บทที่ 1328 ใครขวางข้ามันต้องตาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,328 ใครขวางข้ามันต้องตาย

ผู้ที่ปรากฏอีกฝั่งหนึ่งของสะพานหินโบราณข้ามหุบเหวโหยหวนก็คือเจ้าปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยา

บัดนี้ เจียงจิวเหอมีใบหน้าซีดขาวแล้ว

สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว

หลังเหตุการณ์ในงานเลี้ยงเบิกฟ้า มีใครบ้างไม่ทราบว่าเจี๋ยนเซียวเหยาน่ากลัวเพียงใด?

เจี๋ยนเซียวเหยาคือบุคคลสุดท้ายที่เจียงจิวเหอปรารถนาจะให้บุตรสาวของตนเองพบเจอในการแข่งขันครั้งนี้

ฮูหยินเจียงผู้ยืนอยู่ด้านข้างแทบเป็นลม นางจ้องมองร่างของเด็กหนุ่มผู้สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬและมีหน้ากากลวดลายสัตว์อสูรปิดบังใบหน้า พูดด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า “นะ…นั่นมันเจี๋ยนเซียวเหยาใช่หรือไม่?”

เจียงจิวเหอหลับตาลง สูดลมหายใจลึก ๆ ตอบว่า “เป็นเขาเอง… วางใจเถอะ เชื่อมั่นในตัวบุตรสาวเราก็พอ”

ฮูหยินเจียงมีใบหน้าซีดขาวแล้ว

เจียงจิวเหอกุมมือภรรยาด้วยความอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”

เสียงโหยหวนจากหุบเหวด้านล่างเป็นเสียงของสายลมที่พัดผ่านมาเนิ่นนานนับพันปี

เสียงของสายลมดังหวีดหวิวไม่ต่างจากเสียงโหยหวนของวิญญาณคนตาย

บนสะพานหินโบราณ หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากสะพานฝั่งตะวันออก

เขาเห็นคู่ต่อสู้ของตนเองแล้ว

เจียงรั่วไป๋ผู้โด่งดัง

หญิงสาวสวมใส่กระโปรงสั้นสีขาวโดดเด่นสะดุดตา อวดช่วงขาขาวเนียนเรียวยาวที่ดูเข้ากันดีกับรองเท้าบูทสีกุหลาบแดง เจียงรั่วไป๋คาดเข็มขัดทองคำ ผมยาวสลวยผูกรวบเป็นหางม้าทางด้านหลัง ใบหน้างดงามเฉิดฉัน แต่รอบกายกลับปกคลุมด้วยรังสีอำมหิตที่หาได้ยากยิ่งในสตรีทั่วไป

แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้อยากจะนึกชื่นชมท่วงท่าอันสง่างามและความสวยงามของสตรีผู้นี้เลย

“ข้ากำลังรีบ”

หลินเป่ยเฉินว่า “เรามาสู้กันเลยดีกว่า”

เจียงรั่วไป๋เดินออกมาข้างหน้าอย่างช้า ๆ

ทุกก้าวเดินจะปรากฏกลีบกุหลาบทองคำปลิวกระจาย

หากผู้ใดพิจารณาให้ดี ก็จะพบว่าเท้าของนางไม่ได้สัมผัสพื้น แต่เจียงรั่วไป๋กำลังลอยตัวอยู่ในอากาศ ระยะห่างระหว่างพื้นสะพานกับเท้าของนางมีอยู่ประมาณหนึ่งฝ่ามือ

“หากเจ้าจะสู้กับข้าด้วยจิตใจไร้ซึ่งสมาธิเช่นนี้…”

เจียงรั่วไป๋กล่าวเสียงเรียบ “การต่อสู้ในวันนี้ก็จะเป็นวันตายของเจ้า”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “โทษทีนะ แต่ว่าข้ากำลังรีบจริง ๆ”

ขาดคำ

เขาก็สวมถุงมือเทวฤทธิ์

ใส่หมวกเหล็กอมตะ

พรึ่บ!

เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนทั่วร่างกาย

คลื่นความร้อนแผ่กระจายไปรอบบริเวณ

พร้อมกับมวลพลังกดดันมหาศาล

ผิวน้ำแข็งและเกล็ดหิมะที่ปกคลุมอยู่บนสะพานหินละลายตัว ต้นไม้น้ำแข็งสลายหายไป ทั้งสะพานดูเหมือนกำลังจะถูกเผาไหม้ในไม่ช้า “ขอแค่กระบวนท่าเดียวก็ตัดสินผลแพ้ชนะเลยแล้วกัน”

หลินเป่ยเฉินไม่ใช้กระบี่ แต่ใช้กำปั้นของตนเองเป็นอาวุธ

เมื่อมีหมวกเหล็กอมตะและถุงมือเทวฤทธิ์ การโจมตีด้วยพลังหมัดของเขาก็แทบจะมีพลังทำลายล้างมากกว่าการโจมตีด้วยกระบี่แล้ว

ในเวลาเดียวกันนี้

ใต้เท้าของเจียงรั่วไป๋ปรากฏเถาวัลย์กุหลาบแผ่ปกคลุมทั่วสะพานโบราณและกุหลาบทองคำเหล่านั้นก็ออกดอกบานสะพรั่งพร้อมกับอวดหนามอันแหลมคม

เจียงรั่วไป๋ยื่นมือออกไปเด็ดกุหลาบมาดอกหนึ่ง เพียงนางสะบัดมือหนึ่งครั้ง กลีบกุหลาบก็ปลิวกระจาย ก้านกุหลาบในมือแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มใหญ่

เจียงรั่วไป๋ฟันกระบี่ลงมาแนวขวาง

รังสีกระบี่สาดประกายเข้ามาพร้อมกับกลิ่นกุหลาบหอมฟุ้ง

นับเป็นการโจมตีที่สวยงามยิ่ง

ครืน!

พลังจากกำปั้นและพลังจากกระบี่กุหลาบปะทะกัน

คลื่นพลังทำลายล้างกวาดผ่านรอบบริเวณ ไม่ว่าคลื่นพลังเหล่านั้นแผ่กระจายไปถึงบริเวณไหนของสะพานหิน พื้นที่บริเวณนั้นก็จะเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาอย่างน่าหวาดกลัวทันที

เปรี๊ยะ!

โครม!

และแล้ว สะพานหินโบราณก็ขาดครึ่ง เศษหินร่วงกราวลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง เช่นเดียวกับตัวสะพานที่กำลังจะร่วงตามลงไป

แต่แล้วกลับปรากฏม่านพลังสีแดงเข้มช้อนรับสะพานเอาไว้กลางอากาศ

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ขณะนี้ บรรดาผู้ที่รับชมการแข่งขันผ่านการถ่ายทอดสดทางม่านพลังต่างก็หัวใจแทบวายตายแล้ว

แม้แต่สะพานหินโบราณก็พังถล่มลงไป

นี่แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของการต่อสู้ที่แท้จริง

ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนนี้มีพลังทำลายล้างรุนแรงมากเกินไป

“สมแล้วที่เป็นผู้มีชื่อเสียงด้วยกันทั้งคู่”

“ฝ่ายหนึ่งเป็นนักรบหญิงรุ่นใหม่อันดับหนึ่งของเมืองเยี่ยเฉิง อีกฝ่ายก็เป็นถึงปีศาจน้อยผู้ไร้เทียมทาน…”

“อย่าลืมสิว่าเจี๋ยนเซียวเหยามีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าแล้วนะ เขาควรเอาชนะเจียงรั่วไป๋ได้ง่าย ๆ …ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติแล้วสิ”

“ผิดปกติอะไรกันเล่า นั่นเป็นเพราะว่าเจี๋ยนเซียวเหยายังไม่เอาจริงต่างหาก เกิดเขาเอาจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ แม้แต่เทพเจ้าระดับสูงในสภาก็คงต้องร้อน ๆ หนาว ๆ กันหมด”

“เจ้ามองออกถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”

“มองออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

การสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วเมืองเยี่ยเฉิง

สะพานหินโบราณ

หลินเป่ยเฉินลอยกระเด็นออกไปไกลและต้องเซถอยหลังไปถึงสิบแปดก้าวกว่าจะสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

ในเวลาเดียวกันนี้

ร่างของเจียงรั่วไป๋ก็ลอยกระเด็นไปด้านหลังเช่นกัน ร่างของนางปะทะเข้ากับกำแพงกุหลาบสิบเอ็ดชั้นที่ตนเองได้สร้างเอาไว้ หลังจากนั้น หญิงสาวก็ร่วงหล่นลงสู่แพกุหลาบที่คอยรองรับอยู่ด้านล่าง

หลินเป่ยเฉินกำลังแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

หมัดของเขาถูกต้านทานได้

ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็รับรู้ถึงสิ่งหนึ่ง

ในตัวของเจียงรั่วไป๋น่าจะต้องพกของวิเศษที่มีความสูงส่งเทียมเท่าถุงมือเทวฤทธิ์อยู่แน่นอน

นับว่าเขาประเมินเจียงรั่วไป๋ต่ำต้อยเกินไปจริง ๆ

บัดนั้น

เจียงรั่วไป๋ค่อย ๆ ลอยตัวกลับขึ้นมาจากแพกุหลาบอีกครั้ง

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะรีบเอาชนะให้เร็วที่สุด แต่เพียงเท่านี้เจ้าก็แพ้แล้ว เจ้าอาจจะคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หารู้ไม่ว่าข้าไม่ได้เสียเปรียบเจ้าเลย อย่าคิดนะว่าเจ้าจะเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง เพราะที่ผ่านมาเจ้าก็แค่โชคดีเท่านั้น บัดนี้ เหตุไฉนเจ้าไม่ลองนึกทบทวนดูบ้าง ว่ามีนักรบมากมายเพียงใดที่ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ข้าตัวแทนจากตระกูลเจียงผู้นี้?”

สตรีผู้ได้รับฉายานามว่านักรบหญิงรุ่นใหม่อันดับหนึ่งแห่งเมืองเยี่ยเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและหนักแน่น ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ เถาวัลย์กุหลาบใต้เท้าของนางเลื้อยไปพันเกี่ยวตามซอกเล็กซอกน้อยของสะพานหินที่แตกหัก

“แต่ข้ากำลังรีบอยู่จริง ๆ นะ”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเปลวไฟลุกท่วมร่างกายตนเอง โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ลังเล เขาคำรามเสียงแหบต่ำ และใช้พลังอัคคีเทวะออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพ

เมื่อตัดสินใจใช้พลังอัคคีเทวะและโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ อุณหภูมิความร้อนจากเปลวไฟในร่างกายของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิมถึงสี่เท่า

ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้โทรศัพท์มือถือสแกนหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม

“ตี๊ด”

‘ไม่สามารถสแกนได้’

ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้หลินเป่ยเฉินแปลกใจเล็กน้อย

ปรากฏว่าโทรศัพท์มือถือของเขาไม่สามารถสแกนหาจุดอ่อนของเจียงรั่วไป๋ได้

ดูเหมือนว่าเมื่อขึ้นมาอยู่บนดินแดนทวยเทพแล้ว แอปพลิเคชันบางชนิดก็จำเป็นต้องได้รับการอัปเดตก่อนใช้งานจริง ๆ

แต่ว่า…

ไม่สำคัญหรอก

หลินเป่ยเฉินเปิดเพลงในพื้นหลังโดยไม่ลังเล

“ยิ่งแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยิ่งโดดเดี่ยวเพียงนั้น…”

เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นในหู

พลังในร่างกายพุ่งทะยานขึ้นทันที

“ข้ารู้ว่าเจ้าภูมิใจในความแข็งแกร่งของตนเอง และเจ้าก็ทำทุกอย่างได้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเองเสมอ แต่ว่า… ข้ากำลังรีบจริง ๆ…”

หลินเป่ยเฉินนำกระบี่เพลิงโลกันตร์ออกมาถือไว้ในมือข้างหนึ่ง

ในที่สุด เขาก็ต้องใช้กระบี่

“ข้าไม่ได้อยากจะทำเช่นนี้เลย แต่ว่าข้าไม่มีเวลาแล้ว”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามพร้อมกับฟันกระบี่ออกไป

หลังจากรอคอยมาเนิ่นนาน เขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาที่จะได้พบเจอฉู่เหินอีกแม้แต่ลมหายใจเดียว

เหตุผลของหลินเป่ยเฉินมีเพียงเท่านี้เอง

เพราะฉะนั้น ใครที่ขวางทางเขาก็ต้องตายสถานเดียว