บทที่ 1325 การแข่งขันรอบที่ 4

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,325 การแข่งขันรอบที่ 4

วิหารส่วนกลางของเผ่าเทพพงไพร

สวนเขียวที่เงียบสงบแห่งนี้มีนามว่าสวนฉินเยวียน

แสงตะวันสาดส่อง พืชไม้เขียวขจีถูกแสงอาทิตย์อาบไร้กลายเป็นสีทอง

“เจ้าสามารถทำได้อย่างไร?”

อู่จิวจ้องมองวงอาคมสีเงินที่เรืองแสงขึ้นมาใต้เท้าของชิงเล่ยด้วยความตกตะลึง

ชายชราพูดคำนี้ออกมาอีกแล้ว

เมื่อสักครู่นี้ เขาก็เพิ่งพูดออกไป

เพราะว่าชิงเล่ยสามารถสร้างเส้นอาคมขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ทั้ง ๆ ที่ในตอนที่อู่จิวเรียนกับอาจารย์ของตนเองนั้น เขายังต้องใช้เวลาถึงสิบวันกว่าจะทำได้สำเร็จ

“กราบเรียนอาจารย์ ไม่ทราบว่าศิษย์ทำได้ถูกต้องหรือไม่?”

ชิงเล่ยรู้สึกไม่สบายใจ เพียงนางยกมือขยับวูบ เส้นอาคมใต้เท้าก็สลายหายไปทันที

“เจ้าทำได้ถูกต้องดีแล้ว”

อู่จิวหัวใจพองโตอย่างมีความสุข

อัจฉริยะ

ชิงเล่ยต้องเป็นนักเวทอัจฉริยะอย่างแน่นอน

นางสามารถสร้างเส้นอาคมขึ้นมาได้สำเร็จถึงหกครั้งต่อเนื่อง ด้วยความยอดเยี่ยมเช่นนี้ ชิงเล่ยนับเป็นบุคคลในฝันสำหรับแวดวงชาวเวทแล้ว

อู่จิวพินิจพิจารณาชิงเล่ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “สองวันที่ผ่านมานี้ เจ้าไปทำอะไรมาบ้าง?”

ชิงเล่ยเลิกคิ้วสูงด้วยความมึนงง นึกทบทวนเหตุการณ์ที่ตนเองทำตลอดสองวันที่ผ่านมา ก่อนจะต้องก้มหน้าลงอย่างช้า ๆ

นางทำอะไรมาบ้าง?

ชิงเล่ยได้แต่ฝึกวิชาอยู่กับเจี๋ยนเซียวเหยา…

นอกจากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลย

เมื่อนักเวทผู้เฒ่าเห็นลูกศิษย์สาวก้มหน้าก้มตาจึงเข้าใจว่านางไม่อยากจะบอก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าถามอะไรอีก นอกจากพูดว่า “ค่ายอาคมสำหรับเปิดประตูมิตินั้นแบ่งออกเป็นเก้าระดับชั้น ประกอบไปด้วยประตูมิติสำหรับการขนส่งสิ่งของ ประตูมิติสำหรับการขนส่งสิ่งมีชีวิต ประตูมิติสำหรับการเคลื่อนย้ายเป้าหมายและตนเองออกไปสู่พื้นที่ห่างไกลนับพันลี้ ประตูมิติสำหรับการเคลื่อนย้ายออกไปสู่ภพภูมิอื่น ประตูมิติสำหรับ…”

“ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์อยู่ในระดับไหนแล้วเจ้าคะ?”

ชิงเล่ยส่งเสียงแทรกขึ้นด้วยความสงสัย

อู่จิวสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที มุมปากกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

“อย่าได้ถามไร้สาระ หลังจากนี้ ข้าจะสอนวิธีการสร้างค่ายอาคมขั้นพื้นฐานให้เจ้า นี่คือการขีดเส้นอาคมขั้นแรก อย่างน้อยเจ้าต้องจำให้ได้สามสิบหกชุด หลังจากนั้นค่อยขยับไปเรียนรู้อีกหกร้อยสี่สิบแปดชุด ซึ่งเป็นส่วนที่แตกแขนงออกไป และการสร้างค่ายอาคมสามสิบหกค่ายมาตรฐานนั้น ประกอบไปด้วย…”

ชายชราเริ่มต้นสอนด้วยสีหน้าจริงจัง

ชิงเล่ยเคยทำงานอยู่ในหอการค้ามาก่อน

เพราะฉะนั้น นางจึงมีความสามารถในการจดจำข้อมูลต่าง ๆ เป็นอย่างดี

และอีกหนึ่งความสามารถของหญิงสาวก็คือการอ่านสีหน้าผู้คน

นางทราบว่าคำถามของตนเองเมื่อสักครู่นี้คงจะจี้ใจดำอู่จิวโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้นชิงเล่ยจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก นอกจากรับฟังด้วยความตั้งใจ…

ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป

“ประเสริฐ ค่ายอาคมสามสิบหกค่ายมาตรฐานก็มีเพียงเท่านี้ เจ้ามีโอกาสวาดพวกมันขึ้นมาทั้งหมดสามครั้ง เสี่ยวชิง บอกอาจารย์หน่อยซิว่าเจ้าจำได้มากน้อยเพียงใด?”

อู่จิวยิ้มด้วยความกระตือรือร้น

ชิงเล่ยจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่ ๆ

สมน้ำหน้า

นางไม่ควรมาถามเลยว่าเขาอยู่ในระดับไหน

ในฐานะอาจารย์ของชิงเล่ย นักเวทชราอู่จิวไม่สามารถบอกได้จริง ๆ ว่าตนเองเป็นนักเวทที่สร้างประตูมิติได้เพียงระดับหกเท่านั้น

ขืนบอกออกไป ลูกศิษย์ที่ไหนจะเคารพอาจารย์?

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชิงเล่ยกลับพยักหน้าตอบกลับมาว่า “กราบเรียนอาจารย์ ศิษย์คิดว่าตนเอง… สามารถจดจำได้ทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ”

ว่าไงนะ?

อู่จิวผู้ไม่มีความรู้สึกผิดอยู่บนสีหน้าเลยสักนิดอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “เจ้าสามารถจดจำรายละเอียดของค่ายอาคมเหล่านั้นได้ทั้งหมดเลยหรือ? จำได้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเข้าใจสักหน่อย ไหนลองสร้างค่ายอาคมเหล่านั้นขึ้นมาให้อาจารย์ดูหน่อยซิ…”

ขาดคำ

ใต้ฝ่าเท้าของชิงเล่ยก็ปรากฏเส้นอาคมถูกวาดขึ้นมาซ้อนทับกันด้วยความรวดเร็วและสวยงาม

เพียงพริบตาเดียวสามสิบหกค่ายอาคมมาตรฐานก็ถูกสร้างขึ้นมาเรียบร้อย

เป็นการสร้างค่ายอาคมที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ

ริมฝีปากของอู่จิวสั่นระริก

ไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงชายชราร้องไห้โฮดังออกมาจากสวนเขียวฉินเยวียน

หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว

ราตรีผ่านพ้น งานเลี้ยงเลิกรา

ช่วงเวลาแห่งความสุขมักสั้นเสมอ

หลินเป่ยเฉิน เฉียนหลง ลู่ปิงเหวิน มู่หลินเซิน ซือเกินตั๋ง กวนรั่วเฟยและพรรคพวกคนอื่น ๆ เดินเมามายออกมาร่ำลากันก่อนแยกย้ายสลายตัว

ค่ำคืนนี้เป็นคืนพิเศษ เถ้าแก่ผู้ดูแลหอสุราถึงกับจัดสุราชนิดพิเศษออกมาจัดเลี้ยงพวกเขาเพื่อเอาใจหลินเป่ยเฉินโดยเฉพาะ

เมื่อสุราเข้าปากก็เกิดความเมามาย ความเมามายมักทำให้ผู้คนจริงใจต่อกันเสมอ

พวกเขาล้วนสาบานว่าจะช่วยงานหลินเป่ยเฉินอย่างสุดความสามารถ

แต่ก่อนที่จะกินดื่มกันอย่างเมามายมากเกินไป หลินเป่ยเฉินก็ได้อธิบายธุระทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เขามอบหน้าที่ใหม่ให้แก่เฉียนหลง นอกจากคุณชายผู้สูงศักดิ์คนนี้จะต้องรับผิดชอบเรื่องการทดลองยารักษาโรคบุปผามรณะแล้ว เขายังต้องดูแลเรื่องการนำซากราชาหมาป่าศิลาออกวางจำหน่าย เพราะเมื่อในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินได้ตัดขาดกับฉินโซว เฉียนหลงก็เป็นผู้เดียวที่เขารู้จักที่น่าจะมีเส้นสายมากที่สุดแล้ว…

ส่วนแผนงานทั้งหมดนั้น เฉียนหลงได้ปรึกษาหารือกับชิงเล่ยก่อนหน้านี้เอาไว้เป็นที่เรียบร้อย

วีรกรรมของหลินเป่ยเฉินบนยอดเขาเซินเหลียนยิ่งทำให้เด็กหนุ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น ทุกคนต่างก็ทราบแล้วว่าเขามีตำแหน่งเป็นเทพเจ้า นั่นจึงหมายความว่าหลินเป่ยเฉินกลายเป็นผู้ที่แตะต้องไม่ได้อีกแล้ว

และชิงเล่ยก็กลายเป็นลูกศิษย์โดยตรงของนักเวทอู่จิว ซึ่งนักเวทอู่จิวเป็นผู้ติดตามคนสนิทของใต้เท้ากั้ว นางจึงกลายเป็นผู้ที่แตะต้องไม่ได้อีกเช่นกัน

และครอบครัวของเฉียนหลงก็นับเป็นตระกูลใหญ่ ยิ่งไม่มีใครอยากมาหาเรื่องพวกเขา

เมื่อนำองค์ประกอบทั้งหมดนี้มารวมกัน แผนการวางขายยารักษาโรคบุปผามรณะของหลินเป่ยเฉินก็ไม่น่ามีปัญหาอีกแล้ว

รอให้สถานการณ์ทุกอย่างลงตัวก่อนเถอะ หลินเป่ยเฉินจะต้องนำยารักษาโรคบุปผามรณะออกวางจำหน่ายในเวลาที่เหมาะสมที่สุดแน่นอน

ส่วนพวกของลู่ปิงเหวินและคุณชายผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ ต่างก็สนอกสนใจในยาฮุยเหรินเซินเป่าชนิดเม็ดกันทั้งสิ้น พวกเขาถึงกับยอมซื้อต่อไปจากหลินเป่ยเฉินในราคาสูง เพื่อเตรียมตัวที่จะไปวัดความแข็งแกร่งเชิงชายกันอีกครั้ง…

เพียงระยะเวลาไม่นาน หลินเป่ยเฉินกลับมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก

และเป็นผู้ติดตามที่เขาจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้

เพราะกลุ่มบุรุษหนุ่มเจ้าสำราญเหล่านี้ต่างก็ถือเป็นตัวเงินตัวทองสำหรับเขาทั้งสิ้น

เมื่อหลินเป่ยเฉินกลับไปถึงคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู ชิงเล่ยยังคงไม่กลับมา

เด็กหนุ่มไม่รีบร้อน เดินเข้าไปนั่งโคจรพลังอยู่ในห้องฝึกวิชาเงียบ ๆ

แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งเป็นเทพเจ้า แต่ด้านหลังศีรษะกลับยังไม่ปรากฏวงแหวน และหลินเป่ยเฉินก็มักจะรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่เสมอ

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่สามารถใช้งานหมวกเหล็กอมตะกับถุงมือเทวฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

ถึงงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้เขาจะเป็นผู้ชนะ แต่ก็จะรีบวางใจไม่ได้

เพราะเขาไม่ทราบเลยว่าคนอื่น ๆ มีไพ่เด็ดอะไรอยู่ในมือบ้าง

ตัวอย่างเช่น คนถ่อแพฮั่วเซี่ยจะเป็นอย่างไรบ้างเมื่อได้รับการสนับสนุนโดยใต้เท้าเหยา ผู้เป็นเทพเจ้าระดับสูงของสภาเทพเจ้า

หรือพานตั่วชิงก็มีโอกาสที่จะกลับมาแก้แค้นเขาได้เสมอ

เพราะที่นี่คือดินแดนทวยเทพ

แม้ผิวน้ำจะเงียบสงบ แต่ก็มักจะปรากฏคลื่นใต้น้ำอยู่เสมอ

กาลเวลาผ่านไป

เพียงพริบตาเดียว สองวันก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก

การแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่รอบที่สี่ก็มาถึงแล้ว

ชิงเล่ยกลับคฤหาสน์มาทำอาหารและเตรียมสุราไว้รับประทานกับหลินเป่ยเฉิน

พวกเขานำอาหารและสุราออกมานั่งรับประทานอยู่ที่สวนหน้าคฤหาสน์ หลินเป่ยเฉินใช้สายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันฉายม่านพลังถ่ายทอดสด เตรียมรับชมการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ผู้มาเยือนเป็นเจ้าอ้วนกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์

“มะ… มะ… มารดาของข้าน้อย…”

“มารดาสั่งให้เจ้ามาเตรียมตัวแข่งขันกับข้าใช่หรือไม่? เข้ามาสิ”

การสนทนาระหว่างพวกเขาตรงไปตรงมาและเรียบง่ายเช่นนี้เอง

“ฟืด ฟืด…”

เจ้ากิ้งก่ายักษ์พ่นลมหายใจ ตัวมันยืนสองขาและเดินผ่านประตูเข้ามาเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ ช่วงล่างถึงกับสวมใส่กางเกงสีขาว ท่วงท่ายามก้าวเดินนั้นช่างดูยโสโอหังเป็นอย่างยิ่ง

เดี๋ยวนี้เจ้ากิ้งก่ายักษ์เป็นถึงขนาดนี้แล้วหรือ?

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็เตรียมตัวจะเดินเข้าไปสั่งสอนให้เจ้ากิ้งก่ายักษ์กลับไปเดินสี่เท้าอย่างสัตว์อสูรตามเดิม

แต่ใครจะไปคิดเลยว่า…

“ฟืด ฟืด”

เจ้ากิ้งก่ายักษ์กลับมีทักษะเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยม มันใช้สองขาหน้าแทนมือหยิบหางกิ้งก่าของตนเองออกมาถึงยี่สิบชิ้นและส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน

หืม?

หลินเป่ยเฉินรับของกำนัลไว้แต่โดยดีและไม่ว่ากล่าวอะไรมันอีก

“เดี๋ยวข้าน้อยจะไปเตรียมอาหารและสุรามาเพิ่มนะเจ้าคะ”

ชิงเล่ยยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน ก่อนลุกขึ้นและเดินหายไปจัดเตรียมอาหารเพิ่มเติม

เมื่อเห็นอาหารที่มีหน้าตาน่ารับประทานวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะหิน เจ้าอ้วนกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์ก็น้ำลายสอทันที

เจ้าพวกนี้ไม่เคยพอกับการรับประทานอาหารเลยจริง ๆ

“กินกันแค่พอประมาณก็พอนะ ที่นี่เสี่ยวชิงทำอาหารเพียงลำพัง หากพวกเจ้าทำให้นางเหนื่อยแรง ข้าจะฆ่าพวกเจ้าแน่นอน”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย

เจ้าอ้วนกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์เบิกตาโต

แต่ที่ไหนได้ ชิงเล่ยเพิ่งจะจัดทำอาหารเพิ่มเติมเสร็จเท่านั้น…

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“นายท่านขอรับ ข้าน้อยขอมารับชมการแข่งขันด้วยได้หรือไม่ ฮ่า ๆๆ นายท่านคงดีใจที่มีเพื่อนรับชมสินะขอรับ?”

เสียงของเฉียนหลงดังขึ้นนอกประตูรั้ว

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“นายท่าน ข้าน้อยเองขอรับ ข้าน้อยนำสุดยอดสุรามาให้พวกเรารับประทานระหว่างชมการแข่งขันด้วย…”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“ฮ่า ๆๆ นายท่านขอรับ ข้าน้อยได้โอสถตัวใหม่ช่วยเสริมสร้างพลังให้แก่ร่างกาย… นายท่านสนใจลองรับประทานดูไหมขอรับ?”

คราวนี้เป็นการปรากฏตัวของกวนรั่วเฟย

หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“นายท่านขอรับ ข้าน้อยมีของดีมาฝาก…”

เป็นซือเกินตั๋ง

หลินเป่ยเฉินยกมือเกาศีรษะ

หลังจากนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกหลายสิบครั้ง

มู่หลินเซินก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่เช่นกัน

เขาจ้องมองบรรดา ‘พี่น้องร่วมสาบาน’ ซึ่งนั่งหน้าสลอนอยู่ในสวนหย่อมหน้าคฤหาสน์ด้วยความมึนงง พร้อมกันนั้นก็อดบ่นไม่ได้ว่า “เจ้าพวกมารดาสุนัข ไหนบอกว่าพวกเราไม่ควรมารบกวนนายท่านก่อนการแข่งขันไงเล่า? มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียวนะ…”

“คนที่พูดว่าไม่ควรมารบกวนนายท่านก่อนน่ะ เป็นเจ้าคนแรกเลยไม่ใช่หรือ?”

“นั่นสิ แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม?”

“ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องเล่นไม่ซื่อ จึงได้เตรียมของมามอบให้แก่นายท่านแล้ว”

หลายคนโต้แย้งกลับมา

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว

แม่งเอ๊ย

ทำไมลูกสมุนของเขาแต่ละคนถึงน่าปวดหัวขนาดนี้?

ชิงเล่ยยังคงยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน นางต้อนรับแขกทุกคนด้วยความอบอุ่นใจและเดินกลับเข้าไปจัดเตรียมอาหารและสุรามาเพิ่มเติม

สวนหย่อมหน้าคฤหาสน์มีบรรยากาศที่คึกคักอย่างยิ่ง

ไม่นานหลังจากนั้น การต่อสู้คู่แรกในการแข่งขันรอบสี่ก็เริ่มต้นขึ้น

ผู้เข้าแข่งขันสองคนปรากฏตัวขึ้นบนสะพานหินโบราณที่ทอดข้ามหุบเหวโหยหวน ฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นผู้ที่พวกเขาคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี…

เป็นเส้นทางคนบาป… จุ่ยถูนั่นเอง