ตอนที่ 1353: การกำเนิดของกระบี่อมตะ

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1353: การกำเนิดของกระบี่อมตะ

“นี่มันสมบัติอะไรกัน ? ที่จริงแล้วมันทรงพลังและน่ากลัวจนเราไม่สามารถเข้าไปใกล้ 100 กิโลเมตร ด้วยกำลังความแข็งแกร่งระดับเซียนราชาได้เลย”

“ข้าคิดว่าสมบัตินั่นน่าจะเป็นกระบี่ทรงพลังมาก ๆ เมื่อเห็นว่ามันสร้างปราณกระบี่ที่ทรงพลังออกมาเองโดยไม่มีคนควบคุมมัน มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าอาวุธบรรพบุรุษของตระกูลผู้พิทักษ์ทั้ง 10 เลย มันอาจจะเหนือกว่าพวกมันก็ได้ในด้านพลัง”

“การกำเนิดของสมบัติในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ อาจจะมีบางอย่างที่ต้องทำกับโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง มันอาจจะสำคัญในการปกป้องโลกอื่น ๆ ”

“วิเศษไปเลย ! ข้ามีฝีมือกระบี่และได้ฝึกฝนกระบี่มากว่าหลายพันปี ข้าอาจจะไม่สามารถอ้างสิทธิ์ได้ว่าข้าไปถึง….แต่มีเพียงน้อยนิดที่สามารถ….ในโลกนี้ สมบัตินั่นเหมาะกับข้า ถ้าข้าได้มันมา ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องทวีปนี้อย่างแน่นอน” บรรพบุรุษจักรวรรดิเฟยลี่พูดอย่างจริงจัง เขายังมีความปรารถนาที่จะครอบครองสมบัตินั่นอีกด้วย ตัวของเขาเต็มไปด้วยเลือด

คนทุกคนถอยออกห่าง 100 กิโลเมตรจากสมบัติและไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้กว่านั้น แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญคนแคระที่มีอุปกรณ์ป้องกันสวรรค์ก็ไม่เข้าไปใกล้กว่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่เป็นอะไรภายใต้การป้องกันของโล่ แต่เขาจะไม่สามารถเอาสมบัตินั่นมาได้

แน่นอนว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่เข้าไปใกล้กว่านั้น เหตุผลที่แท้จริงคือเขารับรู้ถึงการมีอยู่ที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำ

คนแคระสงบสติอารมณ์ลง เขาแบกอุปกรณ์ป้องกันสวรรค์ขึ้นซึ่งมันหดกลับเหลือ 1 เมตร เขาจ้องมองเสาแสงสองอันที่อยู่ห่างไป 100 กิโลเมตร จากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ ภูเขาไฟที่ไม่มีสิ้นสุดและลาวาที่อยู่รอบ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขาเข้าใจบางอย่างและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง ” ข้าจะไม่ขอเข้าไปเกี่ยวอีกต่อไป สมบัตินั่นไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเอามาได้”

คนแคระให้สัญญาณกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ของร้อยเผ่าพันธุ์ทันที ติดต่อพวกเขาผ่านทักษะลับ หลังจากนั้นเขาออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว

ผู้เชี่ยวชาญร้อยเผ่าพันธุ์ทั้งหมดแสดงท่าทางที่แตกต่างกัน พวกเขาจ้องมองไปที่สถานที่ของแสงและทั้งหมดก็ออกไปอย่างเงียบ ๆ

“คนของร้อยเผ่าพันธุ์ได้ถอยกลับไปทั้งหมดแล้ว พวกเขารู้แล้วเหรอว่ามันคืออะไร ? ” มนุษย์คนหนึ่งพูดออกมาด้วยความสงสัยทันที

“ฮืมม พวกเขารู้อะไรกัน ? ทุกๆคนอาจจะเห็นสมบัตินั่นแล้ว มันอาจจะทรงพลังกว่าอาวุธบรรพบุรุษของตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบก็เป็นได้ แม้แต่เซียนราชาก็ไม่สามารถเข้าหามันได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเพียงแค่เซียนจักรพรรดิเท่านั้นที่มีพลังในการเอาชนะมัน ร้อยเผ่าพันธุ์มีเซียนจักรพรรดิสักคนหรือ ? พวกเขารู้ว่าพวกเขาอ่อนแอ ซึ่งทำให้พวกเขาละทิ้งการต่อสู้นี้” สัตว์อสูรพูดออกมาเชิงดูถูก เขาไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับร้อยเผ่าพันธุ์

คนของร้อยเผ่าพันธุ์ไม่ได้ถอยออกไปไกลเกินไป พวกเขาหยุดอยู่ข้างนอกของภูเขาไฟและดู

ไม่นาน พลังแห่งการมีอยู่ขนาดใหญ่ก็ปกคลุมทั่วสถานที่ ข่าวที่อยู่ที่นั่นได้ไปถึงหูของเซียนจักรพรรดิ สัตว์อสูรเวทระดับ 9 ทั้งสามคนและมารราคะ ทั้งหมดได้มาถึงที่นี่แล้ว

พวกเขาแข็งแกร่งอย่างมาก ซึ่งอยู่ ณ จุดสูงสุดของโลก เมื่อเทียบกับคนทั้งโลกแล้ว มีเพียงคนน้อยนิดเท่านั้นที่จะแข็งแกร่งเท่ากับพวกเขา ไม่มีใครที่สามารถมีอำนาจเหนือพวกเขาได้เว้นเสียแต่จิตวิญญาณม่านพลังที่ได้ไปถึงขอบเขตดั้งเดิมแล้ว

ทันทีที่พวกเขาทั้ง 4 เข้าไปที่เขตภูเขาไฟ พวกเขาก็พุ่งตรงไปที่เสาแสง มันเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก ถึงจุดที่มันเกือบจะดูเหมือนเคลื่อนย้ายภายในพริบตา

ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไปถึงเหนือภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดอย่างปลอดภัย พวกเขาจ้องมองไปที่เสาแสงทั้งสองที่ปะทุจากปล่องภูเขาไฟ พลังงานที่เพียงพอที่จะสามารถสั่นสะเทือนสิ่งรอบๆที่ปกป้องมันไว้ ซึ่งมีปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นอยู่รอบ ๆ มัน

ถึงกระนั้นม่านพลังของพวกเขาก็สั่นไหวนิด ๆ

มารราคะมองไปที่ก้นของป่องภูเขาไฟก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ เซียนจักรพรรดิอีก 3 คนที่อยู่กับเขา ความเยือกเย็นที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ส่องผ่านดวงตาของเขาก่อนที่เขาจะพุ่งลงไปในลาวา

สัตว์อสูรทั้งสามไม่ลังเลเช่นกันเมื่อเขาเห็นเขาเคลื่อนไป พวกเขาทั้งหมดกระโดดลงไปเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นพยานถึงพลังของสมบัติ แม้แต่เซียนจักรพรรดิ พวกเขาก็ถูกล่อลวงให้เข้าไป

จากที่ไกล ๆ ผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองทหารรับจ้างถอนหายใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาพึมพำ ” น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ในการเก็บตัวขณะที่จิตวิญญาณวัตถุยังคงถูกซ่อนไว้อยู่ ไม่เช่นนั้นแล้ว คงจะมีโอกาสที่สมบัติชิ้นนั้นจะเป็นของเมืองทหารรับจ้าง

ความเสียใจเติมเต็มบนใบหน้าของเซียนราชาเมื่อพวกเขาเห็นเซียนจักรพรรดิทั้งสี่พุ่งลงไปในลาวา พวกเขาทั้งหมดมีความสนใจในสมบัติที่ทรงพลังเช่นนั้น แต่พวกเขาไม่มีความแข็งแกร่งของเซียนจักรพรรดิ พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้รัศมี 100 กิโลเมตรได้เลย

“ข้าหวังว่าสมบัติชิ้นนั้นจะไม่ไปตกในมือของพวกต่างถิ่น” เซียนราชาจำนวนหนึ่งภาวนาในใจ แม้ว่าจะมีบางคนได้รับสมบัติไป พวกเขาก็หวังว่าคน ๆ นั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเทียนหยวน

ในตอนนี้ ลำแสง 2 ลำของแสงที่สว่างจ้าได้ปะทุจากศูนย์กลางของภูเขาไฟ ในตอนนั้น ภูเขาไฟสีแดงก่ำได้กลายเป็นสีครึ่งม่วง ครึ่งฟ้าเพราะลำแสง

ปราณกระบี่นับไปถ้วนวนเวียนอยู่รอบ ๆ แสง ปราณกระบี่สามารถมองเห็นได้และจับต้องได้ พวกมันทุก ๆ อันมีความยาวและกว้างเท่ากับนิ้ว แต่พวกมันทั้งหมดสว่างอย่างมาก ปลดปล่อยแสงสีขาวสว่างออกมา

ในขณะเดียวกัน พลังงานที่มากมายได้ปะทุจากข้างในภูเขาไฟ ทำให้ภูเขาทั้งหมดกระตุกอย่างร้ายแรง หินขนาดใหญ่มากมายแตกออกและแม้แต่ภูเขาไฟทั้งลูกก็สั่นสะเทือนไปกว่าครึ่งหนึ่ง เซียนจักรพรรดิทั้งสี่ได้พุ่งกลับขึ้นไปบนอากาศในขณะที่เปลวไฟกำลังเผาไหม้อยู่รอบ ๆ ตัวเขา พวกเขาเหมือนกับบอลไฟทั้ง 4 ลูกขณะที่พวกเขาลอยอยู่ในอากาศ

ไม่นาน เปลวไฟก็ดับไป เผยเพียงพวกเขาทั้งสี่คน พวกเขาทั้งหมดค่อนข้างอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่พวกเขาถูกบีบให้ออกมาจากลาวา

มารราคะและสัตว์อสูรเวททั้งสามต่างพากันตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง พวกเขาทั้งหมดจ้องมองลงไปอย่างเงียบ ๆ และเครียด

เป็นเวลานานต่อมา มารราคะก็พูดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ “มันดูเหมือนปราณกระบี่ ถึงกระนั้นมันก็แตกต่างเล็กน้อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สมบัตินี้ทรงพลังกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก เป็นไปได้ว่าแม้แต่ยุทธภัณฑ์จักรพรรดิของตระกูลปกป้องก็ไม่อาจทัดเทียมมันได้

“ปราณกระบี่นี้ไม่เหมือนกับถูกบีบอัดจากพลังเซียนหรือพลังงานของโลก มันเหมือนกับปราณกระบี่ ถึงกระนั้นมันก็แตกต่างนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เคยเห็นปราณกระบี่ที่ทรงพลังขนาดนี้มาก่อนเลย” แลงคีรอสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ปราณกระบี่ที่แปลกประหลาดนี้ สามารถทำอันตรายกับข้าได้ แต่มันยังคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ถึงตาย เราอาจจะไม่เป็นไรก็ได้ถ้าพุ่งเขาไปด้วยกำลัง” ไคเซอร์พูดขณะดวงตาของเขาเปล่งแสงออกมา

มารราคะพยักหน้าและพูด “สมบัติของโลกได้ปรากฏทั่วทั้งประวัติศาสตร์ ตามบันทึกโบราณแล้ว โลกได้ให้กำเนิดพวกมันและพวกมันก็ถูกดูแลโดยธรรมชาติ ทันทีที่พวกมันกำเนิดขึ้นสมบูรณ์ พวกมันจะปะทุด้วยตัวของตัวมันเอง ไม่เหมือนกับตอนนี้ ข้าคิดว่าสมบัตินี้ยังคงถูกดูแลอยู่และยังกำเนิดไม่สมบูรณ์ ถ้าเราเอามันมาด้วยกำลัง อาจจะทำลายมันก็ได้”

” ถูกของท่าน เรารอไปก่อนดีกว่าตอนนี้ มันอาจจะไม่ถึงเวลาที่จะเอามันมาตอนนี้ ถ้าเราพยายามเอามันมาผิดเวลา สมบัติอาจจะจบลงด้วยการถูกทำลายด้วยมือของพวกเราเอง” ซ่างเฉียงพูด เสื้อผ้าสีขาวของเขาสะบัดด้วยลม ใบหน้าของเขาแดงและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ปล่อยความรู้สึกที่คุณธรรมออกมา เขาดูสง่างาม

ไคเซอร์และแลงคีรอส ทั้งคู่เห็นด้วยกับคำแนะนำของพวกเขา พวกเขาเคยอ่านบันทึกโบราณในสมบัติของโลก ดังนั้นพวกเขามีความเข้าใจเป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่ามารราคะพูดความจริง

จากไกล ๆ ผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองทหารรับจ้างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนที่จะกลับไปที่เมืองทหารรับจ้างคนเดียว เขาต้องการหาจิตวิญญาณม่านพลังและร้องขอให้นางนำสมบัติของโลกนั้นมา เขาไม่ต้องการยอมแพ้กับสิ่งที่มีพลังขนาดนั้น

โชคร้ายหน่อย ที่โดยพื้นฐานจิตวิญญาณม่านพลังไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ถ้านางไม่ปรากฏตัวของนางเอง ก็ไม่มีใครหานางเจอได้ ผู้อาวุโสสูงสุดขัดเคืองเรื่องนี้ หลังจากใช้ทุกวิธีที่เขาสามารถคิดได้เพื่อที่จะพยายามให้นางปรากฏตัวออกมา

“ข้าเข้าใจแล้วตอนนี้ จิตวิญญาณม่านพลังกำลังป้องกันเมืองทหารรับจ้างและป้องกันผนึกโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง นางไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้บนทวีปเทียนหยวน สมบัติเช่นนั้นเคยปรากฏตัวมาหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนหยวนและนางไม่สนใจสมบัติชิ้นนี้ในเวลานี้ เฮ้ออ ข้านี่มันหัวดื้อจริง ๆ ” ผู้อาวุโสสูงสุดเข้าใจบางสิ่งในที่สุด เขาไม่เคยให้ความสนใจกับสมบัติและอุทิศตัวเขาเองเพื่อปกป้องเมืองทหารรับจ้างเลย เขาทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่การเคลื่อนไหวของโลกอื่น ๆ

ภายในพริบตา มารราคะและเซียนจักรพรรดิได้รอในเขตภูเขาไฟเป็นเวลา 2 เดือน ภายใน 2 เดือนนั้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรแม้แต่นิดเดียวเลย รอและป้องกันสถานที่แห่งนั้นอย่างเงียบ ๆ พวกเขากลัวว่าสมบัติจะปรากฏทันทีที่พวกเขาออกไปและโดนคนอื่นเอาไปแทน

ในตอนนั้น สายตาของเซียนจักรพรรดิทั้งสี่เปิดออกพร้อมกัน

ตู้ม !

ในช่วงเวลาต่อมา ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดได้ระเบิด มันกลายเป็นเศษหินและลาวานับไม่ถ้วน กระบี่ทั้ง 2 ได้พุ่งออกมาและจากลาวาขึ้นไปบนท้องฟ้า

กระบี่ทั้ง 2 ยาว 1.3 เมตร พวกมันปะทุออกด้วยแทงสีม่วงและฟ้าในแต่ละกระบี่ พวกมันปลดปล่อยปราณกระบี่มากมายที่ทรงพลัง

เมื่อใดก็ตามที่กระบี่เคลื่อนที่ผ่านไป มิติก็จะสั่นสะเทือนและทำให้รอบ ๆ มืดมน โลกดูเหมือนจะสูญเสียสีสันไปเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่นี้ แม้แต่พระอาทิตย์ก็สูญเสียความสว่างไป โลกทั้งหมดต้องสยบต่อหน้ากระบี่นี้

ลมและเมฆรอบ ๆ ที่เป็นสีแดงและลอยขึ้นไปบนอากาศได้หายไปทั้งหมด เหลือเพียงแต่เมฆสีดำที่รวมตัวกันแทน