บทที่ 640.1 หนึ่งคนพึมพำ กลุ่มขุนเขาขานรับ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สวนดอกเหมยคือเรือนที่มีระเบียงโค้งวกวนมากที่สุดในบรรดาสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว แน่นอนว่าจุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็ยังคงเป็นต้นเหมย เพียงแต่ว่าต้นเหมยที่ปลูกไว้ในสวนดอกเหมยแห่งนี้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ไม่มีการหักดัดกิ่ง ถี่ห่างเป็นไปตามธรรมชาติ โค้งตรงตามแต่ใจ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสารทิศ แน่นอนว่านี่ก็ยังเป็นเพราะสวนดอกเหมยได้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อต้นเหมยตระกูลเซียนจำนวนมากจากเรือข้ามฟากของแปดทวีปเพื่อนำมาปลูกในสวนดอกเหมยแห่งนี้

จุดชมทัศนียภาพที่งดงามที่สุดของสวนดอกเหมยก็คือศาลาที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ปู้เจิงชุน’ (ไม่โอ้อวดตน)

ถัวเหยียนฮูหยินนั่งคุกเข่าอยู่บนเสื่อเย็นที่วัสดุทำมาจากไผ่เขียวบนภูเขาชิงเสิน มือทั้งสองวางทับซ้อนกันบนหัวเข่า รูปโฉมของนางงามเย้ายวน ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

นางมองไปยังผู้ฝึกตนสามคนที่กำลังเดินขึ้นมาบนขั้นบันไดของศาลาช้าๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยแล้วก็ยินดีจะรับการลงโทษ เพียงขอร้องให้เซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือออกกระบี่ให้รวดเร็วฉับไวหน่อย”

เฉินผิงอันนั่งลงบนเสื่อ ตรงข้ามกับถัวเหยียนฮูหยิน ถามว่า “ไม่คิดจะแก้ตัวชดเชยอะไรบ้างหรือ? ภูตพืชหญ้าห้าขอบเขตบน ฝึกตนกันไม่ใช่ง่ายๆ”

ถัวเหยียนฮูหยินส่ายหน้า “แม้แต่เปียนจิ้งผู้นั้นก็ยังหาตัวเจอและฆ่าทิ้งไปแล้ว ข้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดได้อีก ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่ทำตัวเสแสร้งแล้ว”

เฉินผิงอันถาม “หรือว่าร่างจริงของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนั้นถูกฝังไว้ในสวนดอกเหมย? ไม่อย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงได้รู้ว่าเปียนจิ้งตายแล้ว?”

ถัวเหยียนฮูหยินเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด แล้วจึงผายมือให้กับสตรีร่างผอมสูงคนนั้น “เคยมีคนบอกว่าสตรีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือเซียนกระบี่ลู่จือที่มีรูปโฉมงดงามที่สุด งามล่มบ้านล่มเมืองที่สุด คนกับกระบี่สอดคล้องกันได้ดีที่สุด วันนี้ได้พบหน้ากัน จึงรู้ว่าช่างสมคำเล่าลือจริงๆ”

ลู่จือขมวดคิ้ว

แต่เซียนกระบี่โฉวเหมียวกลับถอนหายใจ เพราะเขารู้ว่าคำพูดทำนองนี้ ใครเป็นคนพูด

เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะถามเจ้าแค่เรื่องเดียว ทั้งๆ ที่เจ้าเกิดและเติบโตมาในใต้หล้าไพศาล เหตุใดถึงได้โน้มเอียงเข้าหาใต้หล้าเปลี่ยวร้างเช่นนี้?”

ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มเอ่ย “กฎระเบียบที่นายท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งตั้งไว้ย่อมดี เพียงแต่ผู้ฝึกตนรุ่นหลังทำได้ไม่ค่อยดีนัก ขึ้นมาบนภูเขา ฝึกตนอยู่บนมรรคา เทพเซียนมีมากมายนับพันนับหมื่น แต่มีสักกี่คนที่เห็นภูตพืชหญ้าซึ่งโชคดีสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์อย่างพวกเราเป็นคนบ้าง? ไม่เพียงแต่ตัวข้าที่ต้องรับความยากลำบากมาจนเต็มกลืน เมื่อโชคดีหนีพ้นจากห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์ทรมาน ทอดสายตามองไป หลายร้อยหลายพันปีผ่านไปแล้ว โลกมนุษย์กลับไม่เคยแตกต่างไปจากที่เคยเป็น นี่จึงเป็นเหตุให้ในใจรู้สึกเคียดแค้นมานานแล้ว”

นางหันหน้ามองไปยังทิศทางของประตูใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสวนดอกเหมย หลังดึงสายตากลับมาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงก็ไม่ได้จะชื่นชอบใต้หล้าเปลี่ยวร้างสักเท่าไร ใต้หล้าที่สัตว์เดรัจฉานไร้อารยธรรมแห่งหนึ่งเป็นเจ้าของ อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลขนาดนั้น เมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลแล้วจะดีไปกว่ากันสักเท่าไรเชียว? ข้าก็แค่อยากจะได้เห็นคนบนภูเขาและล่างภูเขาของใต้หล้าไพศาลตายกันไปให้หมดกับตาตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ฝึกตนที่ต้องตายอย่างสิ้นซากไปก่อนใคร มีเพียงพืชหญ้าที่ยังคงอยู่ดังเดิม หนึ่งขวบปีมีรุ่งโรจน์มีแห้งเหี่ยว ก่อกำเนิดต่อเนื่องไม่ดับสูญ เหตุผลข้อนี้ พอหรือไม่? ใต้เท้าอิ่นกวาน!”

เฉินผิงอันเอ่ย “หากเจ้าว่าพอก็พอแล้วล่ะ”

เซียนกระบี่โฉวเหมียวรู้สึกว่าการเดินทางมาเยือนสวนดอกเหมยครั้งนี้ราบรื่นจนน่าเหลือเชื่อ

ลู่จือพลันเอ่ยว่า “ผลงานทางการสู้รบที่ข้าสะสมไว้ หากไม่ใช้ก็เสียเปล่า จะเอามาแลกเปลี่ยนกับชีวิตนางแล้วกัน วันหน้าข้าจะเก็บนางไว้ข้างกาย ใต้เท้าอิ่นกวาน คิดว่าอย่างไร?”

โฉวเหมียวรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

ถัวเหยียนฮูหยินก็ยิ่งตะลึงพรึงเพริด

เมื่อครู่นางมีใจคิดอยากตายจริงๆ

ก่อนหน้านี้คิดคำนวณมานับร้อยนับพันอย่าง หากไม่ต้องตาย ก็คงต้องอยู่ไม่สู้ตาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่านางไม่ได้โชคร้ายที่สุด จะดีจะชั่วในบรรดาเซียนกระบี่ก็ยังมีสตรี โชคดีที่ไม่ได้มีแค่บุรุษสกปรกเหล่านั้น ก็ไม่สู้ทำให้มันจบๆ ไป

ไม่ว่าอย่างไรถัวเหยียนฮูหยินก็คิดไม่ถึงว่าลู่จือจะเอ่ยเช่นนี้

ลู่จือพูดกับถัวเหยียนฮูหยินว่า “วันหน้าเจ้ามาติดตามข้าฝึกตน ไม่ต้องเป็นสาวใช้”

จากนั้นลู่จือก็มองเฉินผิงอัน หมายจะรู้คำตอบ

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้”

ร่างของถัวเหยียนฮูหยินอ่อนยวบทรุดลงบนพื้น น้ำตาคลอเจียนจะหยด

ตลอดทั้งสวนดอกเหมย ดอกเหมยแต่ละตนพากันแย้มกลีบบานสะพรั่ง นี่เป็นเพราะโชคชะตาของถัวเหยียนฮูหยินกับฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เชื่อมโยงถึงกัน จึงชักนำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินเช่นนี้

ลู่จือขมวดคิ้วกล่าว “ถัวเหยียน ข้ามีข้อเรียกร้องต่อเจ้าเพียงข้อเดียว วันหน้าขอแค่เจอกับด่านแห่งความเป็นความตายอีกครั้ง ขอแค่มีบุรุษอยู่ตรงหน้าเจ้า อย่าได้ทำท่าทางเช่นนี้อีก แน่นอนว่าหากเขาคิดจะให้เจ้าตาย ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก”

ถัวเหยียนฮูหยินก้มตัวหมอบกราบลู่จือ “ถัวเหยียนขอบพระคุณสหายลู่จือ!”

ถัวเหยียนฮูหยินลุกขึ้นยืน เดินนวยนาดไปยืนอยู่ข้างกายลู่จือ

ต่อให้เป็นโฉวเหมียวก็จำต้องยอมรับว่า ถัวเหยียนฮูหยินเป็นสตรีที่งดงามจริงๆ

ส่วนอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นกำลังนั่งยองอยู่บนพื้น ม้วนเอาเสื่อไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นมา

เมื่อเทียบกับเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของบ้านตนก็นับว่าเป็นของแท้ที่มีราคามากกว่าจริงๆ

โฉวเหมียวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ถัวเหยียนฮูหยินลังเลเล็กน้อย มองคนหนุ่มที่กำลังขยับตามเสื่อที่ม้วนก็อดไม่ไหวใช้เสียงในใจสอบถามลู่จือ “นี่คือ?”

ลู่จือยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราเกรงใจที่จะขุดดินกวาดค้นที่เรือนชุนฟาน แต่สวนดอกเหมยที่ไร้เจ้าของกลับยากที่จะหนีพ้นหายนะนี้แล้ว”

โฉวเหมียวยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม

ฟังจากน้ำเสียงของเซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือ ดูเหมือนว่าความประทับใจที่นางมีต่อใต้เท้าอิ่นกวานในทุกวันนี้จะไม่แย่เลย?

เฉินผิงอันม้วนเสื่อเสร็จแล้วก็เหน็บไว้ใต้รักแร้ ลุกขึ้นยืน “ลู่จือ ตกลงกันไว้ก่อนว่า สวนดอกเหมยสามารถหยั่งรากลงหลักปักฐานอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ไม่ได้อาศัยแค่ขอบเขตของถัวเหยียนฮูหยินเท่านั้น แต่ยังมีการใช้กลอุบายอันแยบยลอีกด้วย แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าไม่ถนัดพอดี”

ลู่จือปรายตามองถัวเหยียนฮูหยิน “ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่เสียดายชีวิต ผู้ฝึกตนก็ดี ภูตพืชหญ้าก็ช่าง ล้วนเป็นเรื่องของกระบี่เดียวทั้งสิ้น”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่จือก็เอ่ยอีกว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนวุ่นวายยุ่งเหยิงอะไรนั่น วันหน้าก็ช่วยข้าจับตามองนางหน่อย”

แล้วลู่จือก็เอ่ยกับถัวเหยียนฮูหยินอีกครั้ง “บอกกับเจ้าตามตรง ตอนนี้ข้ายังไม่เชื่อใจเจ้า แต่ข้าสามารถรับรองได้ว่า พันปีให้หลัง เจ้าสามารถกลับคืนมามีอิสระได้ดังเดิม หากข้าตายไปก่อนบนมหามรรคา ตายไปภายในเวลาพันปีนี้ ก็จะมอบให้เฉินผิงอันเป็นคนจัดการ ถัวเหยียน หากเจ้ารู้ว่าเวลาหนึ่งพันปีนานเกินไปก็สามารถต่อรองกับข้าได้ เพียงแต่ข้าไม่ตอบตกลงก็เท่านั้น”

ถัวเหยียนฮูหยินคลี่ยิ้มหวาน ยอบตัวคารวะลู่จือด้วยท่าทางแช่มช้อย

ผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตเฉกเช่นลู่จือ จิตกระบี่กลับยังใสกระจ่าง บวกกับที่เคยได้ยินเรื่องเล่ามหัศจรรย์มากมายเกี่ยวกับลู่จือ ทำให้ถัวเหยียนฮูหยินยินดีที่จะเชื่อนาง

โฉวเหมียวยกนิ้วโป้งให้ใต้เท้าอิ่นกวาน

ให้สตรีพูดคุยเหตุผลกับสตรีจะเหมาะกว่าจริงเสียด้วย

เฉินผิงอันเก็บเสื่อเย็นไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วจึงบอกให้ลู่จือกับโฉวเหมียวออกไปจากที่นี่ก่อนสักครู่ บอกว่าเขาจะถามเรื่องบางอย่างกับถัวเหยียนฮูหยินสักหน่อย

เซียนกระบี่สองท่านจึงออกไปจากศาลา

ถัวเหยียนฮูหยินร้องเอ๊ะหนึ่งที แล้วกวาดตามองไปรอบด้าน “ใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่คิดว่าจะเก็บซ่อนฝีมือได้ลึกล้ำเพียงนี้ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปีก็กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วหรือ? วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มนี้ยังหาได้ยากถึงเพียงนี้อีกด้วย”

ยามที่ไม่มีลู่จืออยู่ข้างกาย ท่าทีของนางแตกต่างราวฟ้ากับเหว

เฉินผิงอันไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ถามว่า “ปีนั้นเจียงเหิงแห่งสำนักกุยหยกมาเยือนภูเขาห้อยหัวครั้งหนึ่ง มาเข้าพักที่สวนดอกเหมย บุตรชายคนโตของสกุลเจียงผู้นี้ต้องการอะไร?”

ถัวเหยียนฮูหยินย้อนถาม “เหตุใดไม่ถามถึงเรื่องเกาะกุ้ยฮวานครมังกรเฒ่าโดยตรงเลยล่ะ? เพราะตัดใจถามไม่ลงแต่จะไม่ถามก็ไม่ได้ หรือไม่คิดจะถาม เพราะไม่กล้าถาม?”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามมาก”

ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มเอ่ยอีกว่า “ขอถามใต้เท้าอิ่นกวาน หากตอนนี้ไปเยือนเกาะกุ้ยฮวา ไม่ทราบว่าจะเรียกสตรีผู้นั้นว่าท่านน้ากุ้ย หรือกุ้ยฮูหยินล่ะ?”

เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถาม “วันหน้าเจ้าติดตามอยู่ข้างกายลู่จือก็จงคิดพิจารณาเผื่อนางให้มาก ผู้ฝึกกระบี่ฝึกฝนจิตใจได้บริสุทธิ์เกินไป แต่หากไม่มีจิตแห่งกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ ลู่จือก็ไม่มีทางเป็นลู่จืออย่างในทุกวันนี้ เพียงแต่ว่าวันหน้าเมื่อนางไปเยือนใต้หล้าไพศาลก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสมปรารถนาราบรื่นไปเสียทุกเรื่อง”

ดวงตาของถัวเหยียนฮูหยินเป็นประกายวาบ “ข้าไม่ต้องอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ตลอดเวลาหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ในอนาคตเจ้าจะต้องไปเยือนทักษินาตยทวีปเป็นเพื่อนลู่จือ”

ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อไม่เพียงแต่ได้มีชีวิตอยู่ต่อ ยังไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอีกด้วย ถ้าอย่างนั้นถามอะไรข้าก็จะตอบทุกเรื่องที่รู้ให้หมด พูดถึงเจียงเหิงนั่นก่อน เขาเป็นคนที่มีปณิธานยิ่งใหญ่แต่ความสามารถห่างไกลอย่างแท้จริง ห่างชั้นกว่าเปียนจิ้งไปหนึ่งแสนแปดพันลี้ แรกเริ่มสุดเจียงเหิงหมายตาเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่าน กุ้ยฮูหยินไม่ได้ตอบตกลง จึงเกิดใจเพ้อฝัน หมายจะมาโน้มน้าวสวนดอกเหมยของข้าให้ช่วยเหลือสำนักกุยหยกบุกเบิกเส้นทางเรือสายใหม่ ท่าเรือที่ใช้เปลี่ยนถ่ายระหว่างทางก็คือเกาะหลูฮวาที่ผู้ฝึกลมปราณมีอาชีพเก็บไข่มุก”

เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงไม่ใช่สำนักอวี่หลง?”

ถัวเหยียนฮูหยินชำเลืองตามอง “ใต้เท้าอิ่นกวานไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งทำเป็นเลอะเลือนกันแน่?”

เฉินผิงอันกล่าว “เชิญเล่า”

ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มกล่าว “สำนักอวี่หลงมีบรรพจารย์หญิงอยู่คนหนึ่ง ในอดีตเคยเดินทางท่องเที่ยวผ่านใบถงทวีป แต่กลับถูกเจียงซ่างเจินผู้นั้นทำร้ายจิตใจจนแหลกสลาย จึงย้อนกลับคืนมายังสำนักอวี่หลงด้วยสภาพที่ขอบเขตถดถอย ตัวอ่อนขอบเขตเซียนเหรินดีๆ คนหนึ่ง วันนี้หลังจากผ่านเวลาไปหลายร้อยปีกลับเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้อย่างถูไถ เจียงเหิงผู้นั้นคือบุตรชายของเจียงซ่างเจิน เขาจะกล้าไปรนหาที่ตายที่สำนักอวี่หลงหรือ? แต่วันนี้ไม่เหมือนในอดีต เวลานี้หากเจียงเหิงไปเยือนสำนักอวี่หลงอีกครั้ง ต่อให้จะไปเพื่อรนหาที่ตาย ก็ยากที่จะตายได้แล้ว”

เฉินผิงอันนั่งบนม้านั่งยาว นวดคลึงหว่างคิ้ว

มารดามันเถอะ ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจียงซ่างเจินก็ล้วนเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้คนสับสนมึนงงยิ่งนัก

ใต้หล้านี้จะมีผู้ถวายงานสักกี่คนที่เป็นฝ่ายขึ้นเขาเอาเงินมามอบให้ภูเขาไว้เป็นค่าใช้จ่าย?

แต่เรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่ที่สุดก็ยังคงเป็นเรื่องที่ว่า ทุกวันนี้เจียงซ่างเจินได้กลายเป็นเจ้าสำนักกุยหยกแล้ว!

สวินยวนคนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ที่เจียงซ่างเจินมีทุกอย่างในวันนี้ได้ ล้วนเป็นคุณความชอบของสวินยวนทั้งสิ้น

หากไม่พูดถึงบุญคุณความแค้นส่วนตัว พูดถึงแค่เรื่องการเป็นเจ้าสำนัก ในสายตาของเฉินผิงอัน สวินยวนก็คือคนที่เป็นเจ้าสำนักได้อย่างร้ายกาจที่สุด

ปีนั้นเรื่องที่สวินยวนวางแผนเล่นงานตน จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังหวาดผวาไม่คลาย

ถัวเหยียนฮูหยินนับนิ้วทำมุทรา ในศาลาก็ปรากฎเนื้อหนังมังสาของผู้เฒ่าคนหนึ่ง แล้วก็ถูกเฉินผิงอันเก็บไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อเช่นกัน

จากนั้นการตอบการถามในศาลาก็ไม่อืดอาดชักช้าแม้แต่น้อย

สุดท้ายคนทั้งกลุ่มก็พากันออกไปจากสวนดอกเหมย

ก่อนหน้านี้หากอิงตามความลับสวรรค์ที่ถัวเหยียนฮูหยินเป็นผู้เปิดเผย สวนดอกเหมยมีเท้าให้วิ่งหนีไปได้จริงๆ เพียงแต่ว่าตอนนี้จะวิ่งหนีไปที่ไหนได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ถัวเหยียนฮูหยินยังติดตามอยู่ข้างกายของลู่จือด้วย

ลู่จือพานางตรงไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

ทางทิศใต้ของนคร ลู่จือมีเรือนพักส่วนตัวอยู่แห่งหนึ่ง ถัวเหยียนฮูหยินจึงไปพักอยู่ที่นั่นชั่วคราว

ส่วนเฉินผิงอันกับโฉวเหมียวก็ไปที่เรือนชุนฟานด้วยกัน ถัวเหยียนฮูหยินรับปากว่าจะบันทึกสิ่งของล้ำค่าทั้งหมดของสวนดอกเหมยลงในสมุด และสมุดเล่มนี้ก็น่าจะค่อนข้างหนา ถึงเวลานั้นจะส่งไปที่คฤหาสน์หลบร้อน

เจ้าของสวนดอกเหมยในนามก็เป็นแค่หุ่นเชิดที่ถัวเหยียนฮูหยินประคับประคองขึ้นมากับมือตัวเองเท่านั้น

เรื่องราววกวนอ้อมค้อมมากมายในนี้ หากถัวเหยียนฮูหยินเต็มใจเล่าให้ฟัง อีกทั้งใต้เท้าอิ่นกวานก็มีอารมณ์ยินดีจะจดบันทึก คาดว่าคงสามารถเอามาเรียบเรียงเป็นนิยายแปลกพิสดารที่มีจุดหักมุมร้อยพันตลบได้เล่มหนึ่งเลยทีเดียว

เฉินผิงอันไปถึงเรือนชุนฟาน พวกหมี่อวี้สามคนต่างก็พากันไปพูดคุยธุระที่ห้องโถงใหญ่ เส้าอวิ๋นเหยียนจะมาถึงภูเขาห้อยหัวช้ากว่าลู่จือ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

ไม่ใช่ว่าเซียนกระบี่เส้าไม่อยากกลับมาพร้อมลู่จือ แต่เป็นเพราะขี่กระบี่ตามลู่จือไม่ทันจริงๆ

เพื่อให้เดินทางได้อย่างรวดเร็วโดยไม่โดยสารเรือข้ามฟาก คิดจะขี่กระบี่จากฝูเหยาทวีปมาถึงภูเขาห้อยหัว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

คืนนี้ผู้ดูแลเรือข้ามฟากสิบสองลำมาคุยธุระที่เรือนชุนฟาน ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับแผ่นหยกชิ้นหนึ่งไปครอง แต่ขอแค่ไม่ใช่คนที่สนิมสนมกันถึงขั้นนั้น พวกเจ้าของเรือที่เห็นความชั่วร้ายในยุทธภพมาจนเคยชินเหล่านี้ หากได้ป้ายหยกไปก็ไม่มีทางเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังง่ายๆ ส่วนคนที่ไม่ได้ป้ายหยกมา คาดว่าก็คงนึกอยากจะให้คนอื่นเข้าใจว่าตัวเองมีป้ายหยกเก็บไว้ในกระเป๋าแล้ว