เซวียนหยวนผ้อคลายมือ
มีเสียงอื้ออึงดังขึ้น ต้นไม้หนักหักโค่นล้มลงกับพื้น ฝนตกกระหน่ำอย่างหนัก
ตรอกไป่ฮวามีแต่ความเงียบสงัด
พวกกบฏมองไปที่เงาร่างกำยำนั่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
มีแววขบขันปรากฏขึ้นในดวงตาของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย และยังแอบมีความสะใจเล็กน้อย เหล่าลูกศิษย์ของสำนักฝึกหลวงที่อยู่เบื้องหลังเขาใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชมและเกรงขาม
เซวียนหยวนผ้อมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะวีรกรรมในตำนานของเขา ในสายตาของผู้คนมากมาย เขาเป็นรองเพียงใต้เท้าสังฆราชเฉินฉางเซิงเท่านั้น
เมื่อหลายสิบปีก่อน เขาเป็นเด็กอัจฉริยะเผ่าปีศาจที่สำนักเด็ดดาราให้ความสำคัญเลี้ยงดูมา เนื่องจากแขนขวาถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์เล่นงาน จึงต้องลาออกจากสำนักโดยไม่มีการคัดค้านใดๆ เขาล้างจานที่ตลาดกลางคืนในถนนจิงตูเพื่อดำรงชีพ ในที่สุดเฉินฉางเซิงและลั่วลั่วก็เลือกเขากลับไปที่สำนักฝึกหลวง ได้รับเลือกเข้ามาก่อนแม้กระทั่งถังซานสือลิ่ว กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวของสำนักฝึกหลวง
การเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซูไม่กี่ปีต่อมา เฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวงอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม เซวียนหยวนผ้อต้องการกลับไปยังเมืองไป๋ตี้เพื่อขอความช่วยเหลือ ในท้ายที่สุดแล้วกลับไม่ได้รับอะไรเลย เขาเลือกทำงานในโรงเตี๊ยมที่เมืองตอนล่างของเมืองไป๋ตี้ และถูกคนทั่วโลกเข้าใจผิด ไม่รู้ว่าได้รับความทุกข์ทรมานจากการถากถางและเยาะเย้ยมากเพียงใด แต่ก็ไม่เคยคิดจะแก้ตัวเลย
จนกระทั่งถึงพิธีฉลองใหญ่ ฮูหยินมู่ตั้งใจจะให้ลั่วลั่วแต่งงานกับราชามาร เขาขึ้นไปบนสังเวียนในฐานะเซวียนหยวนผ้อแห่งสำนักฝึกหลวง เริ่มต่อสู้จากสนามที่ห่างไกลที่สุดในเมืองทางตอนใต้ ชนะการต่อสู้เรื่อยมา ได้ชัยชนะเก้าครั้งติดต่อกัน ต่อสู้อย่างรวดเร็วจนถึงการต่อสู้ชี้ชะตาครั้งสุดท้าย แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างน่าเสียดายให้กับราชามาร แต่เขาก็ยังทำให้ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำแดงและทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ตกตะลึง
หลังจากนั้นก็ผ่านไปสิบปีแล้ว อดีตสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของสำนักฝึกหลวงได้กลายเป็นนายพลใหญ่ที่รู้จักกันดีของเผ่าปีศาจ ในแง่ของพลังการต่อสู้ล้วนๆ เขายังแข็งแกร่งที่สุด เฉินฉางเซิงสอนเขาถึงวิธีการผสานเคล็ดวิชาเหนี่ยวนำอัสนีและเคล็ดหมัดที่เปี๋ยยั่งหงถ่ายทอดให้เขาเข้าด้วยกัน แม้แต่เจ๋อซิ่วก็ไม่อาจปะทะกำลังกับเขาได้โดยตรง!
……
……
ทุกคนต่างคิดว่าเซวียนหยวนผ้อน่าจะอยู่นอกเมืองเสวี่ยเหล่า นำทัพเผ่าปีศาจสู้ตายกับกองทัพเผ่ามาร ใครจะคาดคิดได้ว่าเขาจะปรากฏตัวที่สำนักฝึกหลวง หากเพียงแต่จะคิดสักนิด ก็เดาได้ว่าเขาน่าแอบเข้ามายังเมืองจิงตูโดยซ่อนตัวอยู่ในค่ายผิงเป่ยของเผ่าปีศาจ
เฉินหลิวอ๋องคิดถึงความเป็นไปได้ทุกทาง สีหน้าของเขาก็เริ่มซีดจางลง และเขาต้องการเตือนกองทัพกบฏที่อยู่รอบนอก
แสงกระบี่ส่องสว่างท่ามกลางสายฝนของฤดูใบไม้ร่วง และฟันไปทางเฉินหลิวอ๋อง
แสงกระบี่นั้นค่อนข้างแปลก ไม่ใช่สีขาวหิมะอย่างที่เห็นบ่อยๆ และก็ไม่ได้รู้สึกแหลมคม ทั้งยังไม่หนาวเย็น ตรงกันข้ามมันกลับให้ความรู้สึกร้อนเล็กน้อย
แขนเสื้อของเฉินหลิวอ๋องโบกสะบัด ดึงกระบี่อ่อนออกมา ฝืนต้านทาน แต่ร่างของเขากลับพลิกคว่ำลอยออกไป ชนเข้ากับกำแพงหิน สุดท้ายก็สลบไป
แขนขวาของเซวียนหยวนผ้อได้รับการฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมนานแล้ว และเขาถือกระบี่โลหะหนาเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ซึ่งก็คือกระบี่มหาสมุทรขุนเขา
ในปีนั้นเฉินหลิวอ๋องมาเยี่ยมเยียนสำนักฝึกหลวงเป็นประจำ แน่นอนว่าเขารู้จัก เขาจงใจถามอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ใดเพราะความโกรธ
ที่แท้เจ้าต้องการทำลายสำนักฝึกหลวงจริงๆ!
“ผู้ใดกล้าก้าวเข้ามาในสำนักฝึกหลวงแม้เพียงก้าวหนึ่ง ฆ่าอย่าให้เหลือ!”
เทียนไห่เฉิงอู่เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมที่ทรุดโทรม มีรอยโลหิตปรากฏอยู่บนด้านหน้าของอาภร
เดิมทีเขากำลังจะไปช่วยเฉินหลิวอ๋อง แต่เมื่อมองไปยังกระบี่มหาสมุทรขุนเขาในมือเซวียนหยวนผ้อ เขาเปลี่ยนใจอย่างเด็ดเดี่ยวและถอยออกไปนอกตรอกพร้อมกับลูกหลานของตระกูลเทียนไห่
เมื่อเขากำลังจะออกจากตรอกไป่ฮวา เทียนไห่เฉิงอู่อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองที่ประตูสำนักของสำนักฝึกหลวง
ภายใต้แสงของคบเพลิง ม่านฝนในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้ร่างของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยดูเลือนรางเล็กน้อย
เทียนไห่เฉิงอู่ลอบถอนใจ
ตัวเขาคิดว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่ละเอียดถี่ถ้วน เขาจิตใจโหดร้าย เรียกได้ว่า ‘หยาบช้า’ และ ‘ดำมืด’ จนสุดขีด และไม่สนใจว่าจะกลายคนที่มีชื่อเสียงอื้อฉาว เช่นนั้นตระกูลเทียนไห่จึงจะอยู่รอดต่อไปในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน หากมีโอกาสใด เขาจะเป็นผู้นำตระกูลเทียนไห่ มีแนวโน้มสูงมากที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งครั้งที่สอง
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังพ่ายแพ้ราบคาบ ตรงกันข้ามลูกชายที่เยือกเย็นและเย่อหยิ่งของเขาซึ่งมิได้ทำสิ่งใดเลย เขาเพียงทำตามแต่ใจของตนเอง แต่ยืนอยู่ข้างผู้ชนะเสมอ หรือว่าที่ท่านป้าพูดกับตนเองตอนนั้นจะเป็นจริง หรือว่าจะคำนวณกลไกผิดทั้งหมด แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กัน
……
……
การต่อสู้ของค่ายผิงเป่ยและกองทัพกบฏได้เริ่มต้นขึ้นแล้วที่นอกสำนักฝึกหลวง และเสียงการฆ่าฟันก็ดังระงมทั่วฟ้าไม่หยุดหย่อนแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากพระราชวังเลย เพียงแค่อยู่ห่างจากสำนักฝึกหลวง หรือสวนร้อยหญ้าก็เท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าป่านอกวังนั้นหนาแน่นเกินไป หรือได้รับการปกป้องจากหมู่หิน ในพระราชวังจึงไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ฆ่าฟันสักเท่าไรนัก จะได้ยินก็เพียงแต่เสียงตะโกนแว่วมาเท่านั้น
พระราชวังคืนนี้ช่างเงียบเหงานัก หากมองจากแท่นกานลู่จากพื้นขึ้นไป คาดไม่ถึงว่าจะมองไม่เห็นแม้แต่เงาของคน
แต่เพียงสังเกตอย่างรอบคอบเท่านั้น จึงจะพบว่าที่ห้องใต้หลังคา ในพุ่มไม้ริมสระน้ำ และในห้องมุมที่ห่างไกลมีนางในและขันทีจำนวนมากซ่อนตัวอยู่
บรรดานางในและขันทีเหล่านั้นใบหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นเทา และหวาดกลัวถึงขีดสุด
แต่ที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่และไม่ได้ไปคุ้มกันห้องโถงใหญ่ของตำหนัก มิใช่เพราะความกลัว แต่เพราะได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย
ในทั้งตำหนักพระราชวังมีไข่มุกราตรีอยู่มากมาย แม้จะไม่ดีเท่าแท่นกานลู่ และดีไม่เท่าถ้ำนั้นที่ใต้สะพานอุดรใหม่ แต่ก็เพียงพอจะส่องสว่างให้ตำหนักราวกับเป็นกลางวัน
ม่านแพรเปิดออก ลำแสงจากไข่มุกราตรีเปล่งออกมาเหมือนกับเกล็ดหิมะที่ไม่หยุดโบยบิน น่าเสียดายที่เวลานี้ไม่มีผู้ใดจะมีกะจิตกะใจชื่นชม
เหล่าเสนาบดีนำโดยมหาราชครูไป๋อิง มองไปยังเงาที่ประตูของตำหนัก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและความโกรธเกรี้ยว
“ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตากรุณาและความยุติธรรม พระราชวังเองก็เป็นส่วนหนึ่งในใต้หล้า เหล่าบุตรบุญธรรมของข้าเข้าใจจิตใจของข้า ปล่อยให้เด็กน่าสงสารเหล่านั้นซ่อนตัว เพื่อมิให้ถูกทหารดาบทำร้ายในคืนนี้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันชอบธรรม หากมารดาของท่านเข้าใจเหตุผลข้อนี้ เหตุใดนางจึงถูกฝังอยู่ในสวนร้อยหญ้า และไม่สามารถฝังร่วมกับจักรพรรดิองค์ก่อนได้”
สายตาของหลินกงกงเคลื่อนจากมหาราชครูไป๋อิงไปยังเสนาบดีและองครักษ์เหล่านั้น สุดท้ายก็กลับมามองจุดสูงสุดอีกครั้ง
ม่ออวี่และหลัวหยางอ๋องยืนอยู่ตรงนั้น บดบังคนข้างหลังไว้เพื่อปกป้อง แต่สามารถมองเห็นสีเหลืองสดใสได้จางๆ
“ภายนอกวังอาจมีปัญหาบ้าง แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในต้าโจว และข้าใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังนี้มานานหลายปีเกินไปแล้ว นานกว่าพวกเจ้ารวมกันเสียอีก…อยากจะหยุดผังลายจักรพรรดิ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะเข้าใจ”
ใครจะจินตนาการได้ หลินกงกงผู้มีชื่อเสียงในดินแดนต้าลู่เพราะความจงรักภักดีและศีลธรรมอันสูงส่ง จะกลายมาเป็นไส้ศึกให้เหล่ากบฏ และยังช่วยเซียงอ๋องทำลายผังลายจักรพรรดิ
มหาราชครูไป๋อิงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวด้วยร่างอันสั่นเทิ้ม มองไปยังหลินกงกงและกล่าวว่า “ใต้เท้าหลิน ข้าอยู่กับท่านมากว่าสองร้อยปี ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนเช่นไร แม้ในยามนี้ท่านก็ยังจำขันทีผู้ต่ำต้อยและเหล่าขุนนางในวังได้ แสดงว่าชื่อเสียงเหล่านั้นมิใช่ของปลอม แล้วเหตุใดท่านจึงต้องก่อกบฏเช่นนี้”
หลินกงกงพูดว่า “มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่กระทำการ จะหน่ายชื่อเสียงได้อย่างไร”
เขาเป็นขันที แต่เขามักคิดว่าตัวเองเป็นมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และไม่มีใครในโลกนี้กล้าสงสัยเขา แม้ในเวลานี้ ก็ยังยากที่ผู้คนจะสงสัยเขา
มหาราชครูไป๋อิงพูดอย่างเจ็บปวดว่า “เช่นนั้นท่านจะลบชื่อของท่านในฐานะเสนาบดีผู้ภักดีออกหรือ”
“ข้าเป็นเสนาบดีผู้ภักดีแน่นอน แต่ข้าภักดีต่อจักรพรรดิองค์ก่อน”
หลินกงกงมองไปยังเงาร่างบนจุดสูงสุดที่กลุ่มคนบดบังเอาไว้ และพูดว่า “ฝ่าบาท ข้าก็นับถือพระองค์มากเช่นกัน กระทั่งยิ่งชอบพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ น่าเสียดายที่พระองค์เป็นบุตรชายของหญิงผู้นั้น ยิ่งข้านับถือพระองค์มากเท่าใด ข้าก็ยิ่งนับถือตัวเองน้อยลงเท่านั้น ยิ่งข้าชื่นชอบพระองค์มากเท่าใด ข้าก็ยิ่งชื่นชอบตัวเองน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นโปรดยกโทษให้บ่าวชราสำหรับความผิดในวันนี้เถิด”
ข้อความนี้ค่อนข้างเข้าใจได้ยาก มีเพียงม่ออวี่เท่านั้นที่เข้าใจ เพราะนางเป็นสตรี ดังนั้นนางจึงหัวเราะออกมา
หลินกงกงมิได้สนใจเสียงหัวเราะของนาง และก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
เหล่าองครักษ์ต่างรู้สึกประหม่า มีดเหล็กในมือถูกดึงออกจากฝักทีละเล่ม
สีหน้าของหลัวหยางอ๋องซีดเผือดลง ทั้งศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ ปากของเขาไม่หยุดพึมพำว่า “ข้าควรทำอย่างไร ข้าควรทำอย่างไร”
แต่เขาก็ไม่เคยลดสองแขนที่กางออกลง ชัดเจนว่าแน่วแน่อย่างมาก เหมือนแม่ไก่ที่ปกป้องลูกเจี๊ยบ ซึ่งเขาปกป้องคนที่อยู่ข้างหลังเขา
ม่ออวี่รู้สึกรำคาญเล็กน้อยจากการรำพึงรำพันของเขา เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็ใจอ่อนลงอีกครั้ง พูดเบาๆ ว่า “มันจะยุ่งเหยิงในภายหลัง เจ้าพาฝ่าบาทไปก่อน”
หลัวหยางอ๋องตกใจ มองดูนางแล้วพูดว่า “ก็คือสถานที่ที่เจ้าพูดคืนนั้นหรือ”
ม่ออวี่พูดว่า “โง่งมนัก ข้าให้เจ้าท่องยี่สิบรอบแล้วเจ้ายังจำไม่ได้อีกหรือ”
หลัวหยางอ๋องอยู่ดีๆ ก็ร้องได้ออกมาแล้วพูดว่า “จำได้แล้ว แต่ข้าไม่อยากทิ้งเจ้าไว้”
ผังลายจักรพรรดิถูกทำลายแล้ว เซียงอ๋องและเฉาอวิ๋นผิงผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนอาจปรากฏขึ้นได้ตลอดเวลา สมเด็จพระจักรพรรดิต้องเสด็จออกจากถนนลับก่อนเวลานั้น
ม่ออวี่ต้องการอยู่ในสนามรบต่อเพื่อต่อต้านหลินกงกง และยังต้องดึงดูดความสนใจของผู้อื่นด้วย และผลลัพธ์สุดท้ายย่อมสามารถจินตนาการได้
ม่ออวี่และหลัวหยางอ๋องคู่สามีภรรยาคุยกันด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก นอกจากคู่พวกเขาเองแล้วมีเพียงท่านนั้นเท่านั้นที่ได้ยิน
อย่างไรก็ตามในเวลานี้ เสียงของบุคคลในหัวข้อสนทนาของพวกเขาก็ดังขึ้นนอกประตูตำหนัก
“ความรักนั้นจริงใจ เพราะมันคือความจริง มีจริง ไม่หน้าซื่อใจคด ไม่เสแสร้งอย่างเด็ดขาด สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ที่ท่านแม่สอนเองกับมือ แม่นางม่อ ข้าชื่นชมท่านจริงๆ”
เซียงอ๋องเดินเข้ามาในตำหนัก
เขาพูดด้วยแววตาหวนคิดถึง “ข้านึกถึงสมัยที่เจ้ากับหลิวเอ๋อร์เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ข้าเคยเขียนจดหมายขอท่านแม่แต่งงาน แต่น่าเสียดายที่ท่านแม่ไม่เห็นด้วย”
เฉาอวิ๋นผิงอยู่ข้างหลัง มองไปรอบๆ ในตำหนักโดยเอาสองมือไพล่หลัง พูดคำดีๆ บ้างเป็นครั้งคราว เฉกเช่นในยามว่างเจ้าหน้าที่ทหารผ่านศึกกำลังเก็บเมล็ดพืชจากไร่มันเทศ
เซียงอ๋องก็ทรงไม่ระลึกถึงอดีตอีกต่อไป และกล่าวว่า “หลินกงกงพูดถูก แม้ว่าด้านนอกจะพ่ายแพ้ทั้งหมดแล้ว จะนับเป็นประโยชน์อันใด ตราบใดที่ชนะที่นี่ก็เพียงพอแล้ว ตราบใดที่ข้าสามารถนั่งบนบัลลังก์นี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเขาหลีซานหรือพระราชวังหลี ทุกคนต่างต้องให้เกียรติข้า แล้วข้าจะกังวลอันใด”
ม่ออวี่พูดว่า “ท่านอ๋อง การจะนั่งบนบัลลังก์นี้อย่างมั่นคง แต่ไหนแต่ไรมาก็มิใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น”
“เช่นนั้นพวกเจ้าไม่เห็นหรือ ว่าช่วงสิบปีมานี้ข้าผอมลงไปเท่าใด”
เซียงอ๋องวางสองมือไว้บนท้องของเขา บีบเนื้อที่ยื่นออกมาจากเข็มขัดและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เขาค่อยๆ แย้มยิ้ม มองไปยังที่สูงด้านหลังฝูงชนและพูดว่า “เข็มขัดกำลังขยายกว้างขึ้นและข้าจะไม่เสียใจเลย ฝ่าบาท…พระอนุชา ให้ข้านั่งบนบัลลังก์ได้หรือไม่”
……
……
“ที่จริง…แล้ว…แต่ไหนแต่ไรมา…ข้า…ไม่เคย…คิด…นั่ง…บนบัลลังก็นี้เลย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในตำหนักหลักอันเงียบสงบ
การออกเสียงสองคำแรกคนผู้นั้นพูดนั้นกระตุกมาก เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดพูด
ต่อมา การออกเสียงของคนผู้นั้นดีขึ้นมาก พูดไม่คล่อง แต่อย่างน้อยก็ดูไม่แปลกมาก เพียงแต่พูดช้ามากและหยุดเป็นระยะๆ
เหตุผลก็เพราะว่าคนผู้นั้นไม่ได้พูดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว