นอกจากเปลวอัคคีตะวันขาวในตำนานแล้ว เหล่าเผ่ามารยังเป็นกังวลเกี่ยวกับรถม้าศักดิ์สิทธิ์และรถน้อยคันนั้น
เมื่อนึกไปถึงว่าผู้ที่อยู่ในรถนั้นเป็นใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์ แม้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พวกเขาก็ยังอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฉินฉางเซิงมีชื่อเสียงมากที่พื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามาร ในขณะที่สวีโหย่วหรงมีชื่อเสียงมากขึ้นเพราะคำสารภาพของราชามารผู้คลั่งไคล้ แต่ผู้ใดอยู่ในรถเล็กคันนั้นกัน เหล่าราษฎรไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่า ยังมีมนุษย์ที่สามารถอยู่นำหน้าใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้ การคาดเดาค่อยๆ แพร่กระจายออกมา เหล่าราษฎรถึงได้ทราบว่านั่นคืออาจารย์ของจักรพรรดิเผ่ามนุษย์และใต้เท้าสังฆราช มีชื่อว่าซางสิงโจว ว่ากันว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับหวังจือเช่อ
ซางสิงโจวเพิกเฉยต่อสายตาที่อยากรู้อยากเห็นจากทั้งสองด้านของถนน สายตาของเขาจ้องมองไปยังสิ่งก่อสร้างทั้งสองข้างของถนน เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาเคยมาที่เมืองเสวี่ยเหล่า เคยอ่านระเบียนที่เกี่ยวข้องนับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในเมืองแห่งนี้
สำหรับเขาแล้ว เมืองหลวงของเผ่ามารแห่งนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ แต่ก็คุ้นเคย เต็มไปด้วยความรู้สึกที่น่าหลงใหลราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
เช่นเดียวกับอาคารบ้านเรือนเหล่านั้น ถึงแม้จะสวยงามมากจริงๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่สมเหตุสมผล
ยอดแหลมสูงตระหง่านแท้จริงเป็นสัญลักษณ์ของอะไร
เหตุใดหน้าต่างที่สว่างไสวเคลือบด้วยสีน้ำเงินเหมือนมหาสมุทร ซึ่งสามารถต้อนรับแสงแดดที่เจิดจ้าได้ แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกมืดมน ราวกับแดนยมโลกเสียจริง
อาคารที่งดงามที่สุดปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน แม้แต่ในคืนที่มืดมิดและไร้ดาว ก็ยังคงสะดุดตาราวกับภูเขาจริงๆ
นั่นคือวังมาร
ประตูหลักของวังมารสูงสิบกว่าจั้งได้หักแล้ว และยังมีเปลวไฟสีฟ้าอ่อนอยู่ที่ริมขอบ น่าจะเกี่ยวข้องกับวัสดุ
รถคันเล็กหยุดอยู่ที่ด้านนอกวังมาร ไม่ได้เข้าไป ดังนั้นกองกำลังทั้งหมดจึงหยุดเคลื่อนทัพเช่นกัน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ รถเล็กคันนั้นไม่เคลื่อนไหวเลย และไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาทั้งสิ้น
สายตานับไม่ถ้วนต่างจับจ้องมองไปยังรถเล็กคันนั้น
ท่านปู่ถังเดินไปยังด้านข้างของรถคันเล็ก
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงก็เดินไปข้างรถคันเล็กเช่นกัน
ท่านปู่ถังถามผ่านม่านสีน้ำเงินที่หน้าต่างรถว่า “เข้าไปไหม”
ม่านสีน้ำเงินถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของซางสิงโจว
เขาพูดว่า “ใกล้จะสำเร็จแล้วสิ?”
ท่านปู่ถังมองไปยังเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า
เริ่มต้นเข้าเมืองตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเวลานี้เพิ่งจะถึงวังมาร นอกจากเหตุผลเหล่านั้นที่กล่าวมาข้างต้น เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือเขาสั่งให้กองกำลังทั้งหมดเดินรอบเมืองเสวี่ยเหล่าหนึ่งรอบใหญ่ และไม่ลืมที่จะเดินผ่านย่านที่มีชื่อเสียงทั้งหมด รวมถึงเห็นสิ่งปลูกสร้างชื่อดังทั้งหมด
“ใกล้จะสำเร็จแล้ว”
ท่านปู่ถังกล่าวว่า
“เช่นนั้นก็จะดูอยู่ที่นี่”
ซางสิงโจวถอนใจอย่างพึงพอใจ แล้วหลับตาลง
หน้าวังมารเงียบลง เสียงการต่อสู้ในระยะไกลและแสงของดอกไม้ไฟที่ส่องสว่างบนท้องฟ้ายามค่ำคืนก็แผ่กระจายไปทั่วที่นี่อย่างชัดเจน
ไม่อาจทราบได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ท่านปู่ถังก้าวไปข้างหน้าและลดม่านลง
เฉินฉางเซิงเดินไปที่หน้ารถ และอุ้มนักพรตน้อยลงมา
นักพรตน้อยรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่มิได้เกรงกลัว และกอดเขาไว้แน่น
เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นแขนเสื้อของนักพรตน้อยพันแน่นมาก และยังมีคราบเลือดอยู่บนใบหน้าของเขา รู้ก็ว่าน่าจะเป็นคราบที่หลงเหลือมาจากการรักษาเหล่าทหารในหลายวันมานี้
“เจ้ามีท่านลุงผู้หนึ่งที่แขนเสื้อตัดสั้นมาก เช่นนั้นจะสะดวกมากกว่า ในอนาคตข้าจะทำให้เจ้า”
นักพรตน้อยพยักหน้า แล้วพูดว่า “ดี”
สวีโหย่วหรงก้าวไปข้างหน้า และดึงเขาออกมาจากอ้อมแขนของเฉินฉางเซิง
นักพรตน้อยไม่เคยเห็นสวีโหย่วหรง แต่เขาก็ยังประพฤติตนดี
เฉินฉางเซิงเดินไปยังวังมาร
สวีโหย่วหรงกอดนักพรตน้อยไว้แล้วเดินตามหลัง
นักบวชน้อยมองไปยังรถม้า ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา “อาจารย์ปู่ตายแล้วหรือ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้พูด และไม่ได้หันกลับมา
ท่านปู่ถังเอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินตามไป
หวังผ้อมาแล้ว เขาเตรียมตัวนำรถเล็กคันนั้นลากเข้าไปในวังมาร
“ข้าทำเอง”
เซียวจางรับงานนี้ไปทำ
ทุกคนต่างรู้ว่า คนที่เหมาะสมที่สุดในการทำเรื่องนี้คือเฉินฉางเซิง แต่ต่างก็รู้ว่า เหตุใดเขาถึงไม่หยุดฝีเท้าลง
…..
…..
การต่อสู้ในวังมารค่อยๆ หยุดลง เปลวเพลิงเกิดขึ้นที่บางแห่งในวัง แล้วก็ดับลงอย่างรวดเร็ว แม้จะถูกยึดครอง แต่ทุกอย่างก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
เช่นเดียวกับฝีเท้าของเฉินฉางเซิง เป็นจังหวะสม่ำเสมอและชัดเจน ไม่รีบร้อน
แต่เขาไม่สามารถมองรูปแบบของตำหนักเหล่านั้นในวังมารได้ชัดเจนนัก
ตำหนักเหล่านั้นสร้างด้วยหินอ่อนสีดำที่หายากมาก งดงามเกินสิ่งใดจะเปรียบได้ และตำหนักต่างๆ ก็มีรูปแบบที่แตกต่างกัน สีสันแตกต่างกัน กลเม็ดประเภทนี้ที่อยู่ในภาพวาดเมืองเสวี่ยเหล่าสามารถมองเห็นได้จากสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ ที่จริงแล้วสามารถเรียกได้ว่าอัศจรรย์ มีความสวยชนิดหาที่เปรียบมิได้
แต่ในสายตาของเขาสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกลุ่มสีที่พร่ามัว
ในส่วนลึกสุดของวังมารมีทุ่งทานตะวัน ครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่มาก มองดูราวกับทะเลสีเหลือง ในคืนฤดูใบไม้ร่วงที่เงียบเหงาเช่นนี้ ยังคงให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างหาที่เปรียบมิได้
คนขบวนหนึ่งเดินข้ามทะเลทานตะวัน เดินลึกเข้าไป รู้สึกได้ว่าความอบอุ่นรอบตัวเริ่มเย็นลง และไอพลังที่ชั่วร้าย เย็นชา ราวกับกลางคืนกำลังเพิ่มขึ้น
มีบันทึกเต๋ากล่าวไว้ว่า พลังเช่นนี้คือไอพลังปราณแห่งห้วงลึก และเป็นหนึ่งในขุมพลังของเผ่ามาร
ตำหนักมารอยู่บนขอบเหวของห้วงลึก ดูเหมือนว่าจะอยู่ไม่ไกลแล้ว
ดอกทานตะวันสีเหลืองถูกแยกจากกันราวกับกระแสน้ำ และพระราชวังสีดำสูงตระหง่านหาที่เปรียบมิได้ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
ผ่านขั้นบันไดหินที่มีความยาวช่วงหนึ่ง ผู้คนก็เดินเข้าไปในตำหนักมาร
จนกระทั่งบัดนี้ สายตาของเฉินฉางเซิงก็ไม่เลือนรางอีกต่อไป แต่ยังคงมีรอยแดงเล็กน้อย
พื้นที่ในตำหนักมารนั้นใหญ่มาก ไม่มีเสาหินรองรับ และทำมาจากหินสีดำทั้งหมด ทุกระยะจะมองเห็นภาพวาด หรือปูชนียบุคคล หรือทิวทัศน์ หรือดอกไม้ หรือแม้กระทั่งรอยสะบัดพู่กันธรรมดาๆ ซึ่งภายในแฝงไปด้วยภูมิปัญญามากมาย
เริ่มจากประตูวังมาร ผู้คนต่างไม่พบเผ่ามารตนใด ที่นี่ก็ไม่มี ดูเงียบเหงาพิกล
ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวจางๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน แทงเข้ามาตรงหว่างคิ้วของเฉินฉางเซิง
ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพิษในระยะไกล
เฉินฉางเซิงคุ้นเคยกับลำแสงสีเขียวนี้มาก มันคือขนนกยูงของหนานเค่อ
สวีโหย่วหรงพูดบางสิ่งกับนักพรตน้อยในอ้อมแขน โดยมิได้เงยหน้าขึ้นมอง
กระบี่สั้นพุ่งขึ้นไปในอากาศ ฟาดเข้ากับลำแสงสีเขียวอย่างแม่นยำ
ครั้นเมื่อเฉินฉางเซิงเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีประหลาดของหนานเค่อครั้งถัดไป ลำแสงสีเขียวนั้นก็สลายหายไปในอากาศ
ทันใดนั้น ก็เสียงปะทะดังขึ้นอย่างแน่นหนาจากด้านบนตำหนักมารเป็นชุด จากนั้นก็มีเกล็ดหิมะร่วงลงมา
เกิดเสียงดั่งสนั่นขึ้น ร่างสองร่างตกลงมาบนพื้นอย่างหนัก แม้แต่หินสีดำที่แข็งแกร่ง ก็ยังมีรอยแตกปรากฏขึ้นหลายจุด
ควันและฝุ่นค่อยๆ สลายไป สตรีชุดดำนางหนึ่งคุมตัวหนานเค่อเอาไว้
“เหตุใดเจ้าจึงอ่อนแอมากเช่นนี้”
สตรีชุดดำมองไปที่หนานเค่อและพูดอย่างสับสน
เฉินฉางเซิงมองไปยังใบหน้าซีดเผือดของหนานเค่อ ก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าที่นางกลับมาถึงเมืองเสวี่ยเหล่าไม่กี่วันมานี้ นางจะต้องทนกับอะไรบ้าง
“ข้าเสียใจนัก ข้าน่าจะฆ่าเจ้าเสียตั้งแต่ตอนที่ข้าเห็นเจ้าในสวนโจวแล้ว”
หนานเค่อมิได้สนใจสตรีชุดดำ นางจ้องไปที่ใบหน้าของเฉินฉางเซิง และพูดด้วยความเกลียดชังไม่รู้จบ
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง มิได้รับคำ เขาเดินเข้าไปในส่วนลึกของตำหนักมารต่อไป
หนานเค่อมองไปยังแผ่นหลังของเขา ตะโกนด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง “เจ้าต้องการให้พวกข้าตายกันหมดจึงจะพอใจหรือไร”
“ไม่ ข้าแค่ต้องการให้พวกเจ้ายอมแพ้เสีย”
เฉินฉางเซิงมองไปยังรถเล็กและเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดซ้ำอีกครั้งว่า “ยอมแพ้”
……
……