บทที่ 641.2 ผู้ที่ยินดีค้ำประคองผืนฟ้า โปรดลุกขึ้นยืน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หยวนเป่าเอ่ยเสียงหนักจริงจัง “เอาวิชาตระกูลเซียนที่ตื้นเขินบางอย่างมาจัดพิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสือ จากนั้นก็ให้ฮ่องเต้ของสี่แคว้นแจกจ่ายออกไป ทุกคนต้องฝึกตน นอกจากนี้ก็ผลักดันวิชาลับวรยุทธออกไปเป็นวงกว้างเช่นเดียวกัน ไม่มีธรณีประตู ต่อให้คุณสมบัติจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ต่อให้ฝึกวิชาเซียนไม่ได้ก็ยังมีเส้นทางวิถีวรยุทธให้เลือกเดิน จะสำเร็จหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ให้โอกาสไปแล้ว ก็อาศัยความสามารถของตัวเองป่ายปีนขึ้นไปแล้วกัน ไม่อย่างนั้นพวกเราทุ่มเงินฝนธัญพืชลงไปมากมายขนาดนั้นก็เพื่อชมเรื่องสนุกอย่างเดียวเท่านั้นหรือ? ถึงอย่างไรก็ต้องเอากำไรกลับมาบ้าง ถูกไหม?”

หยวนไหลเอ่ยเสียงเบา “จอมยุทธใช้วรยุทธสร้างความวุ่นวาย สำหรับราชสำนักแล้วจะต้องเป็นปัญหายุ่งยากอย่างมาก ใต้หล้าของพื้นที่มงคลรากบัวก็ยากที่จะถูกควบคุมให้อยู่ในกฎเกณฑ์ หากไม่ระวัง ที่ว่าการจะกลายเป็นแค่ของตกแต่งที่วางไว้เฉยๆ หากที่ว่าการและราชสำนักสูญเสียความน่าเกรงขามไป ถ้าอย่างนั้นการโคจรของระบบขุนเขาสายน้ำทั้งหมดก็จะเกิดปัญหาใหญ่ เฉาฉิงหล่างเคยบอกว่า ใต้หล้าแห่งหนึ่ง ต่อให้เล็กแค่ไหนก็ยังต้องเน้นย้ำในคำว่ามั่นคง”

หยวนเป่าหัวเราะเสียงเย็น “หากตาเฒ่าที่เป็นฮ่องเต้และพวกขุนนางทั้งหลายไม่ยอมทำงาน หรือทำได้ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนหุ่นเชิดกลุ่มใหม่ที่เชื่อฟังคำสั่ง เอาคนที่กล้าฆ่าคน สามารถฆ่าคนได้ สยบผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาได้ สังหารปรมาจารย์ในยุทธภพได้ ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากกลัวว่าสถานที่แห่งนั้นเล็กเกินไป บ่อเล็กมิอาจเลี้ยงเจียวหลง ก็ง่ายเลย พอมีต้นกล้าที่ดีก็จับออกมาจากในพื้นที่มงคล แล้วเอามาเลี้ยงไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขามากมายขนาดนั้น จวนเซียนมากมายขนาดนั้น ปล่อยว่างไว้ก็เสียเปล่า ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกลมปราณที่มีหวังว่าจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ผู้ฝึกยุทธที่เป็นขอบเขตหกแล้ว ล้วนสามารถกลายมาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว เมื่อสะสมคุณความชอบไว้ได้มากพอก็ย่อมมีตำแหน่งที่ทาง มีเวทลับวิชาหมัดที่ดียิ่งกว่า มีวิชาตระกูลเซียนที่สูงยิ่งกว่าให้เล่าเรียน”

เสียงของหยวนไหลยิ่งเบาลงเรื่อยๆ “แล้วใจคนล่ะจะทำอย่างไร? ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น ท่านพี่ ลำพังเพียงแค่ภูเขาของอาจารย์ก็มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ซับซ้อนมากมายขนาดนั้นแล้ว”

หยวนเป่าถลึงตาใส่น้องชายที่เป็นหนอนหนังสือผู้นี้ ไม่รู้จักทำตัวให้เบาใจบ้างเลย! มิน่าเล่าถึงพูดคุยกับเฉาฉิงหล่างได้ถูกคอมากที่สุด

จูเหลี่ยนไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

คำพูดของแม่นางน้อยจะบอกว่าถูกทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจพูดว่าผิดทั้งหมด

เพียงแต่เรื่องบางอย่างร้อยเรียงเชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ไม่ใช่แค่บวกลบอย่างง่ายๆ เหมือนของสำนักคำนวณ กลับกันยังเหมือนการสร้างเรือนหลังหนึ่ง หากเสาคานเบี้ยวเอียง นานวันเข้าเรือนทั้งหลังย่อมถล่มลงมา

แต่ว่าสามารถคิดให้มากพูดให้มากได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงไม่รีบร้อนที่จะโต้เถียงหรือยอมรับอะไร เพียงแค่ยิ้มมองแม่นางน้อย เป็นการบอกเป็นนัยให้นางมีความกล้าอีกนิด พูดความคิดในใจของตัวเองต่อไป

หยวนเป่ายกสองมือกอดอก หรี่ตาเอ่ยว่า “การที่ฝั่งของอาจารย์ต้องรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าก็เพราะสถานการณ์วุ่นวายเกินไป แต่พื้นที่มงคลรากบัวกับภูเขาลั่วพั่วนั้นไม่เหมือนกัน อยู่ที่นี่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็คือเทพเทวาบนสวรรค์ของตลอดทั้งพื้นที่มงคล! เป็นคน ใครบ้างไม่กลัวตาย ไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิต! ใต้หล้าไพศาลของพวกเรามีวิชาอภินิหารเลิศล้ำขนาดไหน ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ที่ดำเนินไป ใจคนจะนับเป็นอะไรได้? ไม่แน่ว่าจะเออออคล้อยตามภูเขาลั่วพั่วเรายังแทบไม่ทัน”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตอนเป็นเด็กกลัวแต่ว่าอ่านหนังสือจะยาก ยามเป็นวัยรุ่นมักรู้สึกว่าการเป็นคนนั้นง่าย”

เด็กหนุ่มหยวนไหลรีบจดจำไว้ในใจทันที อันที่จริงความรู้ของท่านอาเจิ้งมีไม่น้อยเลยจริงๆ

จูเหลี่ยนเกาหัว พูดอย่างสะท้อนใจว่า “เมื่อวานเด็กหนุ่มขี่ม้าไม้ไผ่ คืนนี้เหตุใดกลายเป็นผู้เฒ่าผมขาวเสียแล้ว”

เว่ยป้อยิ้มถาม “หยวนเป่า ข้ามีคำถาม คนกลุ่มนี้มาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วเอามาเลี้ยงไว้บนภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าจะให้ทำอะไร?”

หยวนเป่าคิดไว้ในใจมานานแล้ว จึงหลุดปากตอบทันทีว่า “ก็ฝึกตนต่อไงล่ะ หรือไม่ก็คอยตรวจตราการฝึกวรยุทธของพวกเขา ขอแค่ผู้ฝึกลมปราณกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร หรือไม่ก็กลายเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดก็เอาไปขายให้กับกองกำลังฝ่ายต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีป ถือเป็นการผูกบุญสัมพันธ์แล้วยังได้กำไรมาก้อนใหญ่ พวกคนที่หยิ่งทระนง ไม่ยินยอมจะตกเป็นวัตถุแลกเปลี่ยน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลงนามทำสัญญากับภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา หลังออกไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว คนพวกนี้จะต้องเอาเงินมาซื้ออิสระให้กับชีวิตของตัวเอง ก็แค่กำหนดเวลาไปว่ากี่สิบปีกี่ร้อยปี!”

เว่ยป้อถามอีก “หากคนกลุ่มนี้ไปสร้างหายนะให้กับผู้อื่น บัญชีเลอะเลือนครั้งนี้จะคิดกันอย่างไร?”

หยวนเป่าขมวดคิ้ว “จะต้องสนเรื่องพวกนี้ไปทำไม? คนใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบกันเอาเอง ในเมื่อหาเรื่องใส่ตัวเองแล้วความสามารถไม่มากพอย่อมถูกคนเหยียบย่ำ ผู้ที่หมัดใหญ่กว่าย่อมมีเหตุผลมากกว่า วิถีทางโลกทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นอย่างนี้เสมอมา! อาศัยอะไรถึงมาคิดบัญชีลงบนหัวภูเขาลั่วพั่วเรา?”

สีหน้าของจูเหลี่ยนยังคงเป็นปกติ

เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองบน

เว่ยป้อยื่นสองนิ้วออกมาจับต่างหูสีทองของตัวเอง รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

ลูกศิษย์ที่หลูป๋ายเซี่ยงรับมา ช่างช่วยประหยัดแรงกายแรงใจได้ดีจริงๆ

หยวนเป่ากำสองมือเป็นหมัดแน่น เน้นเสียงเอ่ยจริงจัง “อยู่ที่พื้นที่มงคลรากบัว พวกเราคือเทพเทวาบนสวรรค์ สามารถควบคุมจัดการพวกเขาได้ทุกเรื่อง ผู้ที่ปฏิบัติตามรุ่งเรือง ผู้ที่ต่อต้านมอดม้วย! วันหน้าออกไปจากภูเขาลั่วพั่วก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอีกแล้ว เหลือเพียงแค่การค้าขายเท่านั้น อะไรที่เรียกว่าฟ้าดินเลี้ยงชีวิต นี่คือมหามรรคายิ่งใหญ่งดงามที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราทุ่มเงินฝนธัญพืชหลายพันเหรียญสร้างขึ้นมาต่างหาก! วันหน้าก็จะยังทุ่มเงินต่อไปอีก ทุ่มเงินฝนธัญพืชมากกว่าเดิมอีก เพราะอะไร?”

หยวนเป่ามีโทสะเล็กน้อย “การก่อกำเนิดของวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินช้าเกินไป สถานที่ดีเยี่ยมเหมาะแก่การฝึกตนที่เกิดจากปราณวิญญาณมารวมตัวกันล่ะ จะเร็วกว่ากันได้สักแค่ไหนกันเชียว? หรือจะต้องให้พวกเราขาดทุนแบบนี้ไปตลอด? อาจารย์ของข้าหาเงินมาได้ไม่ง่าย ลำบากอย่างมาก! ไม่เหมือนคนบางคนที่นั่งอาบแดด นั่งเล่นหมากล้อม ชมหิมะตกอยู่บนภูเขา”

จูเหลี่ยนยิ้มพลางโบกมือ “หยวนเป่า ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ไม่เพียงแต่การปรึกษากันระหว่างเจ้าและข้าในตอนนี้ ต่อให้วันหน้าทะเลาะกันก็ต้องระมัดระวังสี่คำว่า ‘ว่ากันตามสถานการณ์’ ไม่อย่างนั้นต่อให้มีเหตุผลก็จะกลายเป็นว่าเจ้าไร้เหตุผล”

หยวนเป่าพยักหน้ารับ “ข้าฟังอาจารย์ผู้เฒ่าจู”

เจิ้งต้าเฟิงแทะเมล็ดแตง คำพูดของแม่นางน้อยทำเอามโนธรรมในใจของเขากระวนกระวายขึ้นมานิดๆ แล้วจริงๆ

หยวนเป่าสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาฉายแววมุ่งมั่น มองไปทางเจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อ “พวกเจ้าหากใครเห็นพวกเขาแล้วไม่ชอบขี้หน้า ย่อมได้ วันหน้าข้าจะเป็นคนรับผิดชอบออกหมัดสังหาร กวาดล้างตระกูลเอง ถือเสียว่าเลี้ยงเศษสวะไม่ได้ความพวกนี้มาอย่างเสียเปล่า”

เฉินยวนจีหวังว่าสหายของตนจะพูดให้น้อยหน่อย ดังนั้นจึงขยิบตาแรงๆ อยู่นานแล้ว และเวลานี้ก็ขยับเปลือกตาไม่ขึ้นแล้ว นางขยิบนานจนปวดตา

กลายเป็นว่าตอนนี้ต้องเริ่มนวดตาแทน

หยวนเป่าบีบมือของเฉินยวนจีเบาๆ บอกเป็นนัยให้นางรู้ว่าตนเข้าใจแล้ว

ตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วก็มีเฉินยวนจีนี่แหละที่นางถูกชะตาด้วยมากที่สุด ถือเป็นเพื่อนของนาง

คนอื่นๆ หากไม่ได้มาอยู่เฉยกินข้าวให้สิ้นเปลือง ก็เป็นพวกที่ชอบหลอกลวงคนอื่น หรือไม่ก็เป็นคนที่เอาแต่ปั้นหน้ายิ้มตาหยีไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงาน แล้วยังมีพวกที่สมองเลอะเลือน ไม่รู้ว่าวันๆ คิดแต่เรื่องอะไรอยู่

อืม แม่หนูหน่วนซู่นั่นเป็นข้อยกเว้น มานะขันแข็ง ไม่แก่งแย่งกับใคร น่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก

จูเหลี่ยนเอ่ย “หยวนเป่า คำพูดของเจ้า ข้าพอจะเข้าใจแล้ว และก็จำเอาไว้แล้ว วางใจเถอะ ข้าจะไม่จงใจปล่อยผ่านไปทั้งอย่างนี้ ไม่แน่ว่าครั้งหน้าที่ประชุมกันในศาลบรรพจารย์ ก็จะยกเอาแนวทางความคิดนี้ของเจ้าออกมาพูดด้วย การปรึกษาพูดคุยกันในศาลบรรพจารย์ไม่ใช่เรื่องเล่น ทุกประโยคล้วนมีบันทึกไว้ ดังนั้นช่วงนี้ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรคิดให้รอบคอบรัดกุมอีกหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลานั้นถูกคนหาช่องโหว่ได้ ข้าจะแนะนำเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าจะฟังหรือไม่?”

หยวนเป่ายิ้มกล่าว “อาจารย์ผู้เฒ่าจูโปรดพูด!”

จูเหลี่ยนมองเด็กหนุ่มหยวนไหลที่มีท่าทางระมัดระวังแล้วเอ่ยว่า “หยวนไหลเห็นต่างกับเจ้ามากไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็ลองวางมาดของพี่สาวลง พยายามใช้จิตใจที่สงบเป็นกลางมาโน้มน้าวหยวนไหลให้ได้ก่อน เจ้าลองคิดดูนะ หากแม้แต่หยวนไหลเจ้าก็ยังโน้มน้าวไม่ได้ ต่อให้ข้ายินดีเอาเรื่องนี้ไปอยู่ในรายการเรื่องที่จะยกมาปรึกษากันในศาลบรรพจารย์ แต่เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีความมั่นใจจริงๆ หรือ? เจ้าคิดว่ามีเหตุผลหรือไม่?”

หยวนเป่าคิดแล้วก็พยักหน้าตอบรับ “ตกลง!”

จูเหลี่ยนเอ่ย “สถานที่ทุกแห่งของภูเขาลั่วพั่วด้านนอกศาลบรรพจารย์ การฝึกตนบนมหามรรคา ต่างคนต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง แต่ขอแค่เข้าไปนั่งในศาลบรรพจารย์แล้ว คำพูดของทุกคนล้วนจำเป็นต้องผ่านการทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ประโยคนี้ยังคงเป็นการว่ากันไปตามสถานการณ์ หาใช่ข้าใช้ความอาวุโสมาข่มเจ้าหยวนเป่า หรือรู้สึกว่าประกายเฉียบคมของแม่นางน้อยเช่นเจ้าสาดจ้าเกินไป จำเป็นต้องสยบเอาไว้หน่อย ไม่เลย ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่มีกฎเกณฑ์เลวๆ ที่ยุ่งเหยิงแบบนี้ ตอนนี้ไม่มี วันหน้าก็ไม่มีทางมี”

หยวนเป่ายิ้มกล่าว “แต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์ผู้เฒ่าจูก็เป็นคนเปิดเผยใจกว้างเสมอ หยวนเป่าไม่มีทางคิดอะไรเหลวไหล”

เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจไม่หยุด

พ่อครัวเฒ่าพูดอะไรไป แม่นางน้อยก็ฟังเข้าหูทั้งหมด

ตำราเทพเซียนมากมายขนาดนั้นล้วนเป็นพ่อครัวเฒ่าที่ซื้อมาเก็บไว้บนภูเขา เหตุใดถึงมีตนคนเดียวที่กลายเป็นคนเสเพลไม่เอาไหนกันนะ?

คนเปรียบเทียบกับคน ชวนให้คนโมโหตายได้จริงๆ

หยวนเป่าพาเฉินยวนจีสหายรักและน้องชายที่ทึ่มทื่อมาเยือนพร้อมความฮึกเหมิและจากไปพร้อมความฮึกเหิม คนทั้งสามพากันเดินออกไปจากลานบ้าน

เฉินหลิงจวินพึมพำ “ช่างเป็นผู้หญิงที่เผด็จการจริงๆ”

จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ภูเขาลั่วพั่วควรมีความคิดเช่นนี้ เอามาใช้ทะเลาะและงัดข้อกัน ย่อมมีประโยชน์มาก ดังนั้นข้าจะพูดกับพวกเจ้าเอาไว้ก่อน ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จากการประชุมในศาลบรรพจารย์จะเป็นอย่างไรก็ห้ามทำให้แม่นางน้อยเสียใจ”

เว่ยป้อส่ายหน้า “การกระทำเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มีผลดีเสียเลย ในความเป็นจริงแล้ว กิจการของพื้นที่มงคลจำนวนไม่น้อยในใต้หล้าไพศาล โดยภาพรวมแล้วก็ล้วนอิงตามแนวทางเช่นนี้ แล้วก็ปฏิบัติเช่นนี้ ถึงขั้นพูดได้ว่ายังไม่ตรงไปตรงมาเท่าที่หยวนเป่ากล่าวด้วยซ้ำ ด้านหนึ่งก็เพราะหากทำตัวหน้าเลือด ชื่อเสียงก็จะฉาวโฉ่ วันหน้าคิดจะเป็นตัวสำรองของสำนักอักษรจง เลื่อนขั้นเป็นสำนักของแท้แน่นอน ย่อมมีอุปสรรคสูงมาก ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เหมือนอย่างที่หยวนไหลเป็นกังวล หยวนเป่าดูแคลนจิตใจคนมากเกินไป ยิ่งเป็นเมล็ดพันธ์บนมหามรรคา หรือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ ไม่พูดถึงทั้งหมด เอาแค่คนส่วนใหญ่ ล้วนต้องคิดก่อกบฏ หันกลับมาเป็นศัตรูคู่แค้นกับภูเขาลั่วพั่วแน่นอน สุดท้ายก็ง่ายที่จะกลายเป็นการวิดน้ำในบ่อให้แห้งเพื่อจับปลา”

เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “ตอนนี้แม่นางน้อยเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเท่าไรเอง? สามารถมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ได้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”

สีหน้าของเว่ยป้อพลันมืดทะมึน

เจิ้งต้าเฟิงถาม “เกิดเรื่องกับหมี่ลี่น้อยหรือ?”

ก่อนหน้านี้จิตของเว่ยป้อแค่สัมผัสได้อย่างลี้ลับ ตอนนี้จึงรีบโคจรวิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือทันที

คิดไม่ถึงว่าเฉินหลิงจวินจะทะยานลมขึ้นสูง ออกจากภูเขาลั่วพั่วไปโดยตรง มองตามไปคล้ายรุ้งยาวสีเขียวเส้นหนึ่ง

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “เผยเฉียนปกป้องหมี่ลี่น้อยไว้ได้แล้ว”

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “เว่ยป้อ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมาจัดการ ภูเขาลั่วพั่วจะจัดการเอง”

เว่ยป้อไม่ถือสา เขาพยักหน้ารับ “ต่อให้ข้าจัดการก็คงจัดการได้ไม่ง่าย อีกอย่างต้องไปประชุมที่เมืองหลวงพอดี ข้าไปก่อนล่ะ พวกเจ้าตามสบาย”

จูเหลี่ยนพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนเสียเอง “แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย เกรงใจแย่”

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นรออีกเดี๋ยวข้าค่อยไป?”

จูเหลี่ยนกลับลุกขึ้นยืนแล้ว “ธุระใหญ่ของซานจวินสำคัญกว่า รีบไปรีบกลับ จะได้เอาทรัพย์สินหลายๆ ก้อนกลับมาด้วย”

ร่างของเว่ยป้อหายวับไป พริบตาเดียวก็ห่างไปไกลพันลี้

เจิ้งต้าเฟิงบอกแม่หนูหน่วนซู่ว่าไม่ต้องตึงเครียด ยิ่งไม่ต้องตามเฉินหลิงจวินไปที่เมืองหงจู๋ซึ่งเป็นจุดรวมตัวกันของแม่น้ำสามสายแห่งนั้น

เจิ้งต้าเฟิงแทะเมล็ดแตงต่ออีกครั้ง

ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา จะมีคนถูกรังแกในถิ่นของบ้านตัวเองงั้นหรือ? ล้อท่านปู่เจ้าเล่นหรืออย่างไร

จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็นวดคลึงปลายคาง โชคดีที่เจ้าขุนเขาหนุ่มไม่ได้อยู่บนภูเขา ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ คาดว่าคงปล่อยหนึ่งหมัดไปก่อน อย่างมากสุดก็หาสถานที่ที่ไร้ผู้คนสะบั้นสายน้ำบางแห่งแล้วค่อยพูดคุยกันด้วยเหตุผล

……

ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ต้าหลี อันที่จริงห้องแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก

แต่หากคิดจะเข้ามาในนี้ นั่งลงพูดคุย หมวกขุนนางก็ต้องใหญ่มากพอ หรือไม่ก็ต้องมีขอบเขตสูงมากพอ

ซ่งเหอฮ่องเต้หนุ่มหลับตาทำสมาธิ วันนี้แหกกฎไม่มีการประชุมในท้องพระโรง ก็เพื่อการประชุมที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

อีกทั้งสถานการณ์ยังค่อนข้างพิเศษ ส่วนใหญ่ผู้ที่มาร่วมล้วนเป็นผู้ฝึกตน ขุนนางของต้าหลีมีน้อยจนนับนิ้วได้ แค่เจ้ากรมพิธีการและรองเจ้ากรมอีกสองท่าน รวมเป็นสามคนเท่านั้น

ซ่งเหอลืมตาขึ้น น่าจะเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งก้านธูป ฮ่องเต้หนุ่มมองโต๊ะหนังสือ บนโต๊ะมีภาพวาดขุนเขาสายน้ำของหลี่อิ๋งชิว เป็นอดีตฮ่องเต้ที่นำมาวางไว้ที่นี่ หลังจากซ่งเหอสืบทอดราชบัลลังก์ก็ไม่เคยเอาของชิ้นใดในห้องออกไป เพียงแค่เพิ่มของบางชิ้นเข้ามาเท่านั้น แต่ภายหลังรู้สึกว่าดูเกะกะเกินไปก็เลยเอาออกไปเงียบๆ

สิ่งที่ใช้บรรจุแกนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำของหลี่อิ๋งชิวคือโถกระเบื้องเคลือบชิ้นหนึ่งที่ถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตเป็นผู้สร้าง อันที่จริงมองมันแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาไม่นอย

หลี่อิ๋งชิวไม่ใช่คนบนภูเขา แต่ไหนแต่ไรมาพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาดของล่างภูเขาล้วนไม่เข้าตาตระกูลเซียนบนภูเขา แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นข้อยกเว้น หลี่อิ๋งชิวคือคนผู้หนึ่งที่มีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์วงการภาพวาดของต้าสุย ไม่เพียงแต่สกุลซ่งต้าหลีเท่านั้นที่ชื่นชอบ อันที่จริงตระกูลเซียนบนภูเขาหลายแห่งของแจกันสมบัติทวีปก็ชื่นชอบผลงานของเขามากเช่นกัน

ในกระบอกกระเบื้องเคลือบนอกจากม้วนภาพขุนเขาสายน้ำฝีมือของหลี่อิ๋งชิวแล้วยังมีภาพวาดวิหคคู่บุปผาของเปียนเหย่อีกด้วย

ซ่งมู่ชำเลืองตามองม้วนภาพทั้งหลายที่อยู่ในโถกระเบื้อง ฮ่องเต้หนุ่มอยากจะเอ่ยขอโทษหลี่อิ๋งชิวจริงๆ ลำบากภาพขุนเขาสายน้ำของท่านผู้เฒ่าแล้วที่ต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกับภาพวิหคบุปผาของคนผู้นี้