เจี่ยงหมิงรู้สึกว่า ไม่ว่าใครก็ตามในโลกนี้ที่เดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ก็คงไม่ทำให้เขาตกตะลึงจนเกินไปนัก แต่เย่เฉินเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เดินลงมาแล้วทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้

แต่ว่า ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาดี และมีสีหน้าเย็นชาที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ก็คือเด็กกำพร้าที่เติบโตมากับเขาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เย่เฉิน!

เขาจินตนาการไม่ออกเลย ว่าเย่เฉินมีดีอะไร? ถึงได้สามารถวางแผนการอันแข็งแกร่งแบบนี้มาไล่จับตัวเขาได้!

หากไม่พูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่เฮลิคอปเตอร์ไม่กี่ลำนี้ แล้วยังผู้เชี่ยวชาญอีกหลายสิบคนที่ดูเหมือนทหารพิเศษติดปืนพร้อมกระสุนจริงนั่น ไม่ใช่ความสามารถที่คนทั่วไปจะมีได้อย่างแน่นอน

ต่อให้เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิง ก็ไม่มีทางทำแบบนี้ได้!

ลึกลงไปในหัวใจของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า เย่เฉินคนนี้มีที่มาที่ไปยังไงกันแน่?

เขาไม่ใช่แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งเหรอ? แถมยังเป็นลูกเขยแต่งเข้าที่เกาะผู้หญิงกินอีก! ทำถึงสามารถวางแผนการที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้กัน?

เย่เฉินในตอนนี้ ได้ค่อยๆเดินมายังด้านหน้าของทั้งหกคนแล้ว

แต่เขาไม่ได้มองดูอีกห้าคนที่เหลือ กลับใช้สายตาเย็นช้าสุดขั้วมองไปยังเจี่ยงหมิง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจี่ยงหมิง! นายกล้ามากเลยนะ!”

เจี่ยงหมิงตกใจกลัวจนตัวสั่น ก่อนจะรีบขอร้องอย่างร้อนรนว่า “เย่เฉิน! นี่มันเรื่องเข้าใจผิดกันนะเย่เฉิน!”

“เข้าใจผิด?!” เย่เฉินพูดอย่างโมโห “”

เจี่ยงหมิงในตอนนี้ร้องไห้อย่างขมขื่น ก่อนจะกล่าวทั้งน้ำตาว่า “เย่เฉิน ผมไม่มีทางเลือกนะ เพื่อที่จะไม่เสียเดิมพันกับนาย ผมบังเอิญไปชนรถโฟล์คแฟตันของคนอื่น ถ้าผมไม่จ่ายค่าเสียหายให้เขา เขาก็จะฆ่าผม ผมเองก็ถูกบังคับอย่างไร้ทางเลือกนะ!”

เย่เฉินค่อยๆเดินไปข้างหน้า ก่อนจะเตะไปยังหน้าอกของเขาจนกระเด็นไปไกล แล้วตะคอกเสียงดังว่า “ตัวนายเองก็เป็นเด็กกำพร้า นายรู้ว่าเด็กกำพร้าต้องผ่านความยากลำบากแบบไหนมาบ้าง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลี้ยงดูนายจะโต นายไม่ทำอะไรเพื่อบ้านเด็กกำพร้าก็มากพอแล้ว ยังขโมยตัวเด็กออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อเงินอีก นายสมควรตาย!”

เจี่ยงหมิงเจ็บปวดร่างกายอย่างหนัก แต่ก็ยังพยายามพยุงตัวลุกขึ้น ก่อนจะพูดพร้อมกับร้องไห้ว่า “เย่เฉินผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษ ผมไม่ควรสูญเสียมโธรรมแบบนี้ ขอให้นายเห็นแก่ที่เราโตมาด้วยกัน ปล่อยผมไปสักครั้งเถอะนะ!”

“ปล่อยนายเหรอ?” เย่เฉินหัวเราะเยาะ แล้วพูดว่า “นายทำเรื่องไร้มโนธรรมแบบนี้ ไปเอาความกล้าจากไหนมาบอกให้ผมปล่อยนาย?”

เจี่ยงหมิงร้อนรนชี้ไปที่รถไอวีโก้ แล้วพูดว่า “นายก็เห็นว่าน้องชายน้องสาวพวกนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บนี่ อีกอย่างพวกน้องๆก็กินยานอนหลับไป ตอนนี้พาพวกเขากลับไปล่ะก็ พวกเขาจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนี้ ขอแค่นายปล่อยผมไปสักครั้ง ทั้งชีวิตนี้ผมก็จะไปทำงานเพื่อสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมยินยอมใช้ชีวิตของผมเพื่อชดใช้บาปที่ผมเคยทำ!”

เย่เฉินพูดอย่างเย็นชาว่า “ประหยัดแรงไว้เถอะเจี่ยงหมิง ทั้งเจ็ดคนในวันนี้ นายสมควรตายที่สุด!”

เมื่อหลิ่วจ้าวเฉินได้ยินคำพูดนี้ ก็รีบโพล่งคร่ำครวญออกมาว่า “พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้องแล้วครับ เรื่องทุกอย่างนี้ถูกวางแผนโดยคนที่สกุลเจี่ยงนั่น พวกเราทั้งหมดถูกเขาใช้ประโยชน์! ได้โปรดยกโทษให้เราด้วยเถอะ!”

เย่เฉินเห็นแขนขวาของเขาที่ยกสูงขึ้น ซึ่งมันขาดด้วนไปตั้งแต่ตำแหน่งข้อมือลงมา ทำให้รู้ได้ว่าคนคนนี้ก็คือหลิ่วจ้าวเฉินที่ฉาวโฉ่นั่น

จากนั้นเขาจึงหัวเราะหึๆออกมา ก่อนจะถามว่า “นายก็คือหลิ่วจ้าวเฉินสินะ?!”

หลิ่วจ้าวเฉินได้ยินคำนี้ก็กลัวจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว!

เขารู้ชื่อของตัวเองได้ยังไงกัน?

เย่เฉินมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเขา ก่อนจะยิ้มอย่างสนุกสนาน และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หลิ่วจ้าวเฉิน คุณนี่ไม่เลวเลยนะ ผมได้ยินมาว่าคุณเคยทำธุรกิจมืดมาก่อน แล้วครอบครัวของคุณทั้งหกคนก็ร่วมทำด้วย คาดไม่ถึงเลยว่า คุณโดนตัดมือไปข้างหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้จักจำอีกงั้นเหรอ? ผมได้ยินมาว่าเมื่อก่อนคุณเคยค้าเด็กมาก่อน แต่ไม่คิดเลยว่าคราวนี้คุณจะกล้ามาขโมยเด็กตรงๆแบบนี้!”

———-