ตอนที่ 1937 ท่านมีเบื้องหลังแบบใดกันแน่?

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1937 ท่านมีเบื้องหลังแบบใดกันแน่?

 

โม่ซวงรีบเก็บมือและล่าถอยเว้นระยะห่างกับหลิงฮันหลายก้าว ก่อนจะหันมองคนทั้งเจ็ดคนด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “หานเทา เรื่องนี้ไม่จําเป็นต้องให้เจ้าเข้ามายุ่มย่าม!”

 

เขากับกล่าวรุ่นเยาว์ที่แบกคันธนูขนาดใหญ่เอาไว้ที่หลัง

 

หานเทาหัวเราะและกวาดสายตามองกลุ่มหลิงฮัน พร้อมกับเผยสีหน้าตกตะลึง ทั้งจักรพรรดินีฮูหนิว และธิดาโร๋วนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสตรีที่งดงามหาใครเปรียบในยุทธภพอย่างแท้จริง การที่ทั้งสามคนมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมกันถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างมาก

 

สตรีนกอมตะนั้นถึงแม้ความงามจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าเป็นสตรีที่งามล่มเมืองอยู่ดี ในเมืองผนึกแปรผันมีสตรีไม่กี่คนเท่านั้นที่งดงามเทียบเท่านาง

 

“ทั้งๆ ที่โจมตีมานานสองนาน แต่เจ้าก็ไม่สามารถสัมผัสโดนแม้แต่เสื้อคลุมของคู่ต่อสู้งั้นรึ?” ชายหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งในกลุ่มคนทั้งเจ็ด แสยะยิ้มด้วยสีหน้าล้อเลียนอย่างโจ่งแจ้ง

 

ชื่อของเขาคือลูห่าวหมิง ตระกูลของเขากับโม่ซวงเรียกได้ว่าเป็นศัตรูกัน แถมยังชื่นชอบสตรีคนเดียวกันด้วย ซึ่งสตรีที่ว่าคือกสตรีชุดแดงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนเจ็ดคน นางมีชื่อว่าเซี่ยวอวิ๋นหรือธิดาตู้

 

ในเมื่อโอกาสงามที่จะสร้างความอัปยศให้กับโม่ซวงอยู่ตรงหน้าแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องคว้าเอาไว้

 

“ลูห่าวหมิง เจ้าอยากตายงั้นรึ?” โม่ซวงที่เกรี้ยวกราดอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคําพูดถากถางของลูห่าวหมิงก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก

 

“ฮ่าๆ หากทักษะสับสวรรค์ของเจ้ายังไม่บรรลุขั้นเจ็ด เจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้!” ลูห่าวหมิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

สีหน้าของโม่ซวงกลายเป็นเย็นชา “ทักษะแผ่ไพศาลของเจ้าพัฒนาไปถึงขั้น “สะท้านสวรรค์แล้วงั้นรึ?”

 

“ฮ่าๆๆ” ลูห่าวหมิงยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งขึ้นไปอีก

 

ในความเป็นจริงนั้น ในที่สุดเขาก็สามารถยกระดับทักษะแผ่ไพศาลได้สําเร็จมาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว เขาตั้งใจว่าจะมาท้าประลองกับโม่ซวงอยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมพอดี

 

เขาจะสร้างความอัปยศให้โม่ซวง ต่อหน้าตู้เซี่ยวอวิ๋น

 

โม่ซวงอยากจะเถียงตอบโต้ แต่เขากับลูห่าวหมิงก็ประลองกันมาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว ต่างฝ่ายจึงเข้าใจเบื้องลึกในพลังของกันและกันดี เขารู้ว่าหากทักษะสับสวรรค์ของตนเองไม่บรรลุขั้นเจ็ด ก็ไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายได้

 

ถ้าต้องประลองกับลูห่าวหมิงจริงๆ ชะตากรรมของเขาคงหนีไม่พ้นเสียหน้า ซึ่งน่าอัปยศยิ่งกว่าการปฏิเสธคําท้าประลองเสียอีก

 

ลูห่าวหมิงที่รู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายเหนือกว่าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา สายตาของเขาเปลี่ยนไปจดจ้องหลิงฮันพร้อมกับกล่าว “โม่เจ็ด ข้าจะเป็นคนจัดการศัตรูของเจ้าให้เอง!”

 

การกระทําเช่นนี้ยิ่งทําให้โม่ซวงอัปยศกว่าเดิมเสียอีก หากโม่ซวงเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ แต่เขาเอาชนะได้ล่ะก็ ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าโม่ซวงนั้นไม่แข็งแกร่งเท่าเขา

 

หลิงฮันที่มองดูการแสดงอยู่รู้สึกมึนงงทันที การที่สถานะผู้ชมของเขาจู่ๆ ได้เปลี่ยนกลายนักแสดงอย่างกะทันหัน ทําให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน…. ตั้งแต่เมื่อครู่นี้เขายังไม่ได้กล่าวอะไรออกไปสักคําเลยไม่ใช่รึไง?

 

“สามี เจ้าช่างมีดวงชะตาในการนําพาปัญหาเข้าหาตัวจริงๆ ไม่ว่าเมื่อใดเจ้าก็สามารถดึงดูดความแค้นเข้าสู่ตัวได้” สตรีนกอมตะพยักหน้า

 

“หลิงฮัน ทุบตีพวกมันให้หมดเลย!” ฮูหนิวตะโกนอย่างตื่นเต้น

 

หลิงฮันส่ายหัวพร้อมกับกล่าว “ข้าไม่อยากเล่นกับคนเช่นเจ้า!”

 

“ช่างรนหาที่!” ลูห่าวหมิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ เขาจดจ้องสายตาไปยังหลิงฮันและลงมือ “พรึบ” คลื่นสายรุ้งพรั่งพรูไหลออกมาจากร่างของเขา และแปรสภาพกลายเป็นเคียวขนาดใหญ่สะบั้นเข้าใส่หลิงฮัน ที่รอบด้านของเคียวมีตราประทับแห่งเต๋าประทับเอาไว้เจ็ดอัน ซึ่งแต่ละอันดูลึกลับเป็นอย่างมาก

 

สีหน้าของโม่ซวงกลายเป็นมืดมน ตราประทับแห่งเต๋าทั้งเจ็ดคือสัญลักษณ์ของทักษะแผ่ไพศาล

 

ถึงแม้ตราประทับที่เจ็ดจะดูยังไม่สมบูรณ์มาก แต่อํานาจของมันก็สามารถทําให้ลูห่าวหมิงกลายเป็นราชาในหมู่ราชาชั้นแนวหน้าได้

 

ดูเหมือนเขาจะพยายามฝึกฝนให้มากกว่านี้เสียแล้ว เพราะไม่งั้นเขาจะถูกลห่าวหมิงเหยียบย่ำจริงๆ

 

หลิงฮันยื่นหนึ่งนิ้วออกไปและชี้เข้าใส่ลูห่าวหมิง

 

ในกรณีของโม่หวง เนื่องจากเขาเห็นแก่หน้าของศิษย์พี่สาม เขาจึงยอมอ่อนข้อให้ เพราะอย่างไรเขาก็มีสถานะเป็นผู้อาวุโสของอีกฝ่าย แต่กับลูห่าวหมิงนั้น หลิงฮันไม่แยแสใดๆ และตั้งใจจะกําราบให้ราบคาบในทันที

 

“ครืนน” เมื่อหนึ่งนิ้งถูกซื้ออกไป คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ราวกับจะบดขยี้ท้องฟ้าและสรรพสิ่งให้พังพินาศก็ถูกปลดปล่อยออกมา

 

ในหนึ่งนิ้วนี้ หลิงฮันได้ทําการผสานอํานาจแห่งกฏเกณฑ์หัวงเวลาเอาไว้เล็กน้อย

 

แน่นอนว่าอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ว่าไม่ใช่ของทักษะกาลเวลาแปรผันพันปี แต่เป็นอํานาจแห่งกฎเกณฑ์จากหอคอยทมิฬ

 

ใบหน้าของลูห่าวหมิงเปลี่ยนไปทันใด ถึงแม้จะยังไม่มีการโจมตีใดปะทะเข้าใส่เขา แต่เขาก็มีความรู้สึกหนึ่งนิ้วของอีกฝ่ายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานได้

 

เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นนิรันดร์สี่นิพพานเหมือนกันแท้ๆ

 

พรวด!

 

ในขณะที่กําลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง หน้าอกของเขาก็รู้สึกราวกับถูกบีบรัดและกระอักโลหิตออกมา

 

เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนก็ตกตะลึงตนพูดอะไรไม่ออก อย่างที่รู้ว่าหลิงฮันยังไม่ทันปลดปล่อยการโจมตีใดๆ ออกมาเลยแท้ๆ แต่เพียงแค่แรงกดดันกลับสามารถทําให้ลูห่าวหมิงหมดสภาพได้

 

“ตุบ” ร่างของลูห่าวหมิงทรุดลงกับพื้น เมื่อเขามองไปยังนิ้วมือที่ชี้เข้ามา เม็ดเหงื่อจํานวนนับไม่ถ้วนก็ไหลออกมาจากร่างของเขา จนทําให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มในทันที

 

ห้านิพพาน!

 

โม่ซวงและคนอื่นๆ อุทานในใจและแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด

 

ต่อให้เป็นในอาณาเขตสวรรค์กว่างลง จํานวนของจักรพรรดิก็มีอยู่เพียงแค่หยิบมือ

 

หลิงฮันยิ้ม “ว่าไง สนุกเปล่า?”

 

ลูห่าวหมิงกลายเป็นไร้คําพูดอย่างสิ้นเชิง หลังจากเวลาผ่านไปนานสักพักเขาก็ตั้งสติกลับมาได้ และเกิดความรู้สึกรังเกียจต่อหลิงขั้น

 

ทําไมน่ะรึ?

 

ทั้งๆ ที่เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ และสามารถเอาชนะโม่ซวงได้อย่างง่ายดายแท้ๆ เหตุใดเจ้าถึงต้องทําตัวเหมือนกับพวกเจ้ามีความแข็งแกร่งทัดเทียมกันด้วย? เพราะการกระทําของเจ้าทําให้ข้าคิดตื้น และแส่หาความอัปยศให้แก่ตนเอง

 

โม่ซวงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขารู้ดีว่าลูห่าวหมิงมีความแข็งแกร่งอยู่เท่าใด ซึ่งหากอีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน งั้นเขาเองก็เช่นกัน เพราะงั้นการที่ก่อนหน้านี้หลิงฮันยอมให้เขาเป็นฝ่ายโจมตีอยู่หลายกระบวนก็ถือว่าเป็นการไว้หน้ามากเขาแล้ว

 

คนผู้นี้คือใครกันแน่?

 

หลังจากลดความหยิ่งทะนงลง โม่ซวงก็ได้ความฉลาดที่สมควรเป็นของอัจฉริยะกลับคืนมา

 

ถึงแม้เผิงฮวาเหนียนจะมีท่าทีเหยียดหยามต่อหลิงฮัน แต่เมื่อคิดให้ดีแล้วอีกฝ่ายก็สมควรเป็นคนนําพาหลิงฮันมาที่นี่

 

การที่นักปรุงยาสามดาวต้องเป็นคนนําทางด้วยตัวเองนั้นมันหมายความว่าอย่างไรนะ?

 

หากดูเผินจากคําพูดของเผิงฮวาเหนียน หลิงฮันอาจจะดูไม่ใช่บุคคลสําคัญ และเป็นเพียงประชากรของอาณาเขตสวรรค์ไต่อันทั่วไป แต่ในทางกลับกัน หากคิดให้ดีอีกฝ่ายจะต้องมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

 

โม่ซวงเข้าใจทันทีว่าตนเองถูกเผิงฮวาเหนียนหลอกใช้แล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่สามารถลงมือกับหลิงขั้นด้วยตนเองได้ ถึงต้องทําการกระตุ้นยั่วยุให้เขาลงมือ จนสุดท้ายเขาต้องเป็นฝ่ายได้รับความอัปยศ

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็เกิดความรู้สึกขอบคุณต่อหลิงฮันขึ้นมา และเกลียดชังเผิงฮวาเหนียนแทน

 

“พี่ชายหลิง ท่านมีเบื้องหลังแบบใดกันแน่?” โม่ซวงเอ่ยถาม