บทที่ 639.4 คนที่ตัดไม้แทนช่างไม้ใหญ่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

กุ้ยฮูหยินทำเพียงแค่ดื่มชา ท่วงท่าผ่อนคลาย ไม่ได้เอ่ยคำใด

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันจนได้ข้อสรุปคร่าวๆ แล้วว่าจะเตรียมของขวัญอะไร รวมไปถึงหลังเข้าไปในเรือนชุนฟานแล้วจะปฏิบัติตัวอย่างไร โดยภาพรวมก็คือจะเลียนแบบตระกูลฝู ตระกูลติงก่อนหน้านี้ที่พูดให้น้อยมองดูให้มาก พูดน้อยย่อมไม่มีทางทำผิดพลาด

โหวเผิงวางถ้วยชาลง บนสีหน้าปรากฏแววประหลาด

หม่าจื้อคุยธุระจบก็ไม่ดื่มชาอีกต่อไป แต่เริ่มดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาของตัวเองไป

โหวเผิงถามเบาๆ “อิ่นกวานคนใหม่ชื่อว่าเฉินผิงอัน?”

หม่าจื้อพยายามตีหน้าเคร่ง แต่ก็ยังอดไม่ไหว หัวเราะเสียงดังเอ่ยว่า “น้องโหวเผิง เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ?!”

จินซู่มึนงงไม่เข้าใจ

กุ้ยฮูหยินอธิบายเสียงเบาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือเซียนกระบี่หนุ่มอายุน้อย ชื่อว่าเฉินผิงอัน”

โหวเผิงเอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “พูดภาษาทางการของใต้หล้าไพศาลได้คล่องแคล่วยิ่ง”

จินซู่ก็แอบหัวเราะอย่างอดไม่ไหว นางเองก็ไม่ต่างจากหม่าจื้อ เพียงแต่ไม่ได้หัวเราะเสียงดังอย่างฝ่ายหลังก็เท่านั้น

ช่วยไม่ได้ นางกับผู้อาวุโสหม่าจื้อล้วนคุ้นเคยกับเฉินผิงอันผู้นั้นดี

เฉินผิงอันที่มาจากราชวงศ์ต้าหลีคนนั้น ในอดีตก็เคยมาพักบนเรือนเล็กกุยม่ายที่ห่างจากที่แห่งนี้ไปไม่ไกล

ขนาดจินซู่ยังคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้

ความคิดของเจ้าของเรือโหวผู้นี้ก็ช่างบรรเจิดไปหน่อยหรือไม่

คนสองคนก็แค่มีชื่อแซ่เหมือนกันว่าเฉินผิงอันก็เท่านั้น

จะกลายเป็นคนคนเดียวกันได้อย่างไร

เป็นไปได้หรือ?

ในความทรงจำของจินซู่ นั่นก็คือผู้โดยสารที่ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวอยู่บนเรือข้ามฟากยังควักเงินจ่ายให้จิตรกรมากฝีมือบนเกาะกุ้ยฮวาวาดภาพให้เป็นที่ระลึก

คนหนุ่มต่างถิ่นที่สวมชุดสะอาดสะอ้าน แต่กลับกลบกลิ่นอายความยากจนไม่ได้

ดูเหมือนว่าปีนั้นจะยังสะพายกระบี่เล่มหนึ่งด้วย? แต่เขากลับเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ขอบเขตไม่สูงคนหนึ่ง

สุดท้ายภายใต้คำสั่งของอาจารย์ จินซู่ยังไปเดินเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของภูเขาห้อยหัวร่วมกับเด็กหนุ่ม

อยู่ในกรอบ คร่ำครึ น่าเบื่อ

ก็คือเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่เป็นเช่นนี้

ในความทรงจำอันพร่าเลือน ดูเหมือนว่าผิวของเขาจะค่อนข้างดำคล้ำ ตัวไม่สูง พูดเสียงไม่ดังนัก แล้วก็ชอบเหลียวซ้ายแลขวามองไปทั่ว แต่เวลาที่พูดคุยกับคนอื่นกลับมีแววตาที่ใสกระจ่าง ดวงตาไม่ล่อกแล่ก จะมองและรับฟังคนที่พูดคุยด้วยอย่างตั้งใจ

โหวเผิงเอ่ย “ในเมื่อแม้แต่ผู้เฒ่าติงก็ยังกลับคืนไปยังนครมังกรเฒ่าได้อย่างปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงจะคิดมากไปเอง”

หม่าจื้อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันมาก ต่างคนต่างรู้ดีอยู่ในใจก็พอ

ภูเขาไม่แปรเปลี่ยน แต่สายน้ำไหลริน

จอกแหนใบหนึ่งลอยกลับคืนสู่มหาสมุทรใหญ่ ชีวิตคนมีที่ใดที่ไม่อาจพบเจอกันได้

พบเจอถือเป็นวาสนา ทว่าวาสนาก็แบ่งออกเป็นบุญสัมพันธ์และกรรมสัมพันธ์

หากมีหนึ่งในหมื่นของหนึ่งในหมื่นของหนึ่งในหมื่นนั้นจริงๆ

ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่ามีบุญสัมพันธ์หล่นจากฟ้ามาใส่เกาะกุ้ยฮวา

ทว่าสำหรับตระกูลใหญ่แห่งอื่นของนครมังกรเฒ่านอกเหนือจากตระกูลฟ่านแล้ว กลับบอกได้ยาก

เจิ้งต้าเฟิงปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธของร้านยาฮุยเฉิงนัดหมายกับตระกูลฝูที่หอเติงหลง ฝูฉีที่ใช้อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง หลังจบเรื่องก็ยิ่งเคยดักฆ่าเจิ้งต้าเฟิง นอกจากตระกูลฟ่านและตระกูลซุนแล้ว แซ่ใหญ่แซ่อื่นของนครมังกรเฒ่ากลับทำตัวเป็นคนที่ได้เห็นล้วนมีส่วนแบ่ง เข้าร่วมกับเรื่องในครั้งนี้ ช่วยตระกูลฝูรับผิดชอบดักทางคนต่างถิ่นของร้านยาฮุยเฉิงกลุ่มนั้น

ตระกูลติงที่เป็นหนึ่งในนั้นยังลากเอาสำนักใบถงที่เดิมทียิ่งใหญ่มากบารมีมาเกี่ยวข้องด้วย

สำนักตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในใบถงทวีปที่เคยเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภา ว่ากันว่าทุกวันนี้มีชีวิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เรื่องอย่างเรือนรั่วแล้วยังมาเจอฝนตกทั้งวันคืน หิมะที่ตกลงบนน้ำค้างแข็ง ราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เรื่องแล้วเรื่องเล่าเกิดขึ้นติดต่อกัน สรุปก็คือสภาพน่าสังเวชอย่างยิ่ง ตอนนี้ตระกูลติงก็ยิ่งเป็นดั่งปลาที่ติดร่างแหไปด้วย อยู่ดีไม่ว่าดีก็เจอกับหายนะ ส่วนแบ่งทางการค้าหลายอย่างกลับถูกคนแย่งชิงไปอย่างลับๆ เพียงแต่ว่าตระกูลอื่นๆ ก็ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุมากนัก ตระกูลติงเองก็สามารถอดทนข่มกลั้นได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในภาพรวมแล้วตระกูลติงยังคงได้เงินก้อนใหญ่มาร่วมกับตระกูลฝู เพียงแต่ว่าในอนาคตการที่ตระกูลติงจะอยู่ในอันดับรั้งท้ายของนครมังกรเฒ่าก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่แล้ว

ดังนั้นตระกูลติงจึงจำต้องกระตือรือร้นต่อเรื่องเรือข้ามทวีปอย่างมาก พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะใช้สิ่งนี้มาทำลายสถานการณ์ที่ชะงักงัน นั่นก็เพื่อให้ตัวเองได้ตีสนิทมีความสัมพันธ์กับเรือนชุนฟาน

หม่าจื้อและโหวเผิงเองก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตระกูลติงจะต้องให้ราคาที่ต่ำมากอย่างแน่นอน ยอมตัดใจทิ้งช่องทางการหาเงินของเรือข้ามฟากลำหนึ่ง เพื่อรับประกันว่าภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ขาดทุน จะต้องมีความสัมพันธ์ควันธูปกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากกว่าเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ให้จงได้

จากนั้นหม่าจื้อและโหวเผิงก็ออกไปจากเกาะกุ้ยฮวาด้วยกัน จะต้องไปนั่งพูดคุยกับพวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากสองสามคนที่สนิทสนมกันก่อน จากนั้นค่อยต่างคนต่างไปเยือนเรือนชุนฟานตามเวลาที่นัดหมาย พกพาเอาของขวัญหนักไปเป็นแขก

ในเรือนเล็กบนเกาะกุ้ยฮวาเหลือแค่อาจารย์และศิษย์สองคนแล้ว พอไม่มีคนนอกอยู่ด้วย จินซู่ก็เริ่มบ่นเรื่องวิสัยทัศน์คับแคบของพวกผู้เฒ่าตระกูลฟ่านกับอาจารย์ตัวเอง

กุ้ยฮูหยินยิ้มกล่าว “ตระกูลฟ่านมีบรรยากาศอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ พวกผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนถือทิฐิดื้อรั้นเหล่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงคนไม่กี่คนที่พอเริ่มมีอายุก็นอนเสวยสุข คนอื่นๆ ล้วนออกแรงกันมาก มีคุณความชอบใหญ่หลวง การที่เจ้ารู้สึกว่าพวกเขาโลกแคบไม่รู้จักมองการณ์ไกล ก็เพียงแค่เพราะเจ้าเอนเอียงเข้าหาซุนเจียซู่ที่ร่วมกับตระกูลฟ่านควักเงินให้ภูเขาลั่วพั่วมากกว่า”

จินซู่เขินอายเล็กน้อย

กุ้ยฮูหยินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ปฏิบัติต่อคนและสิ่งของ สามารถมีความชอบความรังเกียจได้ แต่มุมมองและการปฏิบัติต่อโลกใบนี้ไม่ควรใส่อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมากเกินไปนัก นี่ก็คือเจตจำนงดั้งเดิมของการฝึกจิตใจที่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งสมควรมี ต่อให้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนแล้วก็ยิ่งควรจะเป็นเช่นนี้”

“ไม่อย่างนั้นในฐานะคนของตระกูลฟ่าน หากเจ้าแต่งงานกับซุนเจียซู่ แต่งเข้าตระกูลซุน หากเจ้าไม่พูดอะไรสักอย่าง เอาแต่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนอย่างเดียว ไม่ดูแลเรื่องงานบ้านงานเรือน นั่นก็ยังถือว่าดี ไม่อย่างนั้นหากเจ้าไม่ระวังก็อาจทำให้ตระกูลฟ่านและตระกูลซุนผูกปมแค้นต่อกัน”

น้อยครั้งนักที่อาจารย์จะมีท่าทางเข้มงวดจริงจังเช่นนี้ จินซู่ไม่กล้าก่อกวน ได้แต่จดจำไว้ในใจ

นั่งนิ่งๆ กันไปครู่หนึ่ง กุ้ยฮูหยินก็บอกจินซู่ว่าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนตน หากจะไปเดินเล่นที่ร้านค้าแถวหน้าผาหมีลู่ของภูเขาห้อยหัว อาจารย์ก็ไม่ขัดขวาง

จินซู่ไม่รู้สึกสนใจ ทุกวันนี้บรรยากาศของภูเขาห้อยหัวประหลาดยิ่ง แม้แต่เกาะกุ้ยฮวาก็ยังถูกบรรยากาศนั้นแผ่มาปกคลุม นางจึงไม่มีความคิดเช่นนี้

เพียงแค่ออกจากเรือนไปฝึกบำเพ็ญตน

จินซู่จากไปได้ไม่นานเท่าไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

กุ้ยฮูหยินลุกขึ้นยืนพลางยิ้มกล่าว “เชิญคุณชายเฉินเข้ามา”

คนหนุ่มผู้หนึ่งฉีกหน้ากากบุรุษสีหน้าทึ่มทื่อออกจากใบหน้า กุมหมัดยิ้มกล่าว “กุ้ยฮูหยิน รบกวนแล้ว”

กุ้ยฮูหยินคลี่ยิ้มอบอุ่น เอ่ยสัพยอกว่า “แขกที่หาได้ยากๆ”

เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็เอ่ยขออภัยว่า “กุ้ยฮูหยินอย่าคิดอะไรมาก ข้าก็แค่มาขอเหล้าหมักกุ้ยฮวาสักกาหนึ่งเท่านั้น”

กุ้ยฮูหยินหิ้วเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งออกมายื่นส่งให้คนหนุ่ม ยิ้มถามว่า “ในเมื่อพูดแบบนี้แล้ว ความหมายนอกเหนือจากคำพูดของใต้เท้าอิ่นกวานก็คือจะเริ่มจับตามองสวนดอกเหมยแล้ว?”

เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยคำใด

กุ้ยฮูหยินถามอีกว่า “ไม่กังวลว่าข้าจะเป็นพวกตะเภาเดียวกันกับถัวเหยียนฮูหยินผู้นั้นหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่”

และกุ้ยฮูหยินก็ไม่ถามถึงจุดจบของสวนดอกเหมยแห่งนั้นอีก

เฉินผิงอันบอกว่ามาดื่มเหล้าที่นี่ แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาสักเท่าไร เขายิ้มถามว่า “แม่นางจินซู่ยังคงชอบซุนเจียซู่ ไม่ชอบฟ่านเอ้อหรือ?”

กุ้ยฮูหยินพยักหน้า

จากนั้นเฉินผิงอันก็นั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง กุ้ยฮูหยินจึงเล่าเรื่องสถานการณ์ล่าสุดของฟ่านเอ้อให้เขาฟัง

ดูเหมือนว่านอกจากฟ่านเอ้อแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดกันอีก

จากลากันนานแล้วได้กลับมาพบกันอีกครั้ง พูดคุยกันไม่มาก กลับกลายเป็นว่าพูดคุยกันไม่ถูกคอเหมือนครั้งที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่กับกุ้ยฮูหยินได้พบกันเป็นครั้งแรกในปีนั้น

ส่วนกุ้ยฮูหยิน แน่นอนว่าต้องมองออกว่าใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุยังน้อยผู้นี้มีเรื่องให้กังวลใจมากมาย เห็นได้ชัดว่าสภาพการณ์ของเขาในเวลานี้ไม่ได้ผ่อนคลายนัก

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากาเล็กหมดไปกาหนึ่งก็เตรียมจะกลับไปยังเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัว แต่เขาจะไม่ปรากฏตัวที่นั่น

การมาเยือนครั้งนี้ นอกจากเพื่อผ่อนคลายอารมณ์แล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหวังว่าเกาะกุ้ยฮวาจะช่วยนำจดหมายลับไปส่งให้กับชุยตงซานและอ๋องเจ้าเมืองซ่งจี๋ซินคนละฉบับ

กุ้ยฮูหยินรับจดหมายลับสองฉบับนั้นมา

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณ ขณะที่กำลังจะเตรียมบอกลาจากไป กลับมีคนคุ้นเคยคนหนึ่งวิ่งมาจากทางประตู

แม่นางกุ้ยฮวาแห่งเรือนกุยม่ายในอดีต จินซู่

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนต้อนรับ คลี่ยิ้มทักทาย “แม่นางจินซู่”

จินซู่อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง นางหยุดเดิน เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะแอบขึ้นเกาะกุ้ยฮวามา นางเองก็ยิ้มกล่าวว่า “เฉินผิงอัน เจ้ามาได้อย่างไร”

จากนั้นจินซู่ก็รีบเปลี่ยนคำเรียกเสียใหม่ “คุณชายเฉิน”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เรียกชื่อข้าก็พอแล้ว”

จินซู่พยักหน้ารับ นั่งลงข้างกายกุ้ยฮูหยิน ถามเสียงเบาว่า “ไม่ได้ฝึกหมัดอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรอกหรือ? มีเวลาว่างมาดื่มเหล้าที่นี่ได้อย่างไร ทุกวันนี้ประตูใหญ่สองบานของภูเขาห้อยหัวควบคุมเข้มงวดนัก ราวกับป้องกันขโมยอย่างไรอย่างนั้น”

จินซู่ลังเลไปเล็กน้อย ก่อนถามเบาๆ ว่า “เป็นเพราะอยู่ดีๆ ก็ไปมีชื่อแซ่ตรงกับอิ่นกวานผู้นั้น ก็เลยรู้สึกอัดอั้น ถึงได้มาดื่มเหล้าแก้กลุ้มที่นี่ใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”

กุ้ยฮูหยินยิ้มอย่างคนรู้กัน

จินซู่กล่าวอย่างเสียดายว่า “เดิมทีข้ายังมีหวังอยู่เสี้ยวหนึ่งว่าเจ้าจะเป็นใต้เท้าอิ่นกวานในตำนาน เซียนกระบี่ใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น”

เฉินผิงอันเอ่ย “หากข้าเป็นอิ่นกวานจริงๆ คาดว่าแม่นางจินกุ้ยคงต้องอยากดื่มเหล้าแก้กลุ้มบ้างแล้ว”

จินซู่ยิ้มกว้าง หันหน้ามาเอ่ยกับกุ้ยฮูหยิน “อาจารย์ ทุกวันนี้คุณชายเฉินพูดจาแบบนี้แล้ว พิถีพิถันกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ”

กุ้ยฮูหยินยิ้มถาม “กลับมาทำไม?”

จินซู่เอ่ยเบาๆ “ข้าคิดว่าจะไปเดินเล่นที่หน้าผาหมีลู่ดีกว่า”

กุ้ยฮูหยินมองไปทางเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันขยิบตาให้รัวๆ

กุ้ยฮูหยินพยักหน้าให้ แต่กลับเอ่ยว่า “พอดีเลย เจ้ากับคุณชายเฉินไปทางเดียวกัน สามารถไปที่ศาลาจัวฟ่างด้วยกันได้”

จินซู่รีบพูด “ไม่ต้องๆ ข้าคุ้นเคยกับภูเขาห้อยหัวมากกว่าคุณชายเฉิน”

นางชอบซุนเจียซู่ ไม่ได้ชอบฟ่านเอ้อ และเฉินผิงอันก็คือเพื่อนสนิทของฟ่านเอ้อ แต่กับซุนเจียซู่ก็เป็นคู่ค้าเช่นกัน

ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าอย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับเฉินผิงอันเลยจะดีกว่า

กุ้ยฮูหยินเองก็ไม่ได้ทำให้คนทั้งสองลำบากใจอีก นางปล่อยให้จินซู่จากไปเพียงลำพัง และรอยยิ้มของกุ้ยฮูหยินก็เพิ่มมากขึ้น

เฉินผิงอันรออยู่ครู่หนึ่งถึงได้ลุกขึ้นเอ่ยขอตัวกับกุ้ยฮูหยิน

กุ้ยฮูหยินมาส่งถึงหน้าประตู แล้วก็พลันเอ่ยว่า “ต้องระวังภูเขาตะวันเที่ยงที่เชี่ยวชาญการเก็บซ่อนอำพรางตนอย่างถึงที่สุดให้ดี”

เฉินผิงอันมองไปทางทิศที่ตั้งของแจกันสมบัติทวีปแวบหนึ่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “แน่นอน”

ขณะเดียวกันก็พูดกับตัวเองในใจว่า วันหน้าภูเขาตะวันเที่ยงจะต้องคุกเข่า เป็นคนขอร้องข้าว่าอย่าได้มีใจคับแคบขนาดนั้น (เป็นการเล่นคำ คำว่าระวังในประโยคของกุ้ยฮูหยิน คือคำว่า 小心 ที่แปลตามความหมายทั่วไป แต่คำว่าใจแคบของเฉินผิงอันก็ใช้คำว่า 小心 เหมือนกัน แต่เป็นการแปลตรงตัวว่าใจเล็ก หรือก็คือใจแคบนั่นเอง แม้คำภาษาจีนทั้งสองประโยคจะเหมือนกัน แต่เมื่ออยู่กันคนละบริบท ความหมายที่ตัวละครสื่อจึงต่างกัน)

กุ้ยฮูหยินถาม “ในที่สุดก็เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วหรือ?”

เฉินผิงอันตอบด้วยเสียงในใจ “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม วันหน้าเมื่อเปิดเผยสถานะของผู้ฝึกกระบี่แล้วก็จะบอกกับคนนอกว่าเล่มหนึ่งชื่อจั๋วไฉ (ผ่าฟืน) อีกเล่มชื่อจ้างปู้ (สมุดบัญชี)”

กุ้ยฮูหยินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ไม่ตรงกับใจตัวเองว่า “ชื่อดี”

ส่วนเรื่องที่ว่าเวทอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินทั้งสองเล่มของเฉินผิงอันคืออะไร

กุ้ยฮูหยินไม่มีความสงสัยใคร่รู้อีกแล้ว

เฉินผิงอันเกาหัว เอ่ยว่า “ส่วนชื่อที่แท้จริงของกระบี่บิน เล่มหนึ่งคือหลงจงเชว่ (นกในกรง) เดิมทีอยากตั้งว่าจงชิว (ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง หากอิงตามปฏิทินจันทรคติจะหมายถึงเดือนแปด) แต่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับกระบี่บินสืออู่ (สืออู่คือสิบห้า หมายถึงช่วงกลางเดือนของเดือนแปดหรือก็คือวันเทศกาลไหว้พระจันทร์) อีกเล่มหนึ่งข้ายังคิดไม่ตกว่าจะชื่อเทียนซ่างเยว่ (ดวงจันทร์บนฟ้า) หรือจิ่งตี่เยว่ (ดวงจันทร์ใต้บ่อ)”

เรื่องของการตั้งชื่อนี้ เชี่ยวชาญเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกัน

กุ้ยฮูหยินหัวเราะ “ในที่สุดก็พอจะมีชื่อที่กระบี่บินสมควรมีบางแล้ว”

เฉินผิงอันไปจากเกาะกุ้ยฮวาอย่างเงียบเชียบ ไปเจอกับเซียนกระบี่โฉวเหมียวก่อน

คนทั้งสองมุ่งหน้าไปที่สวนดอกเหมยด้วยกัน

ต้องไปพบถัวเหยียนฮูหยินที่ตัวอยู่ในบ้านเกิด แต่กลับคิดถึงต่างบ้านต่างแดนผู้นั้นสักหน่อย

นอกจากเซียนกระบี่โฉวเหมียวแล้ว แน่นอนว่ายังมีลู่จือที่ไปเยือนถ้ำซานสุ่ยฝูเหยาทวีปมารอบหนึ่ง

คิดจะพูดคุยเรื่องเหตุผลกับสตรี ก็ยังต้องให้สตรีเป็นคนพูด