แล้วเซียงอ๋องก็สิ้นพระชนม์เช่นนี้ เฉาอวิ๋นผิงได้หลบหนีจากพระราชวังไปก่อนแล้ว และไปถึงฝั่งแม่น้ำลั่วซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่าสิบลี้แล้ว
จากระยะห่างที่ไกลออกไป ผู้คนในวังยังคงได้ยินเสียงสั่นเครืออย่างหวาดกลัวของเขา และคำพูดประโยคนั้นซ้ำๆ “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต!”
ใบหน้าของหลินกงกงซีดเผือดลง
คืนนี้เป็นมลทินหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา
แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาคือหลินกงกง ผู้รู้วิธีเขียนคำว่าความซื่อสัตย์สองคำนี้ ไม่อาจไร้ยางอายเหมือนเฉาอวิ๋นผิงได้ คุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา
เขาพลิกฝ่ามือและตบลงบนศีรษะเบาๆ ในขณะเดียวกันปราณแท้ก็โคจรตีกลับพร้อมที่จะหยุดตัวเอง เขาจะทำมันอย่างแน่นอน โดยไม่ทิ้งความเป็นไปได้ใดๆ
แต่ฝ่ามือที่กำลังจะตกลงบนศีรษะของเขากลับไม่สามารถขยับเขยื้อนลงไปต่อได้ และปราณแท้ในเส้นชีพจรก็ดูเหมือนจะจับตัวกันแน่น และไม่อาจทะลวงเข้าไปในแดนลี้ลับได้เลย
“ไปเถิด อย่าได้เข้าวังอีกเลย ที่นี่…ไม่ใช่ที่ที่ดีอะไร”
อวี๋เหรินพูดกับเขา
หลินกงกงอึ้งงัน
เนื่องจากจักรพรรดิองค์ก่อน เวลาทั้งชีวิตของเขาใช้ไปกับการอยู่ในพระราชวัง
แม้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จะไล่เขากลับบ้านเก่า แต่เขายังคงนึกถึงวันเวลาที่อยู่ในวังทุกวัน
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครพูดกับเขา ไม่ต้องมาอีกแล้ว…ไม่ว่าจะทำเพื่อศีลธรรม หรือไม่เต็มใจ หรือเหตุผลอื่นใด
นั่นยิ่งไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขามาก่อนว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ดี
หลินกงกงออกจากวังไปแล้ว ดูเดียวดายอยู่บ้าง สามารถพูดได้ว่าเขากำลังสูญเสียจิตวิญญาณ
ไม่มีใครสนใจการจากไปของเขา ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่อวี๋เหริน
ระดับขั้นของฝ่าบาทล้ำลึกเกินจะหยั่งถึงเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดก็คาดไม่ถึง
ดวงอาทิตย์ดวงนั้นได้สลายไปแล้ว เมฆยามค่ำคืนก็ถูกพัดกลับมาที่จิงตูด้วยลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง และปกคลุมดวงดาวอีกครั้ง
อวี๋เหรินมองไปยังบางแห่งในชั้นเมฆ ยืนยันว่าจักรพรรดิขาวจากไปแล้ว เขาเก็บสายตามองกลับไปทางทิศเหนือ สีหน้ามีความกังวลใจ
……
……
เมืองเสวี่ยเหล่า วังมาร
เฉินฉางเซิงตอบคำถามราชามารโดยตรง “ข้าและท่านอาจารย์มิได้กังวลเกี่ยวกับจิงตู เพราะว่ามีศิษย์พี่อยู่ที่นั่น”
ราชามารพูดอย่างเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าเจ้าจะหลอกข้าแบบนี้ได้หรือ เมื่อเจ้าออกจากเมืองซีหนิง เจ้าก็มิได้เริ่มฝึกบำเพ็ญเลย ข้าเชื่อว่าเขาเองก็ไม่ได้ฝึก หลังจากนั้นเจ้าพบกับเขาเพียงไม่กี่ครั้ง ข้าแน่ใจว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยลงมือต่อหน้าเจ้า”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ใช่ จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีใครเห็นศิษย์พี่ลงมือมาก่อน”
ราชามารพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าใช้สิ่งใดมาตัดสินความสามารถของเขา อย่าพูดเหลวไหลอย่าง…เพราะเขาเป็นศิษย์พี่ของข้าอะไรแบบนั้นนะ”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ข้าเพิ่งจะนึกได้หลังจากเกิดเรื่องแล้ว”
ราชามารถามว่า “นึกสิ่งใดได้”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ในคืนที่เกิดเรื่องกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เหนียงเหนียงวันนั้น เหตุใดศิษย์พี่จึงออกมาจากพุ่มไม้”
ราชามารดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย และพูดว่า “เจ้าหมายความเช่นไร”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ในตอนกลางวันเขาไปที่สุสานเทียนซูกับท่านอาจารย์ นี่ก็หมายความว่า เขาใช้เวลาเพียงวันเดียวก็สามารถอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้จบแล้ว”
ราชามารหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดว่า “ไร้สาระ! เขาใช้วิธีอื่นไม่ได้หรือ”
เขาไม่เคยไปสุสานเทียนซูมาก่อน แต่รู้กฎเกณฑ์ของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
ในสุสานเทียนซูมีเพียงต้องตระหนักรู้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นหนึ่งก่อนเท่านั้น จึงจะไปยังแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อีกแผ่นหนึ่งต่อได้ จวบจนสูงขึ้นและสูงขึ้น สุดท้ายก็มาถึงจุดสูงสุด
ไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าฝืนกฎนี้ได้ แม้ว่าโจวตู๋ฟูจะอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งหมดแล้วก็ตาม
ตามที่เฉินฉางเซิงกล่าว เช่นนั้นอวี๋เหรินก็คือคนที่สามารถอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์จบในวันเดียว จำได้ว่าในขณะนั้นอวี๋เหรินกำลังฟังเสียงเฉินฉางเซิงอยู่ กำลังกังวลว่าจะไปช่วยเขาอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นอาจพูดได้ว่าเขาไม่ได้อ่านอย่างละเอียดเสียด้วยซ้ำอาจจะเดินอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไปตามอารมณ์
นี่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริง แต่ราชามารไม่อาจยอมรับได้
ไม่มีผู้ใดทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน ลือว่ากันว่าโจวตู๋ฟูเคยทำเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ไม่เคยได้รับการยืนยันจากพระราชวังหลีมาก่อน
เฉินฉางเซิงผู้สามารถอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่สุสานส่วนหน้าได้ภายในหนึ่งวันก็ทำให้ผู้คนทั้งดินแดนต้าลู่ตกตะลึงแล้ว ถ้าหากอวี๋เหรินใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งหมด นี่มันจะหมายความว่าอย่างไรกัน
นั่นก็หมายถึงความสามารถและพรสวรรค์ที่เหนือจินตนาการ
หากทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเซียงอ๋องและเฉาอวิ๋นผิงก่อกบฏครั้งนี้ สำหรับอวี๋เหรินแล้วคงเป็นเหมือนละครขบขันฉากหนึ่ง
ราชามารยังคิดต่อไปได้อีกว่า จักรพรรดิขาวน่าจะไม่กล้าลงมือง่ายๆ
สายเลือดแห่งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และตระกูลเฉินช่างน่าประหวั่นเสียจริงๆ
ราชามารยังรู้สึกว่าข่าวลือเรื่องการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาเป็นเท็จ ที่อวี๋เหรินต้องทนต่อความทุกข์ทรมานมากมาตั้งแต่เกิด อาจเป็นเพราะสวรรค์อิจฉาเขา…
“ดูเหมือนว่า พวกเราต้องยอมรับต่อความพ่ายแพ้จริงหรือ”
“ใช่”
เปลวเพลิงมารสีดำดูราวกับหนองน้ำ ดูดกลืนเส้นแสงทั้งหมด
ไอพลังปราณแห่งห้วงลึกบุกรุกเข้ามาจากทางนั้น ทำให้คนทั้งหมดรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ภายในตำหนักมารเงียบเหงามาก ไม่มีข้าทาสบริวาร รวมถึงเหล่านางสนม
มีเพียงข้ารับใช้ที่สวมหมวกสีขาวไม่กี่คนและคนชราที่สวมเสื้อคลุมสีแดงสิบกว่าคนเท่านั้น ยืนอยู่ทั้งสี่ด้านของราชามาร
ราชามารชี้ไปข้ารับใช้ที่สวมหมวกสีขาวและกล่าวว่า “พวกเขาล้วนเป็นนักประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์สุดท้ายของเผ่าข้าควรได้รับการบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์”
เขาชี้ไปยังชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีแดงและกล่าวว่า ”นี่คือเหล่าบัณฑิตที่ฉลาดที่สุดในเผ่าของข้า ข้าคิดว่าเจ้าและจักรพรรดิองค์นั้นควรมีสมองมากพอ ที่จะตัดสินว่าความสำเร็จของอารยธรรมเผ่าข้าควรได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ แล้วจากนั้นเก็บรักษาไว้ ทำลายเผ่าแล้วก็อย่าทำลายทั้งหมดเลย”
เมื่อได้ฟังสองประโยคนี้ ความรู้สึกของหวังผ้อและเซียวจางที่มีต่อราชามารก็แตกต่างไปจากเดิม
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าจริยวัตรของพระราชา สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง แต่ความสงบในระดับจิตวิญญาณเช่นนี้เป็นที่แสวงหาของบรรดาผู้แข็งแกร่งมาโดยตลอด
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ในคราแรกที่เมืองไป๋ตี้ข้าเคยพูดแล้ว จะไม่มีการทำลายเผ่าพันธุ์”
สิบปีก่อน ในเรือนใหญ่ที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองใกล้ปราสาทสวนของเผ่าเซียง เขาและราชามารหนุ่มหารือกันมากมาย
ในหัวข้อเหล่านั้นมีเรื่องเหนือท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาว เรื่องราวหลายพันชั่วอายุคน และย่อมมีเรื่องอนาคตของเผ่ามนุษย์และเผ่ามาร
ที่ลับไปกว่านั้น มีเพียงสวีโหย่วหรง ถังซานสือลิ่ว และมังกรดำน้อยเท่านั้นที่รู้ ในช่วงเวลาสิบปีมานี้ เฉินฉางเซิงและราชามารยังคงติดต่อสื่อสารกันมาตลอด
ถึงแม้ว่าความถี่ในการติดต่อของพวกเขาจะไม่สูงมาก หนึ่งปีมีเพียงสองสามฉบับเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยตัดขาดกัน
นี่ก็เป็นเรื่องที่พูดคุยกันไว้ดีแล้วในเมืองไป๋ตี้เช่นเดียวกัน
แรกเริ่มเดิมที พวกเขาต้องการเลียนแบบมหาบัณฑิตทงกู่ซือและและใต้เท้าสังฆราชของยุคนั้น แต่สุดท้ายก็พบอย่างไม่เต็มใจว่าเนื้อความในจดหมายเปลี่ยนมาเป็นการเจรจาต่อรอง
…ถ้าหากเผ่ามนุษย์ชนะแล้ว เผ่ามารจะยอมจำนนภายใต้เงื่อนไขใด
ไม่มีคำตอบ
ถึงกระทั่งตอนนี้ ตลอดมาก็ยังคงไม่มีคำตอบ
“พวกคนรับใช้ก็จะกลายเป็นบ่าวทาสของเจ้า ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานอยู่ในเหมืองที่มืดและชื้น เผ่าเทพจะถูกบังคับให้แต่งงานกับพวกเจ้า สายเลือดจะถูกทำให้ค่อยๆ จางลง จนไม่สามารถดำรงอยู่ด้วยเผ่าพันธุ์ของตนเองเพียงลำพังอีกต่อไป ในความคิดของข้านั้น นี่ก็ไม่ต่างกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ข้าไม่สามารถยอมรับได้”
ราชามารพูดว่า “นอกจากนี้เผ่าเทพเดิมทีก็เป็นเจ้าของโลกนี้ทั้งใบ จะยอมจำนนต่อพวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าได้อย่างไรกัน”
เฉินฉางเซิงพูดอย่างจริงจังว่า “แต่พวกเจ้าพ่ายแพ้แล้วนะ”