บทที่ 640.3 หนึ่งคนพึมพำ กลุ่มขุนเขาขานรับ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานจ้องมองผิวน้ำ ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ จุ๊ปากเอ่ย “ตอนที่อาจารย์ยังอายุน้อยกว่าเจ้า เขาก็กล้าเดินทางออกจากต้าสุยกลับบ้านเกิดคนเดียวแล้ว”

เผยเฉียนกล่าวอย่างสงสัย “ลูกศิษย์สู้อาจารย์ไม่ได้ มีอะไรให้ต้องประหลาดใจหรือ?”

ชุยตงซานเอ่ย “ลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้ นี่เป็นคำสอนในตำราของอริยะ”

เผยเฉียนเบ้ปาก “ข้าฟังแค่อาจารย์พ่อคนเดียว”

ชุยตงซานกล่าวอย่างจนใจ “ข้ามีธุระเร่งด่วนจริงๆ จะต้องรีบไปที่เมืองหลวงต้าหลีก่อน รีบแบบที่ว่าขนาดนั่งเรือข้ามฟากยังรังเกียจว่าช้าเกินไป หากถ่วงเวลาช้าไปกว่านี้ คาดว่าครั้งหน้าที่ได้พบหน้าศิษย์พี่หญิงใหญ่คงยากมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นวันเดือนปีไหนแล้ว”

เผยเฉียนคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ก็ได้ หากขอร้องข้าอย่างน่าสงสารแบบนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ ไปเถอะ ข้าเดินกลับภูเขาลั่วพั่วคนเดียวได้ เรื่องเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเอง!”

นางหยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ไม่ได้แปะไว้บนหน้าผากทันที แต่เก็บซ่อนไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

นางเคยเดินทางข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำกับอาจารย์พ่อมาก่อน ถ้าอย่างนั้นช่วงเวลาที่ยันต์แผ่นนี้อยู่เคียงข้างนางมาก็ยาวนานพอๆ กัน

มีมันอยู่ด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็ไม่กลัว

ชุยตงซานยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าไปจริงๆ แล้วนะ?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างหงุดหงิด “พูดจาไร้สาระอะไรมากมาย! เจ้าคิดว่าวิชากระบี่มารคลั่งชุดนั้นของข้ากินหญ้างั้นหรือ?”

ชุยตงซานทอดถอนใจหนึ่งที “ช่างเถิดๆ เดินไปเป็นเพื่อนศิษย์พี่หญิงใหญ่อีกระยะทางหนึ่งดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากวันหน้าอาจารย์รู้เข้าต้องตำหนิข้าแน่”

เผยเฉียนยืนอยู่ข้างกายห่านขาวใหญ่ เอ่ยว่า “ไปเถอะๆ ไม่ต้องสนใจข้า ขนาดกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายขนาดนั้นข้ายังไม่กลัว จะยังกลัวแคว้นหวงถิงแห่งเดียวอีกหรือ?”

ชุยตงซานเก็บคันเบ็ดตกปลา

“จะไปส่งเจ้าอีกนิด เห็นหน้าผาหินตรงนั้นไหม ไปส่งเจ้าตรงนั้นก็แล้วกัน”

เผยเฉียนเดินเลียบลำคลองไปกับชุยตงซาน พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ห่านขาวใหญ่ จะพูดความในใจให้เจ้าฟังดีไหม?”

“ได้สิ”

“อันที่จริงอาจารย์พ่อกังวลว่าวันหน้าข้าจะไม่รู้ความ เรื่องนี้ข้าก็เข้าใจนะ แต่อาจารย์พ่อยังกังวลว่าวันหน้าข้าจะเหมือนเขา ข้ากลับไม่เข้าใจเท่าไรแล้วล่ะ เหมือนอาจารย์พ่อไม่ดีตรงไหนเล่า?”

“แล้วทำไมถึงไม่พูดกับอาจารย์พ่อไปตรงๆ ล่ะ?”

“เดิมทีอาจารย์พ่อก็เป็นกังวลอยู่แล้ว หากข้ายังพูดแบบนี้อีก อาจารย์พ่อคงจะยิ่งกังวลมากกว่าเดิม อาจารย์พ่อกังวลมากกว่าเดิม ข้าก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก อาจารย์พ่อที่ชอบลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างข้ามากที่สุดก็จะกังวลตามไปอีกๆๆ จากนั้นข้าก็ต้องกังวลเพิ่มอีกๆๆๆ …”

ชุยตงซานมองไปยังขุนเขาเขียวที่อยู่ห่างไกล แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จิตใจใสกระจ่าง ยังยิ้มที่เห็นก้อนเมฆขาวมากมาย รอคอยให้สายฝนพัดมาจากภูเขา”

เผยเฉียนขมวดคิ้ว “แอบหัวเราะเยาะข้าแบบอ้อมๆ หรือ?”

“กำลังชมเจ้าต่างหากล่ะ”

“ฟ้าดินเป็นพยาน?”

“ฟ้าดินเป็นพยาน!”

สุดท้ายเผยเฉียนหยุดเดิน พูดเสียงหนักว่า “ศิษย์พี่เล็ก เดินทางปลอดภัย!”

ชุยตงซานพยักหน้ารับพลางยิ้มน้อยๆ “หากไม่ได้พบเจอกับอาจารย์ ข้าจะมีศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ดีแบบนี้ได้อย่างไร?”

ชุยตงซานทะยานร่างขึ้นสูง ประหนึ่งเมฆขาวก้อนหนึ่งที่หวนกลับคืนสู่บ้านเกิด

เพียงแต่ว่าชุยตงซานไม่ได้จากไปทั้งอย่างนี้ เขาร่ายเวทอำพรางตามองลงมายังริมลำคลองจากเบื้องบน

เห็นเพียงว่าเผยเฉียนยืนอยู่ที่เดิมนานมาก สุดท้ายถึงยอมขยับขา สะบัดสองแขนออก ทุกครั้งที่เดินล้วนพยายามก้าวขาให้กว้างที่สุด เพียงแต่เชื่องช้าอยู่มาก อิงตามความเร็วเช่นนี้ คิดจะเดินไปให้ถึงภูเขาฉีตุนคงต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยปีกระมัง

ชุยตงซานนวดคลึงหว่างคิ้ว เล่นอะไรอยู่เนี่ย

แล้วก็มองอยู่อย่างนี้อีกนาน ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่สติปัญญาเปิดโล่ง นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที ร่างพลันพุ่งทะยานไปข้างหน้า หายไปในชั่วพริบตาเดียวราวกับสายฟ้าแลบ

ชุยตงซานยิ่งกลุ้มเข้าไปใหญ่

ด้วยความกล้าหาญที่เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารของศิษย์พี่หญิงใหญ่ หากไปเจอกับพวกภูตผีในภูเขาจริงๆ จะไม่ใช่ว่าเจ้าทำให้ข้าตกใจ ข้าทำให้เจ้าตกใจ ต่างคนต่างทำให้อีกฝ่ายตกใจตายหรอกหรือ

ชุยตงซานกวาดตามองไปรอบด้าน แล้วทะยานลมเดินทางไปไกล ไวยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ เพียงแต่เงียบเชียบไร้เสียง ไปเยือนนทีสายหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เทพลำคลองของที่แห่งนั้นก็ถูกกระเทือนให้โผล่ออกมาจากรัง เขาจับหัวอีกฝ่าย บิดหมุนข้อมือให้อีกฝ่ายหันหน้ามองไปยังเงาร่างเล็กๆ ที่สะพายหีบไม้ไผ่ซึ่งอยู่ห่างไปไกลนั้น ก่อนชุยตงซานจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เห็นแล้วหรือยัง ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้า เจ้าจงคุ้มกันนางไปส่งให้ถึงเมืองหงจู๋ ห้ามปรากฏกาย ห้ามเปิดเผยเบาะแสใดๆ จากนั้นเจ้าก็สามารถกลับจวนมาได้แล้ว จะถือว่าเจ้ามีคุณความชอบหนึ่งครั้ง หลังจบเรื่องจะได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งจากต้าหลี กรมพิธีการต้าหลีจะนำมามอบให้เจ้าเอง แค่รออยู่ที่บ้านก็พอ แต่หากมีความผิดพลาดอะไร ข้าก็จะทุบร่างทองของเจ้าให้แตก”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็เพิ่มแรงบนนิ้วทั้งห้าเล็กน้อย ร่างทองของเทพวารีท่านหนึ่งก็ระเบิดแตกไปโดยตรง รอยร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนปริลาม หลังจากเขาหยุดมือ ก็เอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าคงทำอะไรได้ไม่น่าเชื่อถือ กลัวว่าเจ้าจะไม่เห็นเป็นสำคัญ ก็เลยทำลายร่างทองเจ้าไปก่อนครึ่งหนึ่ง หลังจบเรื่องเจ้าจงไปหาหยางฮวาเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝู ให้นางช่วยซ่อมแซมร่างทองให้เจ้า แล้วค่อยรับป้ายสงบสุขปลอดภัย”

เทพวารีได้ยินเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นพึมพำอีกว่า “ร่างทองแหลกสลายไปครึ่งหนึ่ง จิตคิดไม่ซื่อไม่เหลืออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าความสามารถก็ยิ่งไม่ได้ความ แบบนั้นจะไม่ยิ่งพึ่งพาไม่ได้หรอกหรือ?”

เทพวารีเกือบจะสลายร่างทองของตัวเองให้แหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง

เทพเซียนผู้เฒ่าที่วิชาอภินิหารเลิศล้ำทะยานฟ้า แต่คำพูดคำจาใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้าท่านนี้ สรุปแล้วท่านต้องการอะไรกันแน่

ตั้งแต่ต้นจนจบเทพน้อยอย่างข้ายังไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ไม่ได้ทำเรื่องอะไรแม้แต่ครึ่งอย่าง

ชุยตงซานคลายนิ้วทั้งห้า ตบหัวของเทพวารีเบาๆ รอยร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนของร่างทองที่ตัดสลับถักทอกันกลับประสานเข้าด้วยกันในชั่วพริบตา ร่างกลับคืนมาเป็นปกติ

ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ มองเทพวารีที่หน้าตาทึ่มทื่ออึ้งค้าง ถามว่า “มัวอึ้งอยู่ทำไม ร่างทองแหลกสลายแล้วก็กลับคืนมาสมบูรณ์ รสชาติดีเกินไป ถ้าอย่างนั้นก็เอาอีกรอบ?”

เทพวารีตนนั้นกลืนน้ำลาย เตรียมจะขี่ลมไล่ตาม ‘ศิษย์พี่หญิงใหญ่’ ผู้นั้นไป

ผลกลับกลายเป็นว่าถูกเด็กหนุ่มชุดขาวใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกระชากลงกลางน้ำ ก่อให้เกิดริ้วน้ำจำนวนนับไม่ถ้วน พูดอย่างเดือดดาลว่า “จะจากไปทั้งอย่างนี้หรือ? บอกเจ้าแล้วว่าห้ามเปิดเผยร่องรอย!”

ชุยตงซานตบศีรษะตัวเอง “ต้องควรไปหาเทพขุนเขาถึงจะถูก ต้องโทษข้า ขอโทษทีนะ เจ้ามาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ”

คิดไม่ถึงว่าเทพวารีผู้นั้นก็ไม่ถือว่าโง่เขลาเกินไป ยอมอดทนข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานจากการที่ร่างทองเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงจากฝ่าเท้าหนึ่งที่ฟาดมาโดน เขาคุกเข่าโขกหัวลงบนผิวน้ำ “เทพน้อยคารวะเซียนซือ”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่เสียแรงที่เป็นแม่ทัพหลิ่วซึ่งปีนั้นกล้าถือหอกคุมเชิงกับเทพภูเขาที่เป็นเพื่อนบ้านแล้วเอ่ยว่า ‘อาณาเขตของหลิ่วกง ไม่มีใครกล้ามาเป็นผู้รุกราน’ เพื่อพ่อปู่ลำคลองตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ลุกขึ้นมาพูดจากันดีๆ เถอะ ดูความหัวไวของเจ้านี่สิ เชื่อแล้วว่าถึงแม้เจ้าจะเป็นเทพวารี แต่ต่อให้เข้าไปในภูเขาก็ไม่มีทางแย่ไปได้สักเท่าไร แต่รอบคอบไว้ก่อน ข้าจะมอบยันต์เทพวารีข้ามภูเขาให้เจ้าแผ่นหนึ่ง”

ชุยตงซานประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ยันต์กระดาษสีทองแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางความว่างเปล่า เขาโยนออกไปเบาๆ แล้วถูกเทพวารีองค์นั้นใช้สองมือรับเอาไว้

เงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็มองไม่เห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นแล้ว

เทพวารีแซ่หลิ่วผู้นี้ได้รับ ‘ยันต์เทพวารีข้ามภูเขา’ ที่ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อมาก่อนมา ก็พบว่าเพียงแค่โคจรปราณวิญญาณเล็กน้อยก็จะผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างทอง

หลังจากขึ้นมาบนฝั่งอย่างระมัดระวังแล้ว นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวได้อิสระเสรียิ่งกว่ายามอยู่ในน่านน้ำใต้อาณาเขตของตัวเองเสียอีก

เทพวารีรู้สึกราวกับว่าฝันไป

จากนั้นก็รีบอำพรางลมปราณของตัวเองไล่ตามแม่นางน้อยคนนั้นไป

เทพวารีเพิ่งจะผ่อนลมหายใจโล่งอก ทะเลสาบหัวใจก็มีริ้วคลื่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรงประหนึ่งคลื่นซัดถาโถม เทพวารีได้แต่หยุดฝีเท้าถึงจะสามารถต้านทานลูกคลื่นนั้นไว้ได้อย่างเต็มกำลัง แล้วเสียงของเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “จำไว้ว่าอย่าเข้าใกล้ในรัศมีร้อยจั้งรอบกายศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าจะมียันต์ติดตัวก็จะยังถูกนางจับได้อยู่ดี ผลลัพธ์ที่ตามมาเจ้าก็จงแบกรับเอาไว้เอง ถึงเวลานั้นยันต์แผ่นนี้จะเป็นยันต์คุ้มครองชีวิตหรือยันต์เร่งชีวิตก็ยังไม่แน่”

เทพวารีรีบค้อมเอวกุมหมัดรับคำสั่ง

จากนั้นก็คอยติดตามไปด้านหลังแม่นางน้อยที่วิ่งตะบึงผู้นั้นอยู่ห่างๆ เทพวารีมีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น

แม่นางน้อยมองดูเหมือนอายุไม่มาก แต่กลับวิ่งเก่งจริงๆ

หากหิวเมื่อไหร่ก็จะวิ่งไปพลางปลดหีบไม้ไผ่ใบเล็กลงมา เปิดหีบออก หยิบอาหารแห้ง จากนั้นก็สะพายหีบไม้ไผ่อีกครั้ง สวาปามเสร็จก็วิ่งตะบึงไปต่อ

แรกเริ่มเทพวารียังนึกว่าแม่นางน้อยกำลังหลบเลี่ยงอะไร

แต่ไม่ว่าเทพวารีจะตามหาอย่างไรก็ไม่พบเจอวี่แวว

แต่ยิ่งนานวันเทพวารีก็ยิ่งเริ่มอัดอั้น แม่นางน้อยที่เป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ฝึกตนให้กลายเป็นบุคคลในกลุ่มเทพเซียน ดันกลายมาเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ต้องอดทนต่อขัดเกลาเรือนกายมากที่สุดกันนะ?

ตลอดทางมานี้หากแม่นางน้อยเจอถ้ำที่สามารถหลบแดดหลบฝนได้ นางไม่ไป วัดร้างผุพัง ไม่ไป สถานที่ที่มีปราณวิญญาณค่อนข้างมาก ก็ยิ่งไม่ไป

กว่านางจะวิ่งจนเหนื่อยได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากจะหยุดพักก็จะจงใจเลือกช่วงเวลากลางวัน แล้วยังใช้ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นวาดวงกลมขนาดใหญ่พลางพึมพำไปด้วย จากนั้นก็งีบหลับไปครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็ลุกขึ้นมาแล้วเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

รอกระทั่งแม่นางน้อยกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงมองเห็นเค้าโครงของเมืองแห่งหนึ่งได้ไกลๆ แม่นางน้อยก็ย่นหน้าจนยับยู่ ราวกับกำลังร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น

เทพวารีเพิ่งจะสงสารแม่นางน้อยไปหยกๆ

ก็เห็นว่าแม่นางน้อยพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วเริ่มเดินอาดๆ ไปช้าๆ สะบัดเหวี่ยงไม้เท้าเดินป่าเร็วราวกับบิน พลางคลอเพลงไปด้วยว่ากินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ เต้าหู้เหม็นอร่อยนะ

แน่นอนว่าเทพวารีย่อมไม่รู้

บนกิ่งไม้สูงแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดขาวยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น มองเผยเฉียนอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยน

มีเพียงชุยตงซานที่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้

ช่วงเวลาที่อาจารย์ไม่อยู่ข้างกายนาง หรือช่วงเวลาที่นางไม่ได้อยู่ที่บ้านของอาจารย์

ถ้าอย่างนั้นทุกๆ สถานที่ที่นางเดินทางผ่านเพียงลำพัง ก็ล้วนไม่ต่างจากตอนที่นางอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ทุกคนที่นางได้พบเจอเพียงลำพังล้วนไม่ต่างอะไรจากคนที่นางเจอตามถนนใหญ่ตรอกเล็กของพื้นที่มงคลดอกบัว

ชุยตงซานกวาดตามองไปรอบด้าน ขุนเขาเขียวแล้วก็ขุนเขาเขียว

หนึ่งคนพึมพำ กลุ่มขุนเขาขานรับ

หวังว่าจะเป็นเช่นนี้

ชุยตงซานถอนหายใจ

ในที่สุดก็ตัดใจจากไปได้

เขายังต้องไปพบเจอกับบุคคลใหญ่คนหนึ่งแทนเจ้าตะพาบเฒ่า

คนชุดขาวทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ ปั่นป่วนทะเลเมฆทั้งผืนให้แหลกออก บนฟ้ามีเสียงฟ้าร้องคำรนดังครืนครั่นเป็นระลอกราวกับเป็นการบอกลา

เผยเฉียนที่เดินอยู่ในป่าเขา เดิมทีกำลังท่องพึมพำว่าก้าวเดินอาจหาญปีศาจหวาดผวาอย่างอารมณ์ดีพลันอึ้งตะลึง นางรีบหมุนตัวกลับ เงยหน้าขึ้น กระโดดตัวขึ้นสูงพลางชูมือขึ้นโบกลาอย่างแรง

เทพวารีพบว่าต่อให้แม่นางน้อยไปถึงเมืองเล็กแห่งนั้นแล้วก็ยังไม่เข้าพักในโรงเตี๊ยม

อย่างมากสุดก็แค่ซื้อของกินจุกจิก บางส่วนก็เก็บใส่ไว้ในกระเป๋า แต่ส่วนที่มากกว่านั้นจะเก็บไว้ในหีบไม้ไผ่ใบเล็ก

นอกจากนี้ก็คือมักจะไปกราบไหว้ในศาลภูเขาสายน้ำน้อยใหญ่ทั้งหลาย หากเจอกับวัดวาอารามก็จะเข้าไปจุดธูปไหว้

นอกนั้นก็แทบจะไม่เคยพูดคุยกับใคร ก็แค่เดินช้ากว่ายามเดินอยู่ตามป่าเขา ไม่ได้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาวิ่งตะบึงอย่างเดียว

มีเพียงครั้งเดียวที่นางหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมนาน ตอนนั้นนางนั่งยองอยู่บนกำแพงดินเหลืองเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง มองไกลๆ ไปยังกลุ่มผู้กล้าในยุทธภพกลุ่มหนึ่งที่ควบม้าออกท่องเที่ยว ดูเหมือนแม่นางน้อยจะอิจฉาอยู่บ้าง

แต่กลับไม่ได้อิจฉาพวกคนในยุทธภพที่มองดูเหมือนมีบารมีเหล่านั้น แต่อิจฉาในพาหนะของพวกเขา

มาเจอแม่น้ำอวี้เจียงของแคว้นหวงถิง แม่นางน้อยมองแวบเดียวก็ชักเท้าออกวิ่ง พอขยับเข้าไปใกล้หอจือหลันสกุลเฉาก็ทำไม่ต่างกันสักเท่าไร ตอนเดินอยู่บนถนนแค่แอบชำเลืองมองอย่างลับๆ ล่อๆ สองทีก็วิ่งหนีไป

ในที่สุดก็มาถึงอาณาเขตของเมืองหงจู๋

เทพวารีรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แม่นางน้อยระมัดระวังรอบคอบขนาดนี้ ไหนเลยจะต้องให้เขาคอยคุ้มกันมาส่งมาด้วย?

หรือว่าตนจะได้ยันต์ล้ำค่าแผ่นนั้นมาเปล่าๆ แล้วยังจะได้แผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีมาจริงๆ?

เทพวารีไม่กล้าเชื่อ แต่ก็ช่างเถิด ควรทำตามคำสั่งของเซียนซือชุดขาวผู้นั้น นั่นคือหยุดตรงนี้แล้วเดินทางกลับจวน!

เทพวารีหมุนตัวเดินจากไป

ตลอดทางที่ผ่านมานี้ นอกจากผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่พบเจอได้น้อยมากแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเทพวารีของลำคลองสายใหญ่เช่นเขาขึ้นฝั่งออกเดินทางไกล ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นพบเจอเขาแล้วก็ไม่กล้ามองนานด้วยซ้ำ

องค์เทพลำคลองท่านหนึ่ง กล้าแหกกฎมาเดินอยู่บนฝั่งอย่างเปิดเผยเช่นนี้ จะธรรมดาได้หรือ?

กฎของขุนเขาสายน้ำต้าหลี ตอนนี้มีการแบ่งระดับขั้นเข้มงวดเพียงใด?

เทพวารีพลันหันหน้ากลับมา

พบว่าแม่นางน้อยคนนั้นวิ่งตะบึงมาหา แล้วหยุดเท้าอยู่ห่างไปในจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทิ่มไม้เท้าเดินป่าอันนั้นลงบนพื้นแรงๆ จากนั้นกุมหมัดยิ้มให้เขา แล้วโค้งตัวคารวะอีกที

หลังจากที่แม่นางน้อยยืดตัวขึ้นแล้ว เทพวารีเพียงแค่คลี่ยิ้มกุมหมัดคารวะกลับคืน ส่วนเรื่องประสานมือโค้งคำนับนั้นก็ช่างเถิด

แม่นางน้อยยิ้มกว้างเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อของข้าคือเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว ยินดีต้อนรับใต้เท้าเทพวารีมาเป็นแขกที่บ้านของข้าวันหน้า!”

เทพวารีอึ้งตะลึงอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

แม่หนูนี่ลืมบอกชื่อแซ่ของตัวเองหรือไม่?

ทว่าแม่นางน้อยกลับดึงไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา แล้วหมุนตัวเดินจากไป เดินไปกระโดดไปจนหีบไม้ไผ่ใบเล็กด้านหลังกระเด้งกระดอนตามไปด้วย