บทที่ 640.2 หนึ่งคนพึมพำ กลุ่มขุนเขาขานรับ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันไม่ได้ไปที่ห้องโถงใหญ่ แต่ไปหาเหวยเหวินหลงที่ห้องบัญชี

โฉวเหมียวไม่อยากจะไปเผชิญหน้ากับสมุดบัญชีกองโตอีกแล้ว ตอนอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน โฉวเหมียวก็ต้องเปิดสมุดบัญชีไม่น้อยเหมือนกัน หากพูดตามคำกล่าวของเฉากุ่นก็คือ ขอแค่ข้าผู้อาวุโสออกไปจากคฤหาสน์หลบร้อนได้ ชีวิตนี้ก็ไม่อยากอ่านบัญชีอีกแม้แต่หน้าเดียวแล้ว

แต่เฉินผิงอันกลับลากเอาโฉวเหมียวไปที่นั่นด้วย

เหวยเหวินหลงเห็นใต้เท้าอิ่นกวานหนุ่มกับเซียนกระบี่โฉวเหมียวก็ยิ่งหวาดหวั่นกริ่งเกรง

เหวยเหวินหลงย้ายหนังสือเบ็ดเตล็ดส่วนหนึ่งมาไว้ทางด้านนี้ เฉินผิงอันหยิบขึ้นมาหนึ่งเล่ม พลิกเปิดอ่านดูก็ต้องตกตะลึงระคนดีใจ ผู้เชี่ยวชาญแค่ยื่นมือออกไปก็รู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ร้ายกาจแค่ไหน หากเหวยเหวินหลงผู้นี้เป็นชั้นวางดอกไม้ชั้นหนึ่ง เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถกินสมุดที่ถืออยู่ในมือเล่มนี้ลงไปได้แล้ว

เพราะ ‘หนังสือเบ็ดเตล็ด’ ที่เหวยเหวินหลงเขียนขึ้นเพื่อฆ่าเวลาพวกนี้กลับเป็นเอกสารคดีลับของกรมครัวเรือนอดีตราชวงศ์สกุลหลูของแจกันสมบัติทวีป นี่ก็น่าจะเป็นคุณความชอบของเรือข้ามทวีปแห่งนครมังกรเฒ่า

เหวยเหวินหลงกระวนกระวายเล็กน้อย เขาแข็งใจอธิบายเสียงเบาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ก็แค่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ไม่จำเป็นต้องคิดบัญชี ข้าก็เลยอ่านบันทึกของกรมครัวเรือนของราชวงศ์ที่ล่มสลายไปแล้วของทวีปใหญ่แต่ละแห่ง ราคาไม่แพง ล้วนซื้อมาเป็นกระสอบ เมื่อเทียบกับของที่ค่อนข้างล้ำค่าพวกนั้นแล้วก็จ่ายเงินไปแค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น อีกอย่างอาศัยหน้าตาของอาจารย์ข้า เรือข้ามทวีปหกลำของนครมังกรเฒ่าต่างก็เกรงใจกันมาก จึงเหมือนซื้อครึ่งแถมครึ่ง”

เฉินผิงอันตบไหล่เหวยเหวินหลง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ได้เจอยอดฝีมือแล้ว!”

เหวยเหวินหลงตัวเซ แต่อันที่จริงเป็นเพราะตกใจซะมากกว่า

เหวยเหวินหลงยิ้มอย่างฝืนเฝื่อน ในใจกระวนกระวาย ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าอิ่นกวานเซียนกระบี่ใหญ่ แรงมือช่างน่ากลัวนัก

เฉินผิงอันยกเก้าอี้ขยับมานั่งใกล้เหวยเหวินหลง แล้วเริ่มสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์การเก็บภาษีในแต่ละปีของราชวงศ์ต้าหลี

เหวยเหวินหลงตอบได้อย่างลื่นไหล ยังพูดถึงอุบายเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างของขุนนางกรมครัวเรือนในอดีตด้วย แต่เขาก็บอกว่าช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมาภาษีของกรมครัวเรือนราชวงศ์ต้าหลี แต่ละปีเหมือนมีเมฆหมอกบดบังหนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่สำหรับราชวงศ์ใหญ่เช่นนี้แล้ว การเคลื่อนที่ของตัวเลขบนสมุดบัญชีล้วนเป็นเรื่องเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ ประเด็นสำคัญคือยังต้องดูที่สมุดบัญชีขุนเขาสายน้ำที่เป็นเอกสารลับซึ่งจะเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดมากกว่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงป๋ายอวี้จิงจำลองในเมืองหลวงต้าหลี ลำพังเพียงแค่เรือข้ามทวีปขุนเขากับเรือกระบี่ที่อาจารย์กลไกสำนักโม่สร้างขึ้นให้ต้าหลี นั่นจำเป็นต้องผลาญเงินเทพเซียนไปกี่มากน้อย? เหวยเหวินหลงเดาว่านอกจากสำนักโม่แล้ว จะต้องยังมีสำนักการค้าที่ช่วยประคับประคองการหมุนเวียนด้านทรัพย์สินเงินทองให้กับต้าหลีอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ไม่อย่างนั้นนับตั้งแต่เงินเทพเซียนบนภูเขาไปจนถึงเงินทองเหรียญทองแดงล่างภูเขา ป่านนี้ก็ควรแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีไปนานแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเหวยเหวินหลงสามารถจัดการเรื่องภาษีได้อย่างแท้จริง นี่ก็แสดงว่าเขาจะต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ชุดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับมัน

เฉินผิงอันโยนคำถามเปิดประเด็นที่เล็กมาก ก็เพื่อให้เหวยเหวินหลงได้พูดออกมาอย่างเต็มที่

พอพูดถึงเรื่องเงินทอง เหวยเหวินหลงก็กลายเป็นเหวยเหวินหลงอีกคนไปเลย

เข้าใจระเบียบขั้นตอน คุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ ชำนาญการคิดคำนวณ

เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างยิ่ง

ความรู้วิชานี้ช่างล้ำค่าจริงๆ

เป็นครั้งแรกที่เซียนกระบี่โฉวเหมียวได้เห็นอิ่นกวานหนุ่มมีสีหน้าสดชื่นชนาดนี้

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “คุณธรรมของคนทำการค้าต้องมีสูงส่งมีคุณภาพ ทุนทรัพย์ของคนทำการค้าต้องไหลคล่องดุจสายน้ำ”

เหวยเหวินหลงอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ไยจึงต้องมีวิถีแห่งการปกครองบ้านเมือง?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ราคาธัญพืชสูงเกินพ่อค้าย่อมไม่ได้กำไร ราคาธัญพืชมั่นคง สามารถนำของอย่างอื่นมาแลกเปลี่ยนได้ ภาษีของการซื้อขายในตลาดจึงจะรุ่งโรจน์ไม่ซบเซา”

เหวยเหวินหลงถามอีก “วัตถุประสงค์คืออะไร?”

เฉินผิงอันตอบ “เงินทองจะได้ไหลสะพัดดุจสายน้ำ!”

เหวยเหวินหลงยิ้มกล่าวอย่างอดไม่อยู่ สองมือกดลงบนโต๊ะ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “สหายบนเส้นทางการฝึกตน สมกับเป็นสหายบนเส้นทางการฝึกตนจริงๆ!”

จากนั้นเหวยเหวินหลงก็พลันรู้สึกกระอักกระอ่วน ดึงมือกลับมาอย่างขลาดๆ พยายามเก็บสีหน้าให้ตัวเองดูสำรวม เอ่ยเบาๆ ว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ล่วงเกินท่านแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ล่วงเกินกับท่านปู่เจ้าน่ะสิ วันหน้าก็เรียกข้าว่าสหายเฉินนั่นแหละ! จะเรียกว่าพี่ชายคนดีก็ได้”

โฉวเหมียวอดไม่ไหวถามว่า “พวกเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องความรู้ของวิชาสำนักการค้ากันอยู่หรือ?”

เฉินผิงอันโบกมือ “เกี่ยวข้องอยู่มาก แต่จะเอามาพูดรวมกันไม่ได้เด็ดขาด”

เหวยเหวินหลงชำเลืองตามองเซียนกระบี่โฉวเหมียวที่นั่งเฉยราวกับหุ่นไม้ แล้วเกือบอดไม่ไหวกลอกตามองบนใส่อีกฝ่าย แค่เปิดปากพูดก็รู้แล้วว่าเป็นคนนอกสาขาวิชา ไม่เชี่ยวชาญจนเข้าขั้นเลอะเลือน เหอะ เป็นเซียนกระบี่เสียเปล่า

มิน่าเล่าถึงเป็นใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้

เฉินผิงอันมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ทิ้งเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มกล่าว่า “ยินดีต้อนรับเจ้าไปเป็นแขกที่คฤหาสน์หลบร้อนของพวกเราในวันหน้า หากยินดีไปอยู่ยาวก็ยิ่งดี ข้าจะช่วยหาเรือนว่างหลังหนึ่งให้เจ้า แต่อันดับแรกก็ต้องรอให้เรื่องของการค้ากับเรือแปดทวีปเริ่มเข้ารูปเข้ารอยเสียก่อน ไม่อย่างนั้นอาจถ่วงงานสำคัญ ไม่รีบร้อนๆ ข้ากลับคฤหาสน์หลบร้อนไปแล้วจะช่วยทำความสะอาดเรือนเดี่ยวให้เจ้าเอาไว้ก่อน”

เหวยเหวินหลงลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าอิ่นกวาน อย่าลำบากท่านเลย อย่าเลย”

เฉินผิงอันโบกมือ “ตกลงตามนี้”

แล้วก็ออกจากห้องไป เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาว เฉินผิงอันจึงถูมือเข้าหากันให้อบอุ่นด้วยความเคยชิน

เซียนกระบี่โฉวเหมียวยิ้มกล่าว “อารมณ์ไม่เลวหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “อารมณ์ดีมากเลยล่ะ”

หากมีโอกาส ในอนาคตจะต้องหลอกเอาตัวเหวยเหวินหลงไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วให้ได้

สามารถมอบพื้นที่มงคลรากบัวแห่งนั้นให้เหวยเหวินหลงได้ซ้อมมือ

เซียนกระบี่โฉวเหมียวมองอิ่นกวานหนุ่มที่หัวเราะอย่างโง่งม แล้วยิ้มถามว่า “เหวยเหวินหลงผู้นี้ร้ายกาจมากขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เอาเรือนชุนฟานทั้งหลังมาแลกกับข้า ข้ายังไม่แลกด้วยเลย”

โฉวเหมียวถาม “แล้วถ้าบวกกับสวนดอกเหมยเข้าไปด้วยล่ะ?”

เฉินผิงอันบ่น “เซียนกระบี่ใหญ่โฉวเหมียว พูดคุยกันแบบนี้มันน่าเบื่อมากเลยนะ”

โฉวเหมียวพลันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สายอิ่นกวานวางแผนมากมายขนาดนี้ ประสิทธิผลนั้นมีอยู่ และสามารถยืดเวลาไปได้อีกครึ่งปี หากเรื่องของการค้าเรือข้ามฟากแปดทวีปไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่ใดๆ เกิดขึ้น ก็น่าจะมีเวลาเพิ่มมาอีกหนึ่งปี เพราะฉะนั้นยังขาดอีกหนึ่งปีครึ่ง”

โฉวเหมียวสามารถถูกมองเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหรือหนึ่งในตัวเลือกของผู้รับตำแหน่งใต้เท้าอิ่นกวานคนถัดไปได้ ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

เฉินผิงอันสบถด่ามารดาไปคำหนึ่ง

โฉวเหมียวยิ้มถาม “ด่าใครน่ะ?”

เฉินผิงอันตอบ “ไม่ได้ด่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็แล้วกัน”

โฉวเหมียวยิ้มบางๆ “แนะนำใต้เท้าอิ่นกวานว่าอย่ามองข้าเป็นเซียนกระบี่ใหญ่หมี่อวี้ดีกว่า”

เฉินผิงอันเอ่ย “ห้ามให้มีครั้งต่อไป เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามก็ได้”

โฉวเหมียวกล่าว “เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าสายตาสุดท้ายที่เหวยเหวินหลงมองข้าจะไม่ค่อยปกตินัก”

เฉินผิงอันเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร เหวยเหวินหลงมองเจ้าด้วยสายตาของความเคารพเลื่อมใส ขาดก็แค่ไม่ได้มองเซียนกระบี่ใหญ่โฉวเหมียวเป็นโฉมสะคราญก็เท่านั้น”

โฉวเหมียวยิ้มถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน เจ้าอยากกลับคฤหาสน์หลบร้อนด้วยใบหน้าปูดๆ จมูกเขียวๆ หรืออยากให้เหวยเหวินหลงถูกข้าฟันร่อแร่ใกล้ตายล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม”

ก่อนจะกลายเป็นอิ่นกวานคนใหม่

ตอนอยู่ที่กระท่อมหลังนั้น เฉินผิงอันเคยพูดคุยกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสครั้งหนึ่ง

‘เจ้าเป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ขอแค่สามารถถ่วงเวลาให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้สามปี ก็เพียงพอแล้ว’

‘แค่?’

‘ไม่อย่างนั้นจะให้เจ้าช่วยถ่วงเวลาไปสามสิบปีงั้นหรือ? หากเจ้าคิดว่าทำได้ก็ตอบตกลงเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ข้าจะได้ช่วยไปเจรจาสู่ขอที่จวนหนิง จวนเหยาให้เจ้า’

‘ตกลง ไม่มีปัญหา’

‘ไสหัวไป’

……

หลังจากที่จากลากับพี่หญิงเป่าผิงที่สำนักศึกษาซานหยา เผยเฉียนกับชุยตงซานก็ออกมาจากเมืองหลวงต้าสุยด้วยกัน

เดินขึ้นเขาลงห้วยกันมาตลอดทาง ในขณะที่กำลังจะเดินไปถึงชายแดนแคว้นหวงถิงแคว้นใต้อาณัติต้าสุยในอดีต หากเอ่ยตามคำกล่าวของห่านขาวใหญ่ก็คือ ‘สบายอารมณ์ สบายอารมณ์ คล้อยตามมหามรรคา’

ตลอดทางมานี้เผยเฉียนที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก นอกจากจะคัดตัวอักษรทุกวันไม่เคยขาดแล้ว ก็ยังร่ายวิชากระบี่มารคลั่งชุดนั้น จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้ให้ชุยตงซานมาก่อน

หรือไม่อย่างนั้นก็นั่งเหม่อมองเส้นด้ายสีทองกลุ่มนั้น นั่นคือปณิธานกระบี่บริสุทธิ์หลายเส้นที่รวมตัวกันอยู่ซึ่งเซียนกระบี่หญิงโล้ชิงช้าบนกำแพงเมืองปราณกระบี่นามว่าโจวเฉิงมอบให้เผยเฉียน

เผยเฉียนถามห่านขาวใหญ่อยู่หลายครั้งว่าเจ้าของสิ่งนี้กินไม่ได้จริงๆ หรือ? พี่หญิงเป่าผิงกับหลี่ไหวต่างก็ชอบบอกว่าในนิยายยุทธภพ มักจะเล่าว่าหากกินสมบัติที่พวกผู้อาวุโสมอบให้จะช่วยเพิ่มกำลังภายในได้

ชุยตงซานบอกว่ากินไม่ได้จริงๆ กินแล้วก็รอให้ท้องแตกไส้ฉีกทะลักพลั่กๆ ออกมาได้เลย เอาสองมือกุมไว้ก็ยังกุมไม่อยู่ หรือจะเอาไปใส่ไว้ในหีบหนังสือใบเล็ก? แบบนั้นคงน่าสยดสยองแย่

วันนี้คนทั้งสองอยู่ริมลำคลอง ชุยตงซานกำลังตกปลา เผยเฉียนนั่งคัดตัวหนังสืออยู่ด้านข้าง เอาหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาตั้งแทนโต๊ะตัวเล็ก

เป็นหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่ชุยตงซานถักขึ้นด้วยตัวเอง เผยเฉียนฝืนใจรับไว้ นางค่อนข้างจะรังเกียจ แล้วนางก็ไม่ได้บอกไปตรงๆ ว่าตัวเองรู้สึกว่าสีสันของมันไม่ถูกต้อง แค่ถามชุยตงซานว่ารู้หรือเปล่าว่าอะไรที่เรียกว่า ‘เขียวสดปลั่งราวกับจะเค้นน้ำได้’

ชุยตงซานเองก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินการบอกเป็นนัยหลายต่อหลายครั้งนั้น

ชุยตงซานตกปลาไปพลางพร่ำพูดถึงวิชาความรู้สวยแต่เปลือกที่เผยเฉียนฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

อะไรที่บอกว่าเส้นทางการคัดตัวอักษร วิชาคัดลอกสำเนาแบบโบราณ เหมือนผีที่ดื่มด่ำกับเครื่องเซ่น แต่แค่สูดกลิ่นอายเท่านั้น ไม่ได้กินอาหารที่คนนำมาเซ่นไหว้ ทำตามเป็นแบบอย่าง ถือเป็นการข้ามธรณีประตูอย่างหนึ่ง

อะไรที่บอกว่ายามเด็กน้อยจับพู่กันเล่าเรียน มีข้อเรียกร้องให้เขียนเว้นระยะห่างเหมาะสม สะอาดสะอ้าน ยามอ่านจึงงดงามสบายตา จำไว้ว่าฝึกหัดเขียนให้มาก หากไม่ขาดช่วงย่อมดีเยี่ยมที่สุด

และยังมีอะไรที่บอกว่าอักษรบรรจงแบบเล็ก แม้จะเล็กบางแต่กลับอุดมสมบูรณ์

เวลาที่เผยเฉียนคัดตัวอักษรจะตั้งใจอย่างมาก เวลาที่หยุดเขียนก็ไม่ชอบฟังห่านขาวใหญ่พูดจาเหลวไหล

ตัวอักษรของเจ้าห่านขาวใหญ่สู้อาจารย์พ่อได้หรือ? เจ้าเคยเห็นอาจารย์พ่อพูดมาชวนหนวกหูแบบนี้หรือไร? เจ้าโอ้อวดไม่เลิกราแบบนี้เพราะคิดจะรังแกข้าที่ยังคัดตัวอักษรมาได้ไม่เยอะใช่ไหม?

ชุยตงซานหันหน้ามามองศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่พอได้คัดตัวอักษรก็มีสมาธิมั่นคงไม่วอกแวก แล้วก็คลี่ยิ้ม

ตัวอักษรของตนใช้ได้หรือไม่? เข้าขั้นหรือไม่? เทียบตัวอักษรน้ำหนักสามตำลึงขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งขายออกไปได้เงินฝนธัญพืชกี่เหรียญ แค่นี้ก็รู้ได้แล้ว

น่าเสียดายที่เรื่องพวกนี้พูดบอกได้ไม่ง่าย ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่คงจะต้องขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่มาทำเป็นหีบไม้ไผ่ใบใหญ่เจ็ดแปดหีบทันที แล้วสั่งให้เขาเขียนให้เต็ม ใส่ให้เต็มหีบ ทำไม่เสร็จก็ห้ามไปไหน

นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ว่าจับพู่กันเขียนตัวอักษรแล้วจะเรียกว่าเทียบตัวอักษรได้ทุกครั้ง

คัดตัวอักษรเสร็จ เผยเฉียนก็นั่งอยู่บนพื้น เอนหลังพิงหีบไม้ไผ่ใบเล็ก รอคอยให้ปลามาติดเบ็ดเงียบๆ เรื่องของการตุ๋นปลานี้ นางได้รับการถ่ายทอดฝีมือมาจากอาจารย์พ่อโดยตรงเลย

ชุยตงซานพลันถามเผยเฉียนว่าอยากออกไปท่องยุทธภพเพียงลำพัง เดินทางกลับภูเขาลั่วพั่วที่เป็นบ้านเกิดคนเดียวหรือไม่

แน่นอนว่าเผยเฉียนไม่กล้า สมองของห่านขาวใหญ่คงไม่ได้ถูกไม้เท้าเดินป่าตีจนโง่ไปแล้วกระมัง? ถามคำถามเช่นนี้ ช่างทำลายบรรยากาศนัก

เผยเฉียนพูดติดๆ กันว่า ไม่ได้ๆ ต้องรอให้อาจารย์พ่ออนุญาตเสียก่อน ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างนางถึงจะลงมาจากภูเขาเพียงลำพังได้ นอกจากนี้ยังต้องมีลาน้อยตัวหนึ่งเป็นเพื่อนคู่กาย ออกท่องขุนเขาสายน้ำไปด้วยกัน

ชุยตงซานเอ่ยว่าหากเดินไปข้างหน้าอีกหน่อย แม่น้ำอวี้เจียงของแคว้นหวงถิงสายนั้นก็คือสถานที่ที่เฉินหลิงจวินลุกผงาด และยังมือหอจือหลันของสกุลเฉาที่ยิ่งเป็นเหมือนบ้านเกิดครึ่งหนึ่งของแม่หนูหน่วนซู่ จะไม่ไปดูสักหน่อยจริงๆ หรือ?

เผยเฉียนสะพายหีบไม้ไผ่ให้เรียบร้อย แล้วลุกขึ้นยืน เริ่มเดินเล่นอยู่รอบกายห่านขาวใหญ่ มือหนึ่งจับเชือกของหีบไม้ไผ่ใบเล็ก อีกมือหนึ่งกำไม้เท้าเดินป่าแน่น “พูดจาเหลวไหลอะไรมากมาย ท่องเที่ยวเป็นเรื่องเล็ก รีบกลับบ้านเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีข้าคอยจับตาดูที่นั่น ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวเฒ่าจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ อีกอย่างกิจการของร้านยาสุ้ย หากไม่มีข้าช่วยดู พี่หญิงสือโหรวน่ะชอบแอบซื้อเครื่องประทินโฉมกลับมานัก หากนางเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของส่วนตน จะทำอย่างไร”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “สือโหรวซื้อเครื่องประทินโฉมพวกนั้น? ทำไม เอามาทาไว้บนหน้า ทำให้คนตกใจตายก่อน แล้วค่อยทำให้ผีตกใจอีกทีอย่างนั้นหรือ?”

เผยเฉียนขมวดคิ้ว “ห่านขาวใหญ่ ไม่อนุญาตให้เจ้าพูดถึงพี่หญิงสือโหรวแบบนี้นะ กว่าจะซื้อเครื่องประทินโฉมมาได้ แล้วยังต้องเก็บซ่อนเอาไว้ให้ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าเห็นเข้า ด้วยกลัวว่าข้าจะหัวเราะเยาะนาง…”

ชุยตงซานหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าหัวเราะนางแล้วหรือยัง?”

เผยเฉียนขึงใบหน้าให้ตึง กลั้นรอยยิ้ม

ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์ไม่ได้อยู่ด้วยสักหน่อย”

เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ตอนนั้นข้าอายุยังน้อย ตัวก็เล็ก ไม่ค่อยรู้ความเท่าไร ข้าก็เลยหัวเราะเกือบตาย หัวเราะจนท้องข้าปวดไปหมด เกือบจะตบให้โต๊ะคิดเงินเป็นรูหลายรูเลย”

แต่ไม่นานเผยเฉียนก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกว่า “แต่ข้าก็แค่หัวเราะเท่านั้น ไม่ได้พูดจาร้ายกาจแม้แต่คำเดียว คำเดียวก็ไม่มี ฟ้าดินเป็นพยานได้!”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คงจะเอาแต่หัวเราะจนพูดไม่ออกมากกว่ากระมัง?”

เผยเฉียนตบป้าบเข้าที่หัวของชุยตงซาน ยิ้มหน้าบานว่า “ยังคงเป็นศิษย์พี่เล็กที่เข้าใจข้า! เจ้านี่ฉลาดจริงๆ ตกปลามาให้ได้ เอามันมาตุ๋นหม้อใหญ่ กินดื่มอิ่มหนำแล้วพวกเราสองคนยังต้องออกเดินทางกันอีก”

แต่แล้วเผยเฉียนก็รู้สึกเสียใจนิดๆ “พี่หญิงสือโหรวน่าสงสารมากเลยนะ วันหน้าเจ้าห้ามรังแกนางอีก เรื่องของการใช้เหตุผลนี่นะ ต้องเรียนรู้จากอาจารย์พ่อ พูดคุยกันดีๆ สิ พี่หญิงสือโหรวไม่ได้โง่สักหน่อย นางต้องฟังเข้าหูแน่ แน่นอนว่าข้าพูดอย่างนี้ไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย…”

เผยเฉียนเอ่ยเสียงเบา “ศิษย์พี่เล็กกับอาจารย์พ่อต่างก็เป็นคนที่ต้องคิดให้มากๆ ก่อนแล้วค่อยลงมือทำ แต่ข้ากลับไม่คิดอะไรมากขนาดนั้นหรอกนะ ขนาดตัวอักษรยังคัดได้ไม่มากเท่าเลยนี่นา”