สตรีชุดดำส่ายหัว ปล่อยหนานเค่อ และเดินไปที่ข้างกายของเฉินฉางเซิง
ในกองกำลังมีผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์หลายคน แม้จะได้รับบาดเจ็บไม่เบา แต่ก็ยังต่อสู้ได้ ดูจากสภาพของหนานเค่อแล้ว คงไม่มีอำนาจคุกคามใดๆ ได้
ใบหน้าของหน่านเค่อซีดเผือดลงยิ่งกว่าเดิม ลุกขึ้นจากพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง แล้วเดินตามไป
ไม่มีใครเหลือบมองนางแม้ปราดหนึ่ง แต่มีบางคนสงสัยเกี่ยวกับสตรีชุดดำอย่างมาก
ลมหนาวพัดมาต้อนรับเล็กน้อย เดินผ่านหินสีดำที่ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งบางๆ หลายคนต่างก็คาดเดาได้ถึงตัวตนของสตรีชุดดำแล้ว
ที่แท้นางไม่ได้อยู่บนเกาะอบอุ่นทางใต้ แต่อยู่ที่นี่มาโดยตลอด และนางยังเป็นผู้พิทักษ์ของใต้เท้าสังฆราชอย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงเดาได้นานแล้วว่านางอยู่ในกองทัพ
ในช่วงเวลาวิกฤตของการต่อสู้ระยะที่สอง กองพันที่สามทางเหนือกองทัพเส้นทางตะวันออกพบตัวประหลาดเผ่ามารผู้หนึ่ง นกอินทรีดำหลายพันตัวรีบไปที่ค่ายพร้อมดินปืน แต่สุดท้ายพวกมันก็ร่วงลงมาอย่างลึกลับ บนที่ราบทุ่งหญ้าเกิดน้ำตกไฟที่ถูกจุดขึ้นนับไม่ถ้วน หลายคนมิอาจเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใด นั่นคืออำนาจแรงกดดันของนางในฐานะสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง
ในสงครามที่ติดตามมาภายหลัง จี๊ดจี๊ดยังประสบความสำเร็จมากมายหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งนั้นเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้
ภายใต้การกำบังของเผ่ามารทั้งหมดในเมืองเสวี่ยเหล่า เกาฮวนได้นำพลหมาป่ามากกว่าหนึ่งพันนายลงไปที่นั่วรื่อหลั่ง และโจมตีกองเสบียงของเผ่ามนุษย์ สุดท้ายโดนท่านปู่ถังสังหารทั้งหมด แต่เกวียนขนเสบียงก็โดนจุดไฟเผาไปมากเช่นกัน ก่อนจะสิ้นใจ เกาฮวนเห็นว่าเปลวเพลิงที่เผาเกวียนขนเสบียงเหล่านั้นได้ดับลงแล้ว เขาไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก สามารถเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่ง นี่ก็เป็นฝีมือของนางเช่นกัน เปลวเพลิงประหลาดที่ยากจะดับด้วยน้ำและทราย สำหรับมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งแล้ว ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอันใดเลย
เฉินฉางเซิงถามว่า “ไม่โกรธแล้วรึ”
จี๊ดจี๊ดพูดตามที่คาดการณ์ไว้ “เจ้าไม่ไปสู่ขอข้า ข้าควรจะโกรธเจ้าแน่นอน”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้ายังมาช่วยข้าอีก”
จี๊ดจี๊ดพูดว่า “หากเผ่ามนุษย์พ่ายแล้ว เจ้าจะต้องตายแน่ ถึงเวลานั้นข้าจะแต่งงานกับใครเล่า”
นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาจริงๆ
เฉินฉางเซิงมิอาจให้คำตอบได้
สวีโหย่วหรงถามขึ้นทันใดว่า “เจ้ารู้หรือยังว่าเหตุใดเจ้าจึงยังไม่เป็นผู้ใหญ่เสียที”
จี๊ดจี๊ดมึนงงเล็กน้อย ในใจคิดว่านั่นเป็นเพราะเหตุใด
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ไม่ใช่เพราะค่ายกลที่ใต้สะพานอุดรใหม่สร้างความเสียหายให้กับจิตใจของเจ้า แต่เป็นเพราะตลอดมาเจ้าต้องการจะจับคู่กับมนุษย์ ทำให้เจ้าฝึกบำเพ็ญได้ล่าช้า”
จี๊ดจี๊ดได้ฟังแล้วก็โกรธมาก อยากจะย้อนนางกลับแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากที่ใด นางตะโกนกลับไปทั้งหน้าแดงก่ำว่า “หรือเจ้าไม่คิด”
นักพรตน้อยเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมแขนของสวีโหย่วหรง สงสัยอย่างยิ่งว่าพวกเขากำลังโต้เถียงกันด้วยเรื่องอันใด
สวีโหย่วหรงเหยียดนิ้วออกแล้วเขย่า ความหมายชัดเจนมาก แต่ก็มีจุดที่ไม่ชัดเจนเช่นกัน
ช่วงเวลาที่ทะเลาะกันราวกับเด็กน้อยเช่นนี้ แท้จริงแล้วเหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว พวกนางประหม่าเล็กน้อย
ทุกคนมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของตำหนักมารแล้ว มองเห็นเปลวเพลิงมารสีดำ และรู้สึกถึงไอพลังปราณแห่งห้วงลึกที่มาจากด้านหลังของเปลวเพลิงมาร
เปลวเพลิงมารสีดำเปรียบเสมือนสีแห่งค่ำคืนที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างไม่หยุดหย่อน ไม่สงบเงียบ แฝงไปด้วยพลังงานอันไร้สิ้นสุด และน่ากลัวมาก
ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าเปลวเพลิงมาร เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีขาว ผมเผ้ากระเซิง ราวกับกวีผู้สูญเสียบ้านเกิด และเหมือนกับนักขับลำนำผู้โศกเศร้า
ที่ผู้คนประหม่ามิใช่เพราะความกลัว กลับเป็นเพราะประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้มาอยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขาแล้ว
ราชามารหมุนตัวกลับมา ใช้นิ้วมือม้วนผมเล่นอย่างสบายๆ พูดกับเฉินฉางเซิงว่า “สิ่งเดียวที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ เวลานี้เซียงอ๋องและเฉาอวิ๋นผิงอยู่ที่จิงตู กระทั่งจักรพรรดิขาวก็อาจจะไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่ได้อยากให้ข้าตาย เจ้าไม่สนใจขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ”
สายตาของเขามองไปยังรถเล็กคันนั้น และพบว่าในรถไม่มีเสียงลมหายใจแล้ว อารมณ์ค่อนข้างสับสนเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถึงแม้เจ้าจะนับว่าเป็นลูกศิษย์ที่สมองตายไปแล้ว แต่เหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจเล่า”
……
……
ทันใดนั้นฝนก็ตกที่จิงตู
หยาดฝนตกลงผ่านลำแสงจากคบเพลิง ตกลงบนไม้เลื้อยนอกสำนักฝึกหลวง ทำให้เกิดเสียงซ่าๆ
เฉินหลิวอ๋องมองดูเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย รอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆ จางลง
สิบปีมานี้ ท่าทีของสมเด็จพระจักรพรรดิที่มีต่อตระกูลเทียนไห่นั้นธรรมดามาก และท่าทีต่อเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็ไม่แย่ เมื่อปีก่อน ยังเลือกให้เขารับตำแหน่งสำคัญในกองทัพ
เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเกิดป่วยหนัก ทำให้ไม่สามารถตามเข้าร่วมแนวหน้าของกองทัพได้
ในช่วงปลายฤดูร้อน เขาได้ติดต่อกับม่ออวี่อย่างลับๆ และได้ออกหน้าเชิญใต้เท้าสองสามคนจากพระราชวังหลี และอาการป่วยก็ค่อยๆ ดีขึ้น เหตุการณ์นี้มีมลทินใดซ่อนอยู่ เขาไม่อยากสนใจอีกต่อไปแล้ว แต่ในเวลานี้เมื่อมองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคยในกองทัพกบฏเหล่านั้น เขากลับยังคงรู้สึกเจ็บที่หน้าอกเล็กน้อย
“ในตอนนั้นท่านป้าเคยบอกว่าเจ้าเป็นแค่เศษขยะก้อนหนึ่ง มองดูตอนนี้มันก็สมเหตุสมผลแล้ว”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมองไปยังลูกพี่ลูกน้องเหล่านั้น และพูดอย่างเย้ยหยันว่า “คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีแม้แต่ความกล้า”
เทียนไห่เฉิงอู่ขี่ม้าออกมาจากฝูงชน มองหน้าเขาและพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยพูดว่า “ท่านพ่อท่านรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ ผู้คนกำลังทำสงครามกับเผ่ามาร แต่ท่านกลับจะก่อกบฏ ท่านยังมียางอายอยู่ไหม”
เสียงของเขาแผ่กระจายอย่างชัดเจนท่ามกลางสายฝนในฤดูใบไม้ร่วง และการแสดงออกของพวกกองทัพกบฏก็ผิดแผกไปเล็กน้อย
ในตรอกไป่ฮวาพลันเงียบสงัด และเสียงฝนที่ตกลงมาบนเถาวัลย์สีเขียวก็กวนใจเล็กน้อย
เฉินหลิวอ๋องปาดฝนที่อยู่บนหน้าออก เขามองหน้าของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยขณะที่ขี่อยู่บนหลังม้า เขาหลุบตามองต่ำ แสดงสีหน้าเย็นชา
“ข้ารู้เพียงว่าข้าคือจักรพรรดิองค์ต่อไป แล้วเจ้าเป็นผู้ใดเล่า”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ เขาก็ยกมือขวาขึ้น เตรียมส่งสัญญาณให้กองกำลังทหารม้าฝ่ายกบฏพุ่งเข้าใส่
เช่นเดียวกับเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ในสายฝนฤดูใบไม้ร่วงที่คล้ายกัน เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็เคยทำเช่นเดียวกัน
สีหน้าของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยซีดลงไปเล็กน้อย เขารู้ดีว่าลำพังตัวเขาคนเดียวคงไม่สามารถทัดทานกองทัพกบฏมากมายเช่นนี้ได้
ซูม่ออวี๋ เฉินฟู่กุ้ย ชูเหวินปิน และยอดฝีมือท่านอื่นๆ ของสำนักฝึกหลวง ตอนนี้ล้วนไปอยู่ที่แนวหน้ากันหมดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ๋อซิ่ว ถังซานสือลิ่ว และคนอื่นๆ
ไม่นานหลังจากนี้จะมีอาจารย์และศิษย์กี่คนที่จะต้องตกอยู่ในสระโลหิตแห่งนี้ สำนักฝึกหลวงจะกลายเป็นซากปรักหักพังหรือไม่
โดยที่ไม่มีสัญญาณใดๆ มือขวาของเฉินหลิวอ๋องก็ทิ้งตัวลงมาอย่างหนัก ราวกับว่าเขากำลังจะตัดต้นไม้ใหญ่ เรียบง่ายและทรงพลัง
ณ เวลานี้ ภาพฉากอัศจรรย์ฉากหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ทันใดนั้นต้นไหวที่ค่อนข้างหนามากต้นหนึ่งก็แตกออก
เกิดเสียงตึงดังสนั่น!
ท่อนไม้ของต้นไหวที่หักออกนั้นก็ฟาดใส่เฉินหลิวอ๋อง
ท่ามกลางเสียงสะอื้น ม้าศึกถูกกระแทกเข้าโดยตรงจนตาย เฉินหลิวอ๋องร่วงลงไปท่ามกลางสายฝน ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด
โลกทั้งใบตกอยู่ในความเงียบงัน
ผู้คนมองเห็นเงาของร่างกำยำท่ามกลางสายฝน ต่างตกตะลึงและพูดไม่ออก
เงาของร่างกำยำนั้นคือผู้ใดกัน สามารถใช้มือข้างเดียวถือท่อนต้นไม้ยักษ์เป็นอาวุธได้ และสามารถล้มเฉินหลิวอ๋องได้อย่างง่ายดาย
เฉินหลิวอ๋องเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงของขั้นรวบรวมดวงดาว แม้ว่าจะเป็นการลอบโจมตี แต่เหตุใดเขาจึงทำไม่ได้แม้กระทั่งต่อสู้กลับเช่นนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่าเทียนไห่เฉิงอู่ขั้นหยั่งรู้ก็อยู่ข้างเฉินหลิวอ๋อง เหตุใดจึงไม่แม้แต่มีการตอบสนอง
ฝนในฤดูใบไม้ร่วงยิ่งมายิ่งหนัก ตกกระทบลงบนกิ่งและใบของต้นไม้ที่หักลง แล้วหยดลงมาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน
เทียนไห่เฉิงอู่พ่นลมเย็นออกมาหนึ่งครั้ง และฟาดมือขวาใส่คนกลางสายฝนผู้นั้น
เฉินหลิวอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบโจมตีต่อหน้าเขา เป็นการยากต่อเขาที่จะสารภาพต่อเซียงอ๋องในภายหลัง และเขาก็ตกตะลึงกับฝีมือของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงใช้กำลังที่มีทั้งหมด ไม่ได้ออมพลังเอาไว้เลย
ฝ่ามือของเขาเปล่งประกายด้วยแสงดาวระยิบระยับ ราวกับเป็นศาสตราเหล็กกล้าของจริง ตัดผ่านอากาศและสายฝนในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เกิดเสียงหวีดรุนแรง
บุรุษร่างกำยำผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจจะถอย กลับยกกำปั้นขวาขึ้นรับมือ
เปรี้ยง! สายฟ้าแลบปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ฟาดลงมาหน้าประตูสำนักฝึกหลวงโดยตรง แล้วกลายสภาพเป็นเส้นอัสนีเป็นสายๆ พัวพันอยู่บนแขนที่แข็งแรงของเขา
เคล็ดวิชาเหนี่ยวนำอัสนี!
ทันทีที่กำปั้นกระทบฝ่ามือ หยาดฝนที่ตกอยู่ทั่วฟ้าก็ดูราวกับจะหยุดอยู่กลางอากาศ
เทียนไห่เฉิงอู่กระเด็นห่างออกไปหลายสิบจั้ง จนกระทั่งชนเข้ากับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จึงจะหยุดลงได้ และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
บุรุษร่างกำยำผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าของเขามิได้เปลี่ยนแปลง
เวลานี้หลายคนเพิ่งสังเกตเห็นว่า เขาไม่ได้วางต้นไม้หักที่เขาถืออยู่ในมือซ้ายลงด้วยซ้ำ!
บุรุษร่างกำยำนี้คือผู้ใด หรือว่าเขาบรรลุสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วครึ่งก้าว
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยหนวดเครา แต่คิ้วและตาของเขายังดูอ่อนเยาว์อย่างมาก จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
เฉินหลิวอ๋องมองไปยังใบหน้าของชายร่างกำยำ รู้สึกมีความคุ้นเคยไม่น้อย แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ถามว่า “เจ้าคือผู้ใด”
ชายร่างกำยำนั้นพูดว่า “ข้าคือเซวียนหยวนผ้อแห่งสำนักฝึกหลวง แล้วเจ้าเล่าคือผู้ใด”