บทที่ 641.3 ผู้ที่ยินดีค้ำประคองผืนฟ้า โปรดลุกขึ้นยืน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ความประทับใจที่ซ่งเหอมีต่อเปียนเหย่ย่ำแย่อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผลงานหรือนิสัยใจคอของเขาล้วนเอามาเป็นหน้าเป็นตาอะไรไม่ได้ คนผู้นี้คือจิตรกรตกอับคนหนึ่งของอดีตราชวงศ์สกุลหลู แต่ย้ายมาอยู่แคว้นต้าหลีที่ตอนนั้นยังเป็นแคว้นใต้อาณัติ คือคนต่างถิ่นน้อยคนนักที่มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ของต้าหลีในยุคสมัยนั้น บนภาพวาดทุกภาพของเขาล้วนประทับตราหยกลัญจกรของฮ่องเต้ต้าหลีสองพระองค์ คาดว่าตัวเปียนเหย่เองคงคิดไม่ถึงว่าตนเองตายไปไม่ถึงร้อยปี เพียงแค่เพราะตอนนั้นเอาชีวิตอยู่รอดในราชวงศ์สกุลหลูไม่ได้จึงแล่นมาหาข้าวกินไปวันๆ ในใต้หล้าที่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ทุกวันนี้อยู่ดีๆ กลับกลายมาเป็นจิตรกรเอกในวงการภาพวาดของแจกันสมบัติทวีปเสียแล้ว ถ้อยคำสรรเสริญเยินยออะไรที่บอกว่า ‘เชี่ยวชาญเคล็ดลับการวาดวิหคบุปผา จัดวางองค์ประกอบได้อย่างยอดเยี่ยม สีสันสดใสเหมือนมีชีวิตจริง’ ‘ความรู้ลึกซึ้งเลิศล้ำ เป็นต้นแบบของทั้งอดีตและปัจจุบัน’ ล้วนผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย

ตอนที่ซ่งเหอยังเด็กได้รับฟังคำสั่งสอนร่วมกับบรรดาองค์ชายทั้งหลายที่นี่ บางคนก็มีความเห็นตรงกับซ่งเหอ บอกว่าภาพวาดของคนผู้นี้สีสันฉูดฉาดเกินไป ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ไม่ได้มีคำวิจารณ์ต่อภาพวาดของเขาว่าดีหรือเลว เพียงบอกว่าวันหน้าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เป็นเจ้าของห้องห้องนี้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ต้องเก็บภาพวาดของคนผู้นี้เอาไว้

แต่ในโถกระเบื้องใบนั้นกลับมีเทียบอักษรหนึ่งที่เป็นสมบัติล้ำค่าสมชื่ออย่างแท้จริง มีชื่อว่า ‘เทียบกลับบ้านเกิดไม่สู้หวนคืนบ้านเกิด’

ถึงขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันดับหนึ่งของห้องทรงพระอักษรแห่งต้าหลีห้องนี้

นั่นคือเทียบอักษรชิ้นหนึ่งของอาจารย์ซ่งเหอ ชุยฉานราชครูแห่งราชวงศ์ต้าหลี แน่นอนว่าต้องเป็นของจริง

เทียบอักษรของชุยฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรแบบหวัดนั้น เขียนได้เลิศล้ำยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนให้การยอมรับว่าหนึ่งคำมีค่าดุจทองพันชั่ง

ลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งในอดีต ซิ่วหู่ฉุยชาน คู่ควรกับคำว่าซิ่ว (ปัก/ลายปัก/งานปัก) ก็เหมือนกับที่เฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปคู่ควรกับคำว่าฉุน (บริสุทธิ์ไม่มีอะไรเจือปน)

ชุยฉานมีเทียบกลางมวลบุปผาสี่เทียบ เทียบเหนือเมฆสี่เมฆ เทียบริมน้ำพุสี่เทียบ เทียบยอดเขาสี่เทียบ รวมทั้งหมดสิบหกเทียบที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมา

สิบหกเทียบกระจายอยู่ในเก้าทวีป ล้วนตกอยู่ในมือของนักสะสมใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาเคียดแค้นชุยฉานอย่างมาก ต้องทุ่มทรัพยากรไปมหาศาลถึงจะสามารถซื้อเทียบตัวอักษรสองเทียบอย่าง ‘เทียบขอทานขอข้าว’ และ ‘เทียบชิงตำแหน่ง’ มาได้ เขาเอามาเผาทำลายต่อหน้าทุกคน ถูกมองว่าเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ ชวนให้ทุกคนสาสมใจยิ่งนัก

เพียงแต่ว่าร้อยปีให้หลังความจริงถึงได้ปรากฏ ผู้ฝึกตนเฒ่าที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ที่รังเกียจชุยฉานที่สุด ข้าคืออันดับหนึ่ง’ ผู้นี้กลับถูกลูกหลานเอาความลับมาเปิดเผย คนนอกถึงได้รู้ว่าเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นี้ทำลายเพียงแค่เทียบของปลอมสองเทียบเท่านั้น ส่วนผลงานจริงกลับเก็บรักษาเอาไว้ให้สืบทอดต่อกันไปในตระกูล

นอกจากนี้ยังเล่าลือกันว่าสกุลหลิวของธวัลทวีป นครจักรพรรดิขาว เจ้าประมุขสกุลอวี้แผ่นดินกลาง เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก ต่างก็เก็บรักษาเทียบชิ้นหนึ่งเอาไว้

ชุยฉานเดินเข้ามาในห้อง ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า ‘ฝ่าบาท เริ่มประชุมกันได้แล้ว’

เป็นมารยาทระหว่างจักรพรรดิกับขุนนาง

ฮ่องเต้หนุ่มรีบลุกขึ้นยืน คารวะกลับคืน คือมารยาทระหว่างอาจารย์และศิษย์

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพียงแต่ซ่งเหอกลับทำทุกครั้งไม่มีข้อยกเว้น ต่อให้อยู่ต่อหน้าขุนนางหลักคนสำคัญที่มาประชุมเล็ก เขาก็ยังทำเช่นนี้

ชุยฉานนั่งลงได้ไม่นานเท่าไร เจ้ากรมพิธีการและรองเจ้ากรมรวมทั้งสิ้นสามคนก็พากันคารวะแล้วนั่งลง

จากนั้นก็เป็นคนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปแต่ละท่าน

เจ้าสำนักโองการเทพ เซียนลัทธิเต๋า เทียนจวินใหญ่ฉีเจิน

ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี หร่วนฉงเจ้าสำนักกระบี่หลงเฉวียน

บรรพจารย์ของศาลลมหิมะ ผู้เฒ่าที่บรรลุมรรคาซึ่งมีหน้าตาอ่อนเยาว์ ช่วงนี้เขาเพิ่งจะปรากฏตัวอีกครั้ง ซึ่งเป็นช่วงการประลองสามครั้งระหว่างสวมลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยง

ภูเขาเจินอู่ บุรุษสะพายกระบี่ท่านหนึ่งที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์

ในสายตาของคนนอก ขอแค่ภูเขาเจินอู่มีหม่าขู่เสวียนคนเดียวก็มีอนาคตแล้ว

แต่อันที่จริงศาลลมหิมะเองก็ไม่เลว มีเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนอยู่คนหนึ่ง แต่ความไม่เพียงพอในความสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวก็คือ เว่ยจิ้นไม่ได้มีความผูกผันกับศาลลมหิมะมากนัก สาเหตุเพราะการสืบทอดทางฝ่ายอาจารย์จึงทำให้ห่างเหินเย็นชากับศาลลมหิมะมาโดยตลอด และตอนนี้ก็ยิ่งไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็น่าจะมีตำแหน่งที่นั่งของเซียนกระบี่เว่ยจิ้นอยู่ด้วย

ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ

วิญญูชนใหญ่ท่านหนึ่งของสำนักศึกษากวานหู

เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น

ฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่า

บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางแห่งราชวงศ์ต้าสุย

ซานจวินใหญ่แห่งห้าขุนเขาใหม่ของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ว่าวันนี้มาเยือนแค่สี่ท่าน คนหนึ่งในนั้นก็คือเว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือและจิ้นชิงแห่งขุนเขากลาง

มีเพียงฟ่านจวิ้นเม่าแห่งขุนเขาใต้ที่ไม่ได้ปรากฏตัว

จวี้จื่อแห่งสำนักโม่

สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่ที่ชอบวางกระบี่พาดขวางไว้ด้านหลัง

บรรพบุรุษท่านหนึ่งของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน

เทพวารีสองท่านจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

เล่าลือกันว่าต้องการนำน้ำของหกแม่น้ำสิบสองลำคลองมารวมตัวกันกลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร!

ดูท่าข่าวลือที่น่าตะลึงพรึงเพริดนี้จะไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยเสียแล้ว

เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็น หลังจากได้รับเสื้อเกราะโหวจื่อไปก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก พลังพิฆาตสูงมาก

สตรีคนหนึ่งของภูเขาตะวันเที่ยงที่มีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ ว่ากันว่าคือบรรพจารย์ท่านหนึ่งที่ช่วงนี้เริ่มดูแลเรื่องเงินทอง เมื่อเทียบกับบรรพจารย์ผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงกลุ่มนั้นแล้ว นางก็คือคนที่ไร้นามไร้ชื่อเสียง

วันนี้นางนั่งอยู่ปลายแถว

เมื่อเทียบกับอดีตภูเขาผู้นำของต้าหลีทั้งหลายแล้ว ที่นั่งของนางยังค่อนไปทางด้านหลังยิ่งกว่า

ตามหลักแล้วภูเขาตะวันเที่ยงกับนครลมเย็นคือพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์ลึกล้ำมาก แต่ก่อนหน้านี้ที่เจ้าประมุขสกุลสวี่รอเข้าเฝ้าอยู่ที่อื่น เห็นผู้ฝึกตนหญิงจากภูเขาตะวันเที่ยงข้างกายผู้นี้ก็แค่พยักหน้าทักทายเท่านั้น ขนาดจะพูดคุยปราศรัยด้วยยังคร้านจะทำ

กลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนคารวะเขาก่อนนั่งลงอีกครั้ง

ผู้ฝึกตนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำรวมแล้วสามสิบหกท่าน ก่อนหน้านี้ได้รวมตัวกันอยู่ในห้องโถงแห่งหนึ่ง คนส่วนใหญ่ต่างพูดคุยกัน ยกตัวอย่างเช่นสกุลเจียงอวิ๋นหลินกับตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าเป็นบ้านดองกัน ส่วนสกุลสวี่นครลมเย็นก็เป็นบ้านดองกับสกุลหยวนเสาคานแห่งแคว้น ดังนั้นจึงพอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกับรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายขวาอยู่บ้าง ส่วนเจ้ากรมพิธีการก็ยิ่งนั่งอยู่ข้างกายหร่วนฉง พูดจาสนิทสนมชิดเชื้อ ซานจวินสองท่านอย่างเว่ยป้อและจิ้นชิงต่างฝ่ายต่างรังเกียจกันเอง ส่วนซานจวินใหม่อีกสองท่านก็ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะไม่เลว จึงคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันอยู่ ฉีเจินพูดคุยกับจวี้จื่อแห่งสำนักโม่อย่างถูกคอ แม้แต่บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยาง จะดีจะชั่วก็เก็บตัวอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นมานานหลายปี บวกกับที่มีวิญญูชนใหญ่จากสำนักศึกษากวานหูอยู่ด้วย จึงสามารถพูดคุยเรื่องการศึกษาหาความรู้กันได้

น่าสงสารผู้ฝึกตนหญิงจากภูเขาตะวันเที่ยงคนนี้ที่ไม่มีใครพอจะพูดคุยด้วยได้แม้แต่คนเดียว

ชุยฉานลุกขึ้นยืนแล้วพูดเข้าประเด็นทันที “วันนี้เรียกทุกท่านมารวมตัวกันเพราะจะประชุมสิบเรื่อง”

ในห้องกับนอกห้องคือฟ้าดินสองแห่ง

ทุกคนต่างก็ตั้งใจทำสมาธิ ไม่มีสีหน้าผ่อนคลายใดๆ

นอกจากที่การประชุมในห้องทรงพระอักษรวันนี้มีความเกี่ยวข้องกับทุกคนอย่างแนบแน่นแล้ว ขอบเขตที่เป็นดั่งเมฆหมอกล้อมวนของราชครูต้าหลีในทุกวันนี้ก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน

ส่วนคนสำคัญสามท่านของกรมพิธีการก็ยิ่งเงี่ยหูตั้งใจฟังเหมือนนักเรียนกำลังฟังคำสอนของครู

ชุยฉานเอ่ย “เรื่องแรก ราชสำนักจะประกาศภูเขาผู้ช่วยผู้สืบทอดของห้าขุนเขา”

ซานจวินสี่ท่านย่อมต้องฟังเรื่องนี้อย่างตั้งใจ เพราะเกี่ยวพันกับมหามรรคาของพวกเขา

ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องในบ้านของห้าขุนเขาเท่านั้น ยังเกี่ยวพันไปถึงผลประโยชน์ส่วนตนของทุกคนที่นั่งอยู่ด้วย

เจ้ากรมพิธีการลุกขึ้นยืน เปิดสมุดเล่มหนึ่งออกและเริ่มร่ายรายชื่อ

พอเจ้ากรมพิธีการเอ่ยคำสุดท้ายจบก็มองชุยฉาน ชุยฉานที่ยืนอยู่ตลอดเวลาผงกศีรษะเบาๆ เจ้ากรมพิธีการผู้เฒ่าถึงได้นั่งลง

ชุยฉานเอ่ย “เรื่องที่สอง เลือกภูเขาสำรองสำนักอักษรจงจากกลุ่มคนที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกท่าน”

เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นยืดเอวตั้งตรง นั่งสงบอย่างสำรวม

ผู้ฝึกตนหญิงของภูเขาตะวันเที่ยงคนนั้นก็รีบสำรวมสีหน้า

ดูเหมือนสตรีจะไม่กล้ามองอริยะหร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนตรงๆ สักเท่าไร

ต่อให้เป็นตอนก่อนหน้านี้ที่รอเรียกเข้าเฝ้า สตรีก็ยังไม่เคยมองหร่วนฉงสักแวบเดียว

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ภูเขาตะวันเที่ยงคิดจะเป็นตระกูลเซียนอักษรจงก็จะต้องเอาโชคชะตาวิถีกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋งทั้งหมดมาเก็บไว้ในกระเป๋า ต้องเปิดประตูจวนเซียน รับสมัคร กว้านหาตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ทั้งหมดมาจากที่นั่น

สุดท้ายเป็นภูเขาสำรองสี่ลูกซึ่งมีสกุลสวี่นครลมเย็นและภูเขาตะวันเที่ยงเป็นหนึ่งในนั้นที่มีหวังจะได้เลื่อนขั้นเป็นสำนัก หลังจากนี้ราชสำนักต้าหลีจะทุ่มเททรัพยากรและเงินทองให้พวกเขาอย่างเต็มที่

เรื่องที่สาม ปรึกษากันเรื่องขุดเจาะลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร รวมไปถึงเสนอตัวเลือกจากเซียนซือแต่ละฝ่ายที่รับผิดชอบดูแลช่วยเหลือเรื่องนี้

เทพวารีของแม่น้ำใหญ่สองท่านที่ทุกวันนี้มีระดับขั้นเทียบเท่ากับหยางฮวาแห่งแม่น้ำเถี่ยฝูมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างที่ยากจะปกปิด

แม้ว่าการประชุมในวันนี้จะยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งลำน้ำใหญ่ แต่การที่พวกเขาถูกเชิญให้มาร่วมประชุมในวันนี้ เดิมทีก็ถือเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงอยู่แล้ว

นอกจากนี้ราชสำนักต้าหลีจะเลือกคนมาสามคนได้แก่ ขุนนางบุ๋นหลิ่วชิงเฟิง แม่ทัพบู๊กวนอี้หราน หลิวสวินเหม่ย

ตัวเลือกผู้ช่วยคนอื่นๆ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา ภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงกับลำน้ำใหญ่ในอนาคตทั้งหลายต่างก็พากันเสนอความเห็น

ส่วนบรรพบุรุษสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่เสียแรงเปล่าที่เดินทางมาในครั้งนี้ เพราะทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่จะไหลลงสู่มหาสมุทรอยู่ใกล้กับสกุลเจียงอวิ๋นหลินมาก ดังนั้นเขาจึงเสนอชื่อเจียงอวิ้นลูกหลานสกุลเจียงคนหนึ่งให้เข้าร่วมเรื่องนี้ด้วย

หลิวเหล่าเฉิงผู้ถวายงานของสำนักเจินจิ้งยิ้มอย่างรู้กัน

เรื่องที่สี่ก็คือคัดเลือกศาลภูเขาสายน้ำของแต่ละแห่งออกมาหนึ่งแห่ง ให้เลื่อนขึ้นเป็นศาลที่ถูกต้องตามระบบสืบทอด และทางราชสำนักจะประกาศราชโองการให้ ผู้ฝึกตนของภูเขาแห่งอื่นต้องช่วยกันเพิ่มควันธูป หากเป็นศาลที่ถูกแบ่งแยกว่าเป็นศาลเถื่อนจะต้องมีการทำลายทิ้งทันที และภูเขาของแต่ละพื้นที่ก็ต้องรับผิดชอบลงมือกำราบ

รองเจ้ากรมพิธีการสองท่านทยอยกันอ่านเนื้อหาในสมุดที่ตัวเองถืออยู่

เรื่องที่ห้า จะย้ายป๋ายอวี้จิงจำลองในเมืองหลวงต้าหลีไปยังอาณาเขตขุนเขากลางเก่าของราชวงศ์จูอิ๋ง

จวี้จื่อแห่งสำนักโม่ลุกขึ้นยืน แล้วอธิบายถึงเรื่องที่ต้องระวังอย่างกระชับได้ใจความ

สามารถสังหารคนที่ขอบเขตต่ำกว่าขอบเขตสิบสามได้ คนที่รับผิดชอบดูแลป๋ายอวี้จิงคือคนสนิทที่คุ้นเคยกันดีกับจิ้นชิงซานจวินขุนเขากลาง สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่

เรื่องที่หกปรึกษากันว่าวันหน้ากลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปทั้งหมดจะต้องจ่ายภาษีให้กับราชสำนักต้าหลีตามกฎ

ในห้องทรงพระอักษรพลันเงียบสงัด

ชุยฉานเปิดปากเอ่ย “เรื่องนี้ซับซ้อน จำเป็นต้องคิดทุกด้านให้รอบคอบ ไม่ใช่ว่าคุยกันวันสองวันแล้วจะได้เรื่อง วันนี้ทุกท่านแค่บอกว่าจะตกลงหรือไม่ตกลงก็พอ หากตกลง ทุกท่านก็ไปใคร่ครวญรายละเอียดกันมา ไม่ตกลงก็เอาวางไว้ก่อน ช่วงนี้ราชสำนักต้าหลีจะไม่จงใจเล่นงานใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะตอบตกลงหรือไม่ เมื่อออกไปจากที่นี่ทุกคนจะได้รับสมุดหนึ่งเล่ม ในนั้นจะเขียนรายละเอียดไว้อย่างชัดเจน ภูเขาที่แตกต่างกันจะมีรายรับรายจ่ายบางอย่างที่แตกต่าง แต่ก็ไม่ได้มีความต่างกันมากนัก ตอนนี้ทุกท่านยังไม่ต้องรีบร้อนแสดงท่าที วันนี้แค่บอกกล่าวทุกท่านให้รู้ไว้ก่อน อย่างมากก็จะยังมีระยะเวลาชะลอให้อีกหนึ่งปี”

เรื่องที่เจ็ด เรื่องที่ราชวงศ์ต้าหลีขอยืมเงินขอยืมคนจากภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ รวมถึงจะชดใช้คืนอย่างไร นอกจากนี้ก็คือภูเขาแต่ละลูกจำเป็นต้องให้ผู้ฝึกตนลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์เพื่อ ‘ปลอบขวัญ’ เหล่าลูกหลานของอดีตอ๋องและคนเก่าคนแก่ของราชวงศ์แต่ละแห่งที่ล่มสลาย รวมไปถึงแคว้นใต้อาณัติของพวกเขา เชิญให้พวกเขามาพักที่เมืองหลวงต้าหลีระยะเวลาหนึ่ง หากชอบขนบธรรมเนียมของที่แห่งนี้ก็สามารถอยู่อาศัยในระยะยาวได้

เรื่องที่แปด ปรึกษากันเรื่องสร้างวัดและสนับสนุนบำรุงพระพุทธศาสนาให้กลับมารุ่งเรืองในแจกันสมบัติทวีป ให้ภิกษุสมณศักดิ์สูงบางท่านรับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส

ได้ยินเรื่องนี้ เทียนจวินฉีเจินขมวดคิ้วมุ่น

เรื่องที่เก้า สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยจะต้องกลับเข้ามาเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ หากเป็นไปได้ สำนักศึกษาหลินลู่ก็ต้องพยายามช่วงชิงตำแหน่งมาให้ได้ด้วย

บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางปลาบปลื้มอย่างยิ่ง

แต่ละเรื่อง แต่ละรายการที่ต้องประชุม ล้วนดำเนินไปอย่างว่องไวภายใต้การนำของชุยฉาน

ฮ่องเต้หนุ่มซ่งเหอเพียงแค่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ เขาไม่เพียงแต่ไม่โกรธเคืองที่ราชครูทำหน้าที่เกินขอบเขต กลับกันยังมีสีหน้าแช่มชื่น

ชุยฉานเอ่ย “เก้าเรื่องก่อนหน้านี้ล้วนทำไปเพื่อเรื่องที่สิบซึ่งเป็นเรื่องสุดท้าย และเรื่องสุดท้ายนี้ก็เกี่ยวพันกับชะตาชีวิตของทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ รวมถึงฝ่าบาทด้วย”

ชุยฉานโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปก็ล้วนปรากฏสู่สายตาของทุกคน

ภูเขา สำนักที่สำคัญทั้งหมดล้วนเหมือนแสงตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นบนม้วนภาพวาด

ชุยฉานเอ่ย “พวกเราต้องมาคุยกันว่าหลังจากที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตกแล้ว ตลอดทั้งใบถงทวีปจะล่มสลายตามไป แจกันสมบัติทวีปควรจะวางแนวเส้นป้องกัน ขัดขวางการกรีฑาทัพขึ้นเหนือของเผ่าปีศาจอย่างไร”

ห้าภูเขาของหนึ่งทวีปจะเป็นผู้นำของกลุ่มขุนเขา ลำน้ำใหญ่ของภาคกลางจะรวบรวมชะตาน้ำของหนึ่งทวีปเอาไว้

สำนักศึกษากวานหู สำนักศึกษาซานหยา สำนักศึกษาหลินลู่ ล้วนเป็นจุดรวมตัวของโชคชะตาสายบุ๋นของหนึ่งทวีป

สำนักโองการเทพ สำนักกระบี่หลงเฉวียน ศาลลมหิมะ ภูเขาเจินอู่ นครมังกรเฒ่า สกุลเจียงอวิ๋นหลิน สำนักเจินจิ้งแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ภูเขาตะวันเที่ยง รวมถึงสกุลสวี่นครลมเย็นล้วนเป็นพื้นที่สำคัญในการป้องกันของหนึ่งทวีป

บวกกับกองกำลังใต้อาณัติแต่ละแห่ง รวมไปถึงภูเขาใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ล้วนเป็นเม็ดหมากที่ถูกฝังเอาไว้มิอาจขยับเขยื้อน

ชุยฉานเอ่ย “ลำพังมีแค่พื้นที่สำคัญป้องกันแนวเส้นเลียบมหาสมุทร ยกตัวอย่างเช่นนครมังกรเฒ่า สกุลเจียงอวิ๋นหลิน ฯลฯ ก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก ยังต้องมีแผนการศึกที่ลึกล้ำมากพอ รวมไปถึงแผนการรับมือที่ภูเขาแต่ละแห่งมีร่วมกันด้วย”

“เปลี่ยนจุดเป็นเส้น แล้วจึงลามไปบนพื้นผิวราบ แค่นี้ยังคงไม่พอ คร่ำครึตายตัวเกินไป”

“ยังต้องใช้เรือกระบี่โจมตี เรือข้ามฟากของภูเขาอีกเป็นจำนวนมาก จะต้องทุ่มเงินเทพเซียนไปอีกมากมายนับไม่ถ้วน”

“นอกจากนี้แผนการมากมายก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ในอนาคตพวกเจ้าย่อมรู้ไปทีละเรื่องเอง”

ห้องทรงพระอักษรของเมืองหลวงต้าหลีตกอยู่ในภาวะเงียบสงัดอีกครั้ง

ชุยฉานชี้นิ้วไปยังจุดที่ห่างไปทางทิศใต้ยิ่งกว่าบนม้วนภาพของอาณาเขตแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงทางทิศตะวันตก หนึ่งคือใบถงทวีป อีกหนึ่งก็น่าจะเป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

ชุยฉานพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลกลับต้องให้แจกันสมบัติทวีปที่เล็กที่สุดมาช่วยขัดขวางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจ นี่คือเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าเลยหรือไม่? ข้าอยากจะให้เจ็ดทวีปของใต้หล้าไพศาลได้เห็นนักว่าคนที่หัวเราะจนตายเป็นอย่างไร”

สุดท้ายชุยฉานพูดเสียงหนัก “ใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาลยังขัดขวางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจไม่อยู่ ถูกกำหนดมาแล้วว่าเมื่อถูกโจมตีจะต้องจมลง ถ้าอย่างนั้นก็มอบหน้าที่นี้ให้แก่แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ มาทำเรื่องนี้ให้สำเร็จก็แล้วกัน ทุกท่าน สถานการณ์ใหญ่ที่วุ่นวายโกลาหลกำลังจะบังเกิด ผู้ใดที่ยินดีค้ำประคองผืนฟ้า โปรดลุกขึ้นยืน”

ฮ่องเต้หนุ่มลุกขึ้นก่อนใคร

ทุกคนที่นั่งอยู่ก็พากันลุกขึ้นด้วย

และเวลานี้ก็มีคนผู้หนึ่งที่มองดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าแซ่ฟ่าน แน่นอนว่าไม่ใช่ตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่า ข้ามาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง พอจะมีทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้าง ยินดีใช้เงินเทพเซียนมาเป็นเสาหลักกลางกระแสน้ำ ช่วยเหลือแจกันสมบัติทวีปเท่าที่ความสามารถน้อยนิดของข้าจะเอื้ออำนวย”

ในระเบียงด้านนอกห้องทรงพระอักษรมีขันทีเฒ่าสวมชุดหม่างสีแดงสดคนหนึ่งยืนอยู่ สีหน้าเขาเหยเก เหล่ตามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่นั่งยองพิงผนัง

เด็กหนุ่มชุดขาวกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าผู้อาวุโสทุ่มสุดชีวิตวิ่งเต้นจนอ่อนล้าเพลียแรง เหนื่อยจะตายอยู่แล้วกว่าจะหลอกตาเฒ่าฟ่านผู้นี้มาที่นี่ได้ เมื่อครู่นี้ก็ต้องยืนอยู่ตั้งนาน จะไม่ให้ข้าพักบ้างเลยหรือไร? มารดามันเถอะ เจ้าคิดว่าข้าจะขี้จะเยี่ยวอยู่ตรงนี้งั้นรึ? เจ้าจะมาสนทำไมว่าข้าจะนั่งหรือจะยืน? หากเจ้ายังมองข้าอีก คอยดูเถอะข้าจะเล่นท่าลิงเด็ดลูกท้อ ท่างมจันทร์ใต้มหาสมุทรใส่เจ้า เชื่อหรือไม่ กลัวหรือไม่?”

ฟ้าดินถูกตัดขาด ไม่มีใครได้ยินถ้อยคำนอกห้อง แต่ชุยฉานในห้องก็ยังตวาดเบาๆ ว่า “ชุยตงซาน!”

เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วสะบัดชายแขนเสื้อ ไม่ได้เดินอาดๆ เข้าไปในห้องทรงพระอักษร แต่จากไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “มีข่าวดีข้อหนึ่ง กำแพงเมืองปราณกระบี่สามารถถ่วงเวลาได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้สองถึงสามปี”

ชุยตงซานไปที่ป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งนั้น เดินขึ้นหอสูงไปเพียงลำพัง

ในชั้นบนสุด ชุยตงซานมองทะลุหน้าต่างไปยังท้องฟ้าด้านนอก เริ่มคิดถึงช่วงเวลาตอนเด็กๆ ที่ถูกขังให้อ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือบ้างแล้ว

ไม่เคยคิดเลยว่า คนที่ตอนนี้ยังคงเป็นเด็กหนุ่ม ก็เป็นผู้เฒ่าผมขาวโพลนด้วยเช่นกัน

เด็กหนุ่มไม่รู้รสชาติความกลัดกลุ้มกับมารดามันสิ เพียงนกกระเรียนร้อง ความวุ่นวายรอบด้านล้วนเลือนสิ้นกับมารดามันสิ

ในนามีต้นกล้าแต่ต้นกล้าไม่ออกรวง คือเรื่องที่ทำให้คนเจ็บปวดมานับแต่โบราณ

หนึ่งทวีปเป็นเช่นนี้ หลายทวีปเป็นเช่นนี้ คนในโลกบนภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้

ชุยตงซานยกมือตบหน้าตัวเอง “เวลาอย่างนี้เหตุการณ์อย่างนี้ ร้องไห้เดี๋ยวนี้นะ”

นวดคลึงข้างแก้ม แล้วอ้าปากกว้าง ร้องคำรามหนึ่งที “ข้าดุร้ายนักล่ะ”

พอออกมาจากเมืองหลวงต้าหลี

บนถนนทางหลวง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมองไม่หยุด

เด็กน้อยร่างผอมแห้งอ่อนแอน่าสงสารคนหนึ่งแบกเด็กหนุ่มชุดขาว เด็กน้อยเดินโซเซไปข้างหน้า แต่เด็กหนุ่มกลับทำท่าอารมณ์ดีนัก