี้เท่านั้น หากมีใครแอบลอบโจมตีอยู่ทางข้างหน้า ผลที่ตามมาคงยากจะคาดเดา”

หลินสวินกล่าวเตือน

เพิ่งกล่าวไม่ทันไร หลินสวินพลันเลิกคิ้วขึ้นพร้อมออกดรรชนี

วู้ม!

แรงดรรชนีที่พิสุทธิ์อัดแน่นอย่างที่สุดโฉบออกไป และหายไปกลางความว่างเปล่าทันใด

ห่างออกไปหลายพันจั้ง ในมุมหนึ่งที่ดูเหมือนว่างเปล่าไร้สิ่งใด อันที่จริงมีชายชุดดำคนหนึ่งที่ทั้งร่างอาบชโลมกลิ่นอายคลุมเครือแอบซุ่มอยู่ตรงนั้น

ในการรับรู้ของเขาสังเกตเห็นแล้วว่ามีคนค่อยๆ เข้ามาใกล้ มุมปากจึงปรากฏแววสังหารอันเหี้ยมโหดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

ไม่กี่วันมานี้เขาลอบสังหารผู้แข็งแกร่งไปมากมาย กอบโกยความมั่งคั่งไปเป็นจำนวนมากจากที่แห่งนี้

“หืม”

ชายชุดดำขมวดคิ้ว ในใจพลันปรากฏความรู้สึกผิดแปลกอย่างหนึ่ง

ทว่าเขายังไม่ทันได้ตอบสนอง พลังดรรชนีดุดันห้อทะยานสายหนึ่งก็ปรากฏ ทั้งยังพุ่งยิงมาถึง

ฟุ่บ!

หยาดเลือดแดงฉานสาดกระเซ็น ชายชุดดำเบิกตาโตคล้ายไม่อาจเชื่อได้ จากนั้นทั้งร่างของเขาก็ล้มไปกองกับพื้น

และบริเวณกลางหน้าผากยังปรากฏรูที่มีเลือดเอ่อนองออกมารูหนึ่ง!

ไม่นานนักพวกหลินสวินก็มาถึงตรงนี้ เจ้าคางคกลงมือค้นตัวชายชุดดำอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นโยนถุงเก็บของหนักอึ้งออกมาใบหนึ่งด้วยความยินดี

“เจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าสังหารผู้แข็งแกร่งไปไม่น้อย ทรัพย์ที่ติดตัวนับว่าเยอะไม่เลวเลยทีเดียว” เจ้าคางคงกล่าววิจารณ์อย่างหน้าชื่นตาบาน

“เมื่อครู่เจ้าใช้วิชามรรคอะไร”

ด้านนกทมิฬกลับมีสีหน้าตื่นตระหนกมองไปยังหลินสวิน ห่างออกไปตั้งหลายพันจั้ง แต่สามารถปลิดชีพผู้กล้าระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่ได้ ทำให้แม้แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว นี่น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว!

“บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ”

หลินสวินกล่าวง่ายๆ

ท่าดรรชนีนี้มีนามว่า ‘ห่างไกลล้วนไปถึง’!

เป็นกระบวนท่าที่สามของเคล็ดวิชาดรรชนีมหาอุดมสลายมายา ความหมายตามชื่อของมัน เพียงแค่ออกดรรชนี ไม่ว่าศัตรูแอบแฝงอยู่แห่งหนใด ห่างไกลเพียงไหน ล้วนสามารถสังหารได้ผ่านห้วงอากาศที่คั่นกลาง!

กระบวนท่านี้มีความเกี่ยวโยงกับ ‘นัยเร้นลับแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า’

แน่นอนว่าหลินสวินยังไม่บรรลุอริยะ ไม่สามารถควบคุมพลังแห่งห้วงอากาศได้ จึงทำได้เพียงประยุกต์ใช้พลังของ ‘ห่างไกลล้วนไปถึง’ อีกทั้งพลานุภาพของมันก็ยังมีจำกัด

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ พลานุภาพระดับนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะสามารถสกัดกั้นได้

ด้วยเหตุนี้นกทมิฬจึงตื่นตระหนก เนื่องจากมองทะลุว่าพลังของดรรชนีที่แอบแฝงความเร้นลับของห้วงอากาศไว้รางๆ

ทั้งสามคนมุ่งหน้าต่อไป ตลอดทางสายนี้ต้องเผชิญกับผู้แข็งแกร่งที่แอบซุ่มอยู่ตามทางอยู่เนืองๆ

ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนมีความชำนาญในการแฝงกาย บ้างก็สามารถแปรเปลี่ยนเงาร่าง แปลงเป็นวัตถุต่างๆ เช่น ฝุ่นผง ดินกรวด หรือแสงเงา ทำเอาผู้คนไม่อาจป้องกันตัวได้ทันท่วงที

ทว่าน่าเสียดาย ภายใต้จิตรับรู้อันน่าหวาดหวั่นของหลินสวิน พวกเขาล้วนแต่ไร้ที่ให้หลบเร้น ถูกสังหารลงทีละคน

ตลอดทางกลับเป็นพวกหลินสวินที่กอบโกยทรัพย์มาได้ เพียงแค่โอสถราชันที่ค้นเจอจากตัวผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น ก็มีมากกว่าร้อยชนิดแล้ว

นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบวิญญาณและเจตวัตถุอีกจำนวนหนึ่ง ล้ำค่าอยู่ไม่น้อย

ไม่นานนักหลินสวินรู้สึกว่าทัศนียภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไป ด้วยมาถึงพื้นที่ทิวเขาแถบหนึ่ง

ภูเขาสูงตระหง่านลูกแล้วลูกเล่า กว้างใหญ่ไพศาลและเก่าแก่ แต่ละลูกต่างเผยสภาพอากาศที่แตกต่างกัน

บ้างแดงชาดทั้งลูก ประกายเทพลุกโชนร้อนเร่า ประหนึ่งเตาหลอมใหญ่ที่พาดขวางกลางฟ้าดิน

บ้างดุจดั่งหลอมขึ้นจากทองเทพ สาดแสงทองเจิดจ้าบาดตา แม้แต่หินผาและพืชพรรณล้วนแหลมคมดุจกระบี่ ไอสังหารแผ่ปกคลุมทั่วทั้งผืน

บางลูกราวกลับเหมือนก่อขึ้นจากหิมะน้ำแข็ง น้ำค้างแข็งปลิวล่อง หนาวเหน็บจนเหมือนกับทิ่มแทงเข้ากระดูก ห้วงอากาศจับตัวแข็งเป็นลายน้ำแข็งชั้นหนึ่ง

บ้างก็…

มองออกไปไกลๆ ภูเขาใหญ่แต่ละลูกล้วนมีสภาพอากาศไม่เหมือนกัน แฝงไว้ซึ่งความล้ำเลิศแห่งสี่ฤดูผลัดเปลี่ยน ปัญจธาตุหมุนเวียน หยินหยางสลับวน สำแดงออกมาเป็นท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่ง ‘หมื่นลักษณ์’ โอ่อ่าและวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง!

นี่ ก็คือแดนโบราณหมื่นลักษณ์!

“แม่งเอ๊ย! งามวิจิตรอัศจรรย์ หมื่นลักษณ์เผยธรรมชาติ ขั้นตอนเทียมฟ้าระดับพลิกฟ้าคว่ำดินเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่อริยะยังยากจะทำได้กระมัง”

เจ้าคางคกถอนหายใจด้วยความตะลึง

“หากบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่คงได้เชยชมท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งมหามรรคที่แตกต่างกัน เป็นประโยชน์ยิ่งแก่มรรควิถีของตน”

นกทมิฬตาลุกวาว ชื่นชมด้วยความอัศจรรย์ใจ

หลินสวินนำป้ายคำสั่งหยกออกมาจากตัว ออกแรกที่ฝ่ามือจนป้ายคำสั่งแตกดังเปรี๊ยะกลายเป็นฝุ่นผง ขณะเดียวกันปรากฏแสงวูบวาบระผ่านและจางหายไป ณ เส้นขอบฟ้า

ป้านคำสั่งนี้คือสิ่งที่ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยมอบให้ไว้

เพียงเวลาไม่นานเงาร่างงดงามสายหนึ่งโผนทะยานมาจากฟากฟ้าไกลโพ้น ทั่วเรือนกายอาบชโลมด้วยหิมะน้ำแข็งและเมฆหมอกบริสุทธิ์ ผิวพรรณขาวใสราวกับน้ำแข็งหยก เรือนผมดำพลิ้วไหว ใบหน้างามงด นี่ก็คือธิดาเทพหลิ่นเสวี่ย

เพียงแต่ทันทีที่เห็นหลินสวิน ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยก็อดยิ้มขื่นที่มุมปากไม่ได้ “พี่หลิน สถานการณ์เปลี่ยนแปลง ตอนนี้หน้าสุสานจักรพรรดิแห่งนั้นถูกยอดฝีมือปิดล้อมไว้หมด หากต้องการช่วงชิงศุภโชคเกรงว่าคงลำบากแล้ว”

หลินสวินเตรียมใจมาแต่แรก เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ครั้งนี้ข้าเพียงมาตามหาคนเท่านั้น”

“ที่นี่มีสุสานจักรพรรดิปรากฏจริงหรือ”

เจ้าคางคกอดถามไม่ได้

ตลอดเส้นทางนี้เขายากจะเชื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น

หลิ่นเสวี่ยพยักหน้า “น่าจะจริง แต่ที่น่าเสียดายคือศุภโชคภายในสุสานจักรพรรดิถูกคนได้ไปนานแล้ว”

“มีคนชิงไปแล้วหรือ”

พวกหลินสวินต่างรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

“ไม่ผิด ทว่าตอนนี้คนผู้นั้นก็ถูกล้อมอยู่หน้าสุสานจักรพรรดิเช่นกัน ไร้ทางหลุดรอด”

ตามที่หลิ่นเสวี่ยกล่าวมา ก่อนหน้านี้ไม่นานผนึกของแดนโบราณหมื่นลักษณ์สลายลงจนหมดสิ้น จากนั้นสุสานจักรพรรดิอันเร้นลับก็เผยโฉมออกมา ดึงดูดความสนใจครึกโครมจากทั่วทั้งแดนเก้าบน

ในช่วงไม่กี่วันนั้นไม่รู้ว่ายอดฝีมือเร่งรุดมาตามข่าวมากน้อยเท่าไร เพื่อช่วงชิงโอกาสเข้าไปภายในสุสานจักรพรรดิยิ่งลงมืออย่างไม่มีเกรงใจ

ชั่วขณะเดียวบริเวณโดยรอบสุสานจักรพรรดิแห่งนั้นก็เกิดเหตุนองเลือดไม่ว่างเว้นทุกวัน ผู้แข็งแกร่งไม่รู้มากน้อยแค่ไหนตายจากไป

ด้วยเพราะต่างรู้อยู่แก่ใจ ว่าสุสานจักรพรรดิที่เผยโฉมออกมาจะต้องมีวาสนาใหญ่มาพร้อมกันด้วยเป็นแน่!

ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนต่างต้องตะลึงงันก็คือ ไม่ว่าใครใช้วิธีการใดๆ ก็ไม่อาจเข้าใกล้สุสานจักรพรรดิแห่งนั้นได้ง่ายๆ!

ที่เหนือความคาดหมายที่สุดคือ เมื่อสักครู่ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดหาวิธีเข้าไปในสุสานจักรพรรดิ กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาจากในสุสาน!

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาเข้าไปในสุสานจักรพรรดิตั้งแต่เมื่อใด กระนั้นทุกคนต่างตระหนักได้ว่า ศุภโชคพลิกฟ้าที่ผนึกอยู่ภายในสุสานจักรพรรดินั่น เป็นไปได้สูงว่าจะถูกชายหนุ่มผู้นี้ครอบครองไว้แล้ว

“คนผู้นั้นมีรูปลักษณ์เช่นไร”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้หลินสวินก็อดถามไม่ได้

หลิ่นเสวี่ยตอบอย่างครุ่นคิด “เป็นชายกำยำสูงใหญ่ยิ่งคนหนึ่ง ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายหยาบเถื่อน มีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าเห็นจะได้ เป็นผู้แข็งแกร่งหลอมกายที่แกร่งกร้าวถึงที่สุด คนผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน ถูกเหล่าผู้กล้าปิดล้อมไว้กลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้สักนิด ซ้ำยังสังหารคู่ต่อสู้ไปไม่น้อย”

“ทว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เกรงว่าอีกไม่นานก็คงถูกสังหารเป็นแน่”

ขณะที่กล่าวถึงตรงนี้ หลิ่นเสวี่ยก็สังเกตได้ทันทีว่าหลินสวินและเจ้าคางคกมีสีหน้าผิดแปลกไปบ้าง

“คนผู้นั้นอยู่ที่ใด”

หลินสวินถาม สีหน้ากลับมาสงบนิ่งดังเดิม กระนั้นในน้ำเสียงกลับเจือความกังวล

“หรือว่า…”

นัยน์ตาของหลิ่นเสวี่ยหดรัด คล้ายว่าเดาอะไรออก รีบเอ่ยทันที “ตามข้ามา”

ว่าพลางเงาร่างของนางก็พริบไหว นำทางอยู่เบื้องหน้า

พวกหลินสวินต่างรีบเร่งตามไปติดๆ

จะเป็นอาหลู่หรือเปล่านะ

ภายในใจของหลินสวินและเจ้าคางคกล้วนกระวนกระวาย

ยอดฝีมือจำนวนมากปิดล้อมหน้าสุสานจักรพรรดิแห่งนั้นเอาไว้ หากชายผู้นั้นคืออาหลู่จริงๆ เขาเพียงคนเดียวจะรับมือไหวได้อย่างไรกัน

ไม่นานหลังจากนั้นบังเกิดเสียงฟ้าคำรามดังสะเทือนมาจากไกลๆ พาให้ใจของพวกหลินสวินสั่นไหว สัมผัสได้ถึงอานุภาพสวรรค์อันหนาวสะท้าน

ตูม เปรี้ยง!

ก็เห็นว่าที่ขอบฟ้าไกลๆ อสนีเคราะห์หลากสายผ่าฟาดลงมาจากฟากฟ้า เจิดจ้าพร่าตา ทำเอาห้วงอากาศแหลกเป็นเสี่ยง ประหนึ่งวันโลกาวินาศมาเยือน

นี่คืออมตะเคราะห์ด่านที่หก ‘เคราะห์มารผจญ’!

หลินสวินเพิ่งข้ามด่านเคราะห์นี้ไม่นานนัก แน่นอนว่าเห็นเพียงปราดเดียวก็รู้ทันที ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาคือ เหตุใดถึงมีคนเลือกสถานที่อันตรายระดับนี้ข้ามด่านเคราะห์ ไม่กลัวว่ายามข้ามด่านเคราะห์จะมีผู้อื่นมารบกวนหรอกหรือ

“แม่งเอ๊ย เป็นอาหลู่!”

ทันใดนั้นเจ้าคางคกตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาทองประดุจสายฟ้า แม้อยู่ห่างไกลมากก็มองเห็นว่าใต้เคราะห์สวรรค์นี้มีเงาร่างหนึ่งกำลังดิ้นรนต่อสู้หนักหน่วง เป็นอาหลู่จริงๆ!

“เง้าโง่นี่เหตุใดถึงเลือกข้ามด่านเคราะห์ในเวลาเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าถูกไล่ฆ่าไร้ทางหนีจนต้องเอาชีวิตเข้าแลก อาศัยการข้ามด่านเคราะห์เพื่อให้มีทางรอดกระมัง”

สีหน้าเจ้าคางคกแปรเปลี่ยนไม่หยุด

“ไป!”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาดำเยียบเย็น

‘คนผู้นั้นดันเป็นสหายของพวกเขาจริงๆ คราวนี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ แล้ว…’

ภายในใจธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยสะท้านไหว นางรู้ชัดว่าชายผู้มีนามว่าอาหลู่คนนั้น ยามนี้ถูกหมายหัวจากยอดฝีมือจำนวนมากซึ่งรอช่วงชิงศุภโชคที่เขาครอบครอง!

เวลานี้พวกหลินสวินเร่งรีบเข้าไป กลัวแต่ว่าไม่เพียงช่วยชีวิตไม่ได้ ซ้ำยังจะตกอยู่ในวงล้อมของฝูงชน นี่ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย

‘ขอทุกท่านโปรดสงบใจก่อน สถานการณ์ตรงนั้นซับซ้อนและอันตรายอย่างยิ่ง…’

ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยสื่อจิตเตือน

“ข้ารู้ดี ทว่ามีบางเรื่องแม้รู้ว่าไม่ควรทำ แต่ก็ต้องทำให้จงได้!”

หลินสวินกล่าวอย่างหนักแน่น ไม่ลังเลแต่อย่างใด

“แม่นาง เจ้าควรอยู่ห่างจากพวกเราให้ไกลสักหน่อยเพื่อเลี่ยงการเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับเรา หากเป็นเช่นนั้นพวกเราคงรู้สึกผิด”

เจ้าคางคกพลางยิ้มน้อยๆ เพียงแต่รอยยิ้มเห็นได้ชัดว่าออกจะบ้าคลั่งอยู่สักหน่อย

“คนโง่อย่างพวกเจ้าสองคน แม้แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดูให้แน่ชัด จะรีบเร่งรนหาที่ตายขนาดนี้ทำไม อ้าวเฮ้ย รอข้าด้วยสิ!”

นกทมิฬร้อง ทว่ากลับเห็นว่าหลินสวินและเจ้าคางคกไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย รุดหน้าไปเต็มกำลัง มันพลันจนปัญญา บ่นพึมพำว่า “แม่งเสียสติกันไปหมดแล้ว!”

สิ้นเสียงไม่ทันไร ร่างของมันก็พริบไหวพุ่งทะยานออกไป

ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยจ้องมองพวกเขาพุ่งเข้าไปอย่างอึ้งงัน ราวกับว่าสำหรับพวกเขาแล้ว แม้ที่แห่งนั้นจะเป็นภูเขามีดทะเลเพลิงหรือขุมนรก ก็ไม่อาจทำให้พวกเขาหวั่นเกรง!

นี่ทำให้นางไหวหวั่น ในใจออกจะประทับใจอย่างน่าประหลาด บนเส้นทางการฝึกปราณ หากสามารถมีมิตรสหายที่ร่วมเป็นร่วมตาย ซื่อสัตย์จริงใจร่วมทางไปด้วยกันได้เช่นนี้ จะเรื่องดีมากสักเพียงใดกัน

ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยสูดหายใจลึก ตามพวกเขาไปด้วยเช่นกัน

………………..