ภาค 11 คุนหลุนกลาง กว่างเฉิงบูรพา บทที่ 1090 ข้อความของเฟิงอวิ๋นเซิง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ไม่ว่าจะเป็นห่วงเฟิงอวิ๋นเซิง หรือเป็นห่วงว่าแผนการของราชันพระราหูเจี่ยนซุ่นหัวเป็นจริงแล้วหรือไม่ สุดท้ายแล้วแต่ละคนก็ยังคงรู้สึกกังวลอยู่ดี

เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจลึก ก่อนจะหลับตาทั้งสองข้าง

รอบๆ ตัวของเขาเกิดม่านแสงบางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นประกายอุทกขมุกขมัวที่กระจายออกไปทุกที่ จนทุกอย่างคล้ายกับกลายเป็นสีขาวดำ สูญเสียสีสัน

ภายใต้การไหลซึมของกระแสเวลาที่เหมือนกับสายน้ำ การไหลของเวลาในสถานที่แห่งนี้ราวกับกำลังจะหยุดลง

จักรพรรดิแพรกับจักรพรรดิไร้จำกัดมองเหตุการณ์นี้อย่างสงบนิ่ง ทั้งคู่ลอบพยักหน้า ‘ด้วยระดับพลังฝึกปรือและอายุของเขา ระดับของคัมภีร์นภากาลเวลาสูงส่งเหนือความคาดหมายนัก’

“ทั้งสองท่านโปรดช่วยข้าอีกแรง” เสียงพูดของเยี่ยนจ้าวเกอล่องลอยเล็กน้อย ฟังดูเดี๋ยวเร็ว เดี๋ยวช้า

จักรพรรดิแพรกับจักรพรรดิไร้จำกัดล้วนไม่ยึกยักลีลา ลงมือพร้อมกัน

ภายใต้การช่วยเหลือของพวกเขา เยี่ยนจ้าวเกอโคจรเคล็ดวิชาในคัมภีร์นภากาลเวลา เวลาของสถานที่แห่งนี้คล้ายกับไหลย้อน ทว่ามันไม่ใช่การไหลย้อนที่แท้จริง เพราะถึงแม้จะไหลย้อน แต่ก็ยากจะไหลย้อนไปยังเวลาเมื่อสองสามเดือนก่อนหรือหลายปีก่อน

กระนั้นเวลาที่เกิดระลอกขึ้น ได้ประสานกับควันมารเพลิงทมิฬในมิติ เริ่มกอปรกันเป็นเงาแสง พยายามแสดงเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้า

ฉับพลันนั้น ในอากาศพลันมีแสงสีขาวกะพริบ

เยี่ยนจ้าวเกอสายตาสั่นสะท้าน ‘ร่องรอยที่อวิ๋นเซิงเหลือไว้’

พร้อมกับที่แสงสีขาวปรากฏ ก็เริ่มมีเงาเหมือนลอยขึ้นมา ปรากฏเป็นภาพที่ขาดตอน

ใบหน้าที่คุ้นเคยโผล่ขึ้นตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอและเมิ่งหว่าน

ผมดำดุจน้ำตกรวบไว้ด้านหลังอย่างง่ายๆ คนสวมอาภรณ์สีขาว พร้อมด้วยดาบสีดำ แววตากระจ่างใส เป็นเฟิงอวิ๋นเซิงนั่นเอง!

นางนั่งขัดสมาธิกับพื้น มงกุฎจันทราบนศีรษะกำลังเปล่งแสงที่เย็นเยียบสุกสกาว ราวกับพระจันทร์กลางหาว ส่วนดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกพาดอยู่บนตักของนาง ปราณสีดำหลายสายเหยียดยื่นออกมาจากด้านใน กลายเป็นลวดลายอาคมที่คล้ายกับโซ่ พันอยู่บนตัวนาง ด้านหน้าของนางมีดวงอาทิตย์สีดำดวงหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

อีกด้านหนึ่ง ดวงไฟดวงเล็กถูกความมืดสะกดเอาไว้โดยสมบูรณ์ ไม่อาจกระดิกกระเดี้ย

บนดวงอาทิตย์สีดำสาดแสงอาทิตย์สีดำออกมา ส่องต้องดาบเทพอาทิตย์ยะเยือก

เฟิงอวิ๋นเซิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาแน่วแน่ ขณะมองดูดวงอาทิตย์สีดำตรงหน้า

ด้านในดวงอาทิตย์สีดำ มีเงาคนปรากฏ เป็นเจี่ยนซุ่นหัว ราชันพระราหูนั่นเอง

สีหน้าของนางเย็นชาเคร่งขรึมเหมือนเช่นปกติ บัดนี้กำลังสบตากับเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเงียบๆ สายตาคุกคามทีเดียว

“ข้าไม่ใช่วิญญาณดาบกลับชาติมาเกิด ท่านเองก็ไม่ได้อยู่ในดาบ ไฉนดาบเล่มนี้จึงใกล้ชิดกับข้าขนาดนี้” น้ำเสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงยังนับว่าเยือกเย็น ไม่รีบร้อน

เจี่ยนซุ่นหัวที่ว่ากันว่าประหยัดถ้อยคำ เมื่ออยู่ตรงหน้าเฟิงอวิ๋นเซิงกลับกล่าวอย่างเปิดเผย “เจ้าไม่ใช่วิญญาณดาบกลับชาติมาเกิดใหม่ แต่ว่าในคราบดาบราหูมีวิญญาณสายหนึ่งของเจ้าถูกสะกดเอาไว้ สมควรบอกว่าดาบเล่มนี้เป็นวิญญาณส่วนหนึ่งของเจ้ากลับชาติมาเกิดใหม่ ถึงจะไม่ใช่ร่างแยกของเจ้า แต่ก็เชื่อมจิตใจของเจ้า ใช้ได้เหมือนแขนขา”

แสงจันทร์สุกสกาวสะกดโซ่ลวดลายอาคมสีดำสนิทบนร่างของเฟิงอวิ๋นเซิงเอาไว้ในระดับหนึ่ง แต่ว่าการต่อต้านตราอาคมเหล่านี้ ต้องขึ้นอยู่กับความแน่วแน่ของตัวเฟิงอวิ๋นเซิงเอง

นางกล่าวอย่างเงียบๆ “ราชันพระราหูหรือ? ถึงจะเคยนับถือความดีงามในอดีตของผู้อาวุโส แต่ผู้เยาว์เช่นข้ากลับไม่คิดจะกลายเป็นเปลือกให้คนอื่นใช้เป็นศพสำหรับคืนวิญญาณ

“เป็นสาวน้อยที่โดดเด่นนัก” เจี่ยนซุ่นหัวไม่เพียงไม่ขุ่นเคือง บนใบหน้าอันเย็นชาถึงขั้นปรากฏรอยยิ้มชมเชยส่วนหนึ่ง แต่แค่แวบเดียวก็หายไป

ดวงอาทิตย์สีดำเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ค่อยๆ กลืนกินร่างของเฟิงอวิ๋นเซิง

เฟิงอวิ๋นเซิงไม่ได้ต่อต้าน นั่งตัวตรงอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว เพียงสงบจิตใจของตัวเอง

จักรพรรดิไร้จำกัดมองเงาเหมือนตรงหน้า ผงกศีรษะเล็กน้อย “ราชันพระราหูแม้ว่าจะคืนชีพ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองร่วงหล่นกลายเป็นมาร ดังนั้นจึงอ่อนแอยิ่ง นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือระดับเซียนกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง สิ่งที่ต้องวัดกันไม่ใช่พลังฝึกปรือซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก แต่เป็นปัจจัยภายใน”

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ตอบ

ความแข็งแกร่งด้านจิตใจและความแข็งแกร่งในความแน่วแน่ของตัวเฟิงอวิ๋นเซิง ล้วนยอดเยี่ยมอย่างหาได้ยากในหมู่คนที่เขาเคยพบเจอ

นั่นเหนือกว่าอายุ เหนือกว่าความเหี้ยมหาญของขีดจำกัดพลัง

หากต้องสู้กับคนอื่น เขาเดิมทีไม่ห่วงเฟิงอวิ๋นเซิง ทว่าครั้งนี้คู่ต่อสู้ของนางกลับสุดที่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้ เพราะเป็นถึงคนที่ทิ้งชื่อเรื่องความเด็ดเดี่ยวเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่าจะเป็นอิสตรีก็ตาม

คนที่ไม่ได้วางแผนแค่คืนชีพหลังความตาย แต่นอกจากการฟื้นคืนชีพแล้ว ยังต้องการสู้กับจอมมารที่มีรากฐานล้ำลึกกว่านาง ถึงขั้นที่ความตายของนางอาจเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของตัวนางเอง

หลังจากความตายนี้ ภายใต้เงื่อนไงที่จะไม่กลายเป็นมาร จะคืนชีพได้ดั่งที่หวังหรือไม่ก็ยังมีใครแน่ใจ

แม้นจะเป็นเช่นนั้น เจี่ยนซุ่นหัวก็ยังกล้าเสี่ยง!

นางใช่ว่าจะตกต่ำจนถึงขั้นต้องเดิมพันครั้งเดียวเช่นนี้ สิ่งที่ขับเคลื่อนนางไม่ใช่การเดิมพันและความโชคดี แต่เป็นจิตใจที่แน่วแน่ถึงขีดสุด

ว่ากันว่า นางเคยรับเข็มวิญญาณที่ถูกจัดเป็นเจ็ดทัณฑ์ทรมานเหมือนกับเข็มแกนน้ำแข็ง โดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด!

ครั้งนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ โอกาสในการชนะของเฟิงอวิ๋นเซิงจะอยู่ที่ใด

“เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองร่วงหล่นเป็นมาร พิธีกรรมคืนชีพที่ราชันพระราหูได้วางไว้จำเป็นต้องอาศัยร่างกาย” จักรพรรดิแพรเผยสีหน้าสนอกสนใจ “แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของนาง และไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น”

ดวงอาทิตย์สีดำครอบคลุมเฟิงอวิ๋นเซิงเอาไว้โดยสมบูรณ์ บนศีรษะของหญิงสาวที่อยู่ในดวงอาทิตย์ค่อยๆ ปรากฏลวดลายสุริยุปราคาสีดำขึ้น

ในม่านตาของนางมีควันมารเพลิงทมิฬไหลเวียนเลือนราง แต่ว่าสายตายังกระจ่างใสดุจเดิม

เฟิงอวิ๋นเซิงตวาดเสียงเบา ลุกขึ้นยืน ฟันดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกไปด้านหน้า มงกุฎจันทราบนศีรษะของนางสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่แสงจันทร์สุกสกาวจะกลายเป็นประกายดาบ ทำลายดวงอาทิตย์สีดำทิ้ง!

ดวงอาทิตย์สีดำแม้จะสลายไป แต่ว่าลายสุริยุปราคาบนหน้าผากของเฟิงอวิ๋นเซิงกลับยังคงอยู่ ด้านในม่านตามีแสงทมิฬลุกโชน

ประกายดาบสีขาวทิ้งร่องรอยไว้กลางอากาศ คล้ายกับทางเชื่อมสายหนึ่งเชื่อมสู่เยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับคนรัก ถึงแม้เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองเขาก็ตาม

กระนั้นสายตาของเฟิงอวิ๋นเซิงก็คล้ายกับข้ามกาลเวลามาถึงปัจจุบัน

“ตอนนี้ข้าไม่ทราบว่าคนที่จะเห็นภาพเหล่านี้ในอนาคตเป็นผู้ใด” เฟิงอวิ๋นเซิงอ้าปากกล่าว “ข้ามีชื่อว่าเฟิงอวิ๋นเซิง ลูกศิษย์แห่งเขากว่างเฉิงบนทะเลหวงเจียในเขตตะวันอาคเนย์ อย่างที่ท่านเห็นเมื่อก่อนหน้า เป็นเพราะสาเหตุเมื่อครู่ ตอนนี้ข้าไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้โดยสิ้นเชิง

พิธีกรรมของราชันพระราหูตอนนี้สำเร็จไปแค่ครึ่ง ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง เรื่องราวเกี่ยวพันถึงจอมมารด้วย ข้าไม่ทราบว่าเป็นตนไหน แต่จะต้องเป็นมารปีศาจที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ต่อจากนี้เนื่องจากนาง ข้าจำต้องเข้าไปในนพยมโลกลึกขึ้นอีกก้าวหนึ่ง และเป็นเพราะไม่อาจควบคุมตัวเองได้โดยสิ้นเชิง ข้าจึงไม่อาจทิ้งร่องรอยให้คนตามหาได้ เครื่องหมายที่มือขวาได้ทิ้งไว้ วินาทีต่อไปอาจจะถูกมือซ้ายของข้าลบทิ้ง ดังนั้นไม่ต้องตามหาข้า

“ข้าจะรีบกลับให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นข้อความนี้อาจถูกข้าทำลายทิ้งเอง”

จากนั้นนางก็ยังคงกล่าวอย่างช้าๆ “ถ้าหากท่านยินดีช่วย เฟิงอวิ๋นเซิงรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง ขอให้แจ้งทางสำนักให้แก่ข้า บอกฟู่ขี่เมฆา อาจารย์ของข้า บอกเยี่ยนจ้าวเกอ สามีของข้า

“ข้าใช้ชีวิตมาหลายปีถึงตอนนี้ มักพบพานความล้มเหลว น้อยครั้งจะประสบความสำเร็จ สร้างปัญหาให้แก่คนที่เกี่ยวข้องกับข้องมากมาย”

เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวด้วยความจริงจัง “แต่ครั้งนี้ ข้าไม่มีทางแพ้”

“ไม่ใช่เพราะผลดีผลเสีย ไม่ใช่เพราะแข็งแกร่งอ่อนแอ แต่เพราะข้าจะต้องกลับไปพบพวกท่านให้ได้!” ว่าแล้ว นางก็ยิ้มอย่างเฉิดฉัน งดงามน่าตะลึง “จ้าวเกอ ข้าจะต้องกลับมา พวกเรายังไม่ได้เข้าหอเลย”

………………..