บทที่ 642.1 จูเหลี่ยนมีหมัดให้ต้องถาม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เผยเฉียนมาถึงเมืองหงจู๋แล้วก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อย หมี่ลี่น้อยบังอาจไม่ปรากฏตัว เอาแต่แทะเมล็ดแตงอยู่บนภูเขา มโนธรรมถูกแทะไปหมดด้วยแล้วหรือไร? ไปถึงภูเขาลั่วพั่วจะต้องพาโจวหมี่ลี่ไปยืนลงโทษที่ศาลบรรพจารย์ ลงโทษด้วยการยืนเสร็จค่อยให้นางช่วยหน่วนซู่กวาดลานบ้าน

เพียงแต่ไม่นานเผยเฉียนก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ บนถนนที่ห่างไปไกลมีเสียงเอะอะ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังลั่น เผยเฉียนหูดีจึงรีบวิ่งเข้าไป พอได้ยินก็กำไม้เท้าเดินป่าในมือแน่น

นางอดทนข่มกลั้นไม่ได้ออกเดินทางในทันที แต่หยุดรับฟังให้มากขึ้น แล้วถึงได้ดีดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนหลังคา ทอดสายตามองไป สุดท้ายกระโดดข้ามหลังคาเรือนเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำไล่ตามเส้นทางคร่าวๆ ที่ผู้คนตามถนนพูดกัน พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป

ตรงริมขอบอาณาเขตของเมืองหงจู๋มีโค้งน้ำรูปทรงพระจันทร์เสี้ยวอยู่แห่งหนึ่ง บนผืนน้ำคือเรือหลายลำที่ตกแต่งประดับประดาอย่างงดงามเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของสตรี ผู้ที่อยู่ด้านบนคือสตรีชาวเรือที่ชะตาชีวิตน่าสงสาร

เผยเฉียนกระโดดเหยียบไปบนเรือเหล่านั้นสี่ห้าครั้ง เรือแต่ละลำลดระดับลงต่ำเล็กน้อย จากนั้นก็เด้งกลับขึ้นมา ตัวเรือไม่ได้ส่ายโคลงเคลงมากนัก

เผยเฉียนข้ามอ่าวแห่งนั้นมาแล้วก็มุ่งหน้าไปต่อ มองเห็นแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งออกมาจากน้ำเดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง

ตลอดทางที่ผ่านมานี้นางไม่ทันมีเวลามัวสนใจว่าจะดึงดูดสายตาของผู้ฝึกตนหรือภูตตามภูเขาสายน้ำอะไรหรือไม่

จะอย่างไรก็ต้องให้ได้พบหมี่ลี่น้อยก่อนถึงจะวางใจ

แม่นางน้อยชุดดำคนนั้นเดินโยกตัวคลอเพลงเบาๆ อยู่ในป่าอย่างไม่อนาทรร้อนใจต่อสิ่งใด

เผยเฉียนพลิ้วกายลงบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเบาๆ ไม่ได้ปรากฎกายทันที นางกวาดตามองรอบด้านแล้วก็ขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นไม่รู้ พอประเมินได้คร่าวๆ แล้วว่าน่าจะมีปัญหาไม่มาก เพราะถึงอย่างไรภูตน้อยที่ซ่อนตัวฝึกตนซึ่งอยู่ห่างไปแปดสิบจั้งนั้นก็มีตบะห่างชั้นจากเทพวารีที่หวังดีผู้นั้นอยู่มาก เดิมทีเผยเฉียนทั้งร้อนใจทั้งโมโห ผลคือพอเห็นว่าหมี่ลี่น้อยที่เดินโยกไปทางซ้ายย้ายไปทางขวาผู้นั้นยังมีอารมณ์เด็ดใบไม้สีเขียวมรกตข้างทางใบหนึ่งมายัดใส่ปาก ก่อนจะเริ่มเคี้ยวใบไม้ยังมองไปรอบด้านก่อน พอเห็นว่าไม่มีใครก็อ้าปากเสียกว้าง

ตอนนี้เผยเฉียนไม่ร้อนใจแล้ว แต่กลับโมโหหนักยิ่งกว่าเก่า

ก่อนหน้านี้ได้ยินคนพวกนั้นพูดคุยกันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เล็กๆ อิงตามคำบอกของผู้คนที่อยู่บนถนน ก็คือหมี่ลี่มาเดินเที่ยวอยู่แถวๆ แถบของเมืองหงจู๋อย่างสะเปะสะปะคนเดียวอยู่นานมากแล้ว จากนั้นวันนี้ก็ไม่รู้ว่านางที่ฟุบตัวอยู่ริมลำน้ำไปทำอะไรเข้าถึงได้ถูกภูตผู้ตรวจตราจากจวนวารีของเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมาเห็นเข้า นึกว่านางเป็นภูตน้อยแห่งหนองน้ำที่ไม่อยู่ในทำเนียบตระกูล ก็เลยคิดจะรับตัวนางให้ไปทำงานที่แม่น้ำอวี้เจียง โจวหมี่ลี่ไม่ตอบตกลง ไปๆ มาๆ ก็เลยเกิดความขัดแย้งกันขึ้น ดูเหมือนว่าทางฝั่งจวนเทพวารีจะยกเอากฎขุนเขาสายน้ำของต้าหลีขึ้นมาอ้าง ทำเอาหมี่ลี่น้อยตกใจ สรุปก็คือสุดท้ายจึงโดนอีกฝ่ายซ้อมไป

เผยเฉียนรู้ต้นสายปลายเหตุมากกว่า ตามคำบอกของซานจวินเว่ยป้อ หมี่ลี่น้อยมีชาติกำเนิดจากทะเลสาบคนใบ้ของอุตรกุรุทวีป ถึงอย่างไรรากฐานของนางก็เป็นภูตของทวีปอื่น จึงมีความขัดแย้งกับธาตุน้ำในแม่น้ำสามสายของต้าหลีอยู่บ้างจริงๆ ยังดีที่ตอนนี้มีสถานะผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว ผลกระทบจึงแทบไม่มี มาเดินเล่นรับเอาปราณน้ำของแต่ละฝ่ายก็เพราะเข้าเมืองตาหลิ่วหมายหลิ่วตาตาม ธาตุน้ำของสองฝ่ายจะได้ผสมผสานกลมกลืนกัน ดังนั้นเผยเฉียนถึงได้มักจะพาหมี่ลี่น้อยออกจากภูเขาลั่วพั่วมาเที่ยวเล่นแถวๆ ภูเขาฉีตุนหรือไม่ก็เมืองหงจู๋อยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่ค่อยเข้าใกล้ริมแม่น้ำสามสายเท่าใดนัก เพราะรู้สึกว่าให้ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีกว่า หากจำนวนครั้งมากเข้า ต่อให้วันหน้าหมี่ลี่มาเยือนริมลำน้ำชงตั้น ซิ่วฮวา อวี้เจียงเพียงลำพังก็ไม่เป็นไร

เผยเฉียนกระดกหีบไม้ไผ่ใบเล็กให้เข้าที่ ถอนหายใจหนึ่งทีแล้วเอ่ยเรียกโจวหมี่ลี่

แม่นางน้อยชุดดำหันหน้ากลับมา เห็นเผยเฉียนที่พลิ้วกายลงพื้นก็ยิ้มปากกว้าง นางเกาแก้ม จากนั้นก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย พยายามหันแก้มข้างที่ไม่บวมแดงเข้าหาเผยเฉียน

เผยเฉียนตาดีขนาดไหน แค่มองก็เห็นว่าแก้มอีกข้างของโจวหมี่ลี่เขียวช้ำ ดีนักนะ เดินกลับบ้านช้าขนาดนี้ แล้วยังมีอารมณ์เคี้ยวใบไม้ใบหญ้าก็เพราะจะปกปิดเรื่องที่ตัวเองถูกตีอย่างนั้นหรือ?

เผยเฉียนไม่ได้เอ่ยอะไร

โจวหมี่ลี่กะพริบตาปริบๆ

แม่นางน้อยผู้นี้กำมือข้างหนึ่งไว้แน่น อีกมือหนึ่งยกขึ้นเกาหัว

คิ้วเล็กบางสีอ่อนจางออกเหลืองสองข้างของแม่นางน้อยถึงขั้นไม่กล้าขมวดเข้าหากัน กลัวว่าเผยเฉียนจะคิดว่าตนได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง

ตอนที่เที่ยวเล่นไปตามภูเขาสายน้ำของอุตรกุรุทวีปด้วยกัน คนผู้นั้นเคยเอ่ยว่า ยามเป็นเด็ก ทุกครั้งที่มีความกลัดกลุ้มเล็กๆ ก็คือเมล็ดข้าวเล็กๆ เมล็ดหนึ่ง พอแก่ตัวแล้วนึกถึงมันขึ้นมาก็จะกลายเป็นข้าวถ้วยใหญ่ ใหญ่มากๆ เลยล่ะ!

เผยเฉียนถาม “เกิดอะไรขึ้น”

โจวหมี่ลี่คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้านึกสนุกก็เลยไปที่ริมแม่น้ำ เอาหัวมุดลงไปในน้ำ มองดูว่ามีกุ้งมีปลาหรือไม่ แต่ก็แค่ดูเท่านั้น ไม่กล้ากิน จากนั้นก็เจอกับขุนนางที่ใหญ่มากๆ ของจวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียง ข้าอธิบายอยู่นานเขาถึงเชื่อว่าข้าพักอยู่ในเมืองเล็กอำเภอไหวหวง ข้าไม่ได้พูดถึงภูเขาลั่วพั่ว ยิ่งไม่ได้พูดถึงตรอกหนีผิง แค่บอกชื่อตรอกเล็กของที่อื่นไปมั่วๆ บอกว่าข้าคอยเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ที่บ้านยากจนไม่มีเงินทอง ขุนนางใหญ่ผู้นั้นก็เชื่อข้า เลยปล่อยข้ากลับบ้านไงล่ะ…”

เผยเฉียนเอ่ยอย่างเดือดดาล “โจวหมี่ลี่! ถูกคนอื่นรังแกแล้วเหตุใดถึงไม่บอกชื่ออาจารย์พ่อของข้า?! บ้านของเจ้าคือภูเขาลั่วพั่ว เจ้าคือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว!”

แม่นางน้อยชุดดำเอ่ยอย่างขลาดๆ “กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้เขา อีกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เรื่องเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเอง”

ตอนนี้เผยเฉียนตัวสูงขึ้นมาอีกนิดแล้ว นางจึงรู้สึกว่าตัวเองตัวเตี้ยลงไปอีก

โจวหมี่ลี่แบมือ คือเมล็ดแตงหนึ่งกำมือที่เหลืออยู่ ก่อนหน้านี้นางพกมาถุงใหญ่ แต่ตอนนี้เหลือแค่นี้แล้ว แม่นางน้อยเอ่ยเสียงเบา “เผยเฉียน กลับบ้านกันไหม พวกเราสามารถแทะเมล็ดแตงไปด้วยเดินไปด้วยได้”

เผยเฉียนถลึงตาใส่

โจวหมี่ลี่ยู่หน้า คราวนี้จะร้องไห้จริงๆ แล้ว

เผยเฉียนออกจากบ้านเกิดไปนานขนาดนี้ กว่าจะกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือพอพบหน้ากันก็ทำหน้าดุใส่ตน นี่ต่างหากที่ทำให้แม่นางน้อยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างแท้จริง

นางเดินเที่ยวแถวภูเขาฉีตุนและเมืองหงจู๋ตั้งหลายรอบขนาดนั้นก็เพื่อรอให้เผยเฉียนกลับมาบ้าน จะได้เจอตนก่อนใคร แล้วยังมีเมล็ดแตงให้กินด้วย

เผยเฉียนลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย พูดเสียงอ่อนโยน “อย่าร้องๆ”

จากนั้นเผยเฉียนก็บอกให้โจวหมี่ลี่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังอย่างละเอียด

แม่นางน้อยชุดดำที่ไม่ได้คิดจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อยต้องอธิบายอยู่นานกว่าจะเข้าใจกัน

เผยเฉียนจึงเอ่ยว่า “โจวหมี่ลี่ ฟังคำสั่ง!”

โจวหมี่ลี่รีบยืดอกตั้ง เขย่งปลายเท้า

เผยเฉียนโบกมือเป็นวงกว้าง “เจ้ากลับบ้านไปก่อน วิ่งให้ไวหน่อย ห้ามอืดอาด ห้ามเดินเล่นเตร็ดเตร่ไปส่งเดช กลับบ้านไปแล้วเจอพ่อครัวเฒ่า หรือหากซานจวินเว่ยอยู่บนภูเขาของพวกเราด้วย เจ้าก็ไปบอกกับพ่อครัวเฒ่าว่าข้าจะซื้อของบางอย่างอยู่ที่เมืองหงจู๋ก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน นี่เป็นช่วงปลายปีแล้ว ข้าต้องเตรียมข้าวของ หากกลับไปช้าก็เพราะว่าซื้อของเยอะเกินไป เจ้าก็บอกให้พ่อครัวเฒ่ามาช่วยข้าขนกลับไป”

โจวหมี่ลี่ทรุดตัวลงนั่ง “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย วันนี้ไม่ฟังคำสั่ง จะกลับพวกเราก็ต้องกลับด้วยกัน”

เผยเฉียนเอ่ย “บนภูเขาลั่วพั่ว ตำแหน่งใครใหญ่กว่ากัน? ใครเป็นคนแนะนำให้เจ้าได้ขึ้นเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา? โจวหมี่ลี่!”

แม่นางน้อยที่นั่งอยู่บนพื้นแกล้งโง่ ยื่นนิ้วมาแคะใบไม้แห้งที่ติดอยู่ในดิน

เผยเฉียนทรุดตัวลง ถามว่า “ข้ามีวิชาของอาจารย์พ่อติดตัว จะต้องกลัวอะไร”

โจวหมี่ลี่เงยหน้า “วิชาอะไร?”

เผยเฉียนหยิบเส้นด้ายสีทองก้อนนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ “เห็นหรือยัง?”

โจวหมี่ลี่อ้าปากกว้าง ก่อนจะรีบใช้สองมืออุดปาก พูดเสียงอู้อี้ “แค่มองก็รู้ว่าต้องร้ายกาจและมีราคามากแน่ๆ”

เผยเฉียนลุกขึ้นยืน “รีบกลับภูเขาลั่วพั่วไปเล่าเรื่องนี้ให้พ่อครัวเฒ่าฟัง นี่คือการทำหน้าที่ส่งข่าวทางการทหาร หน้าที่นี้สำคัญอย่างยิ่ง เจ้าทำได้หรือไม่?! มีความรับผิดชอบนี้หรือไม่?”

โจวหมี่ลี่รีบลุกขึ้นยืน พูดเสียงดังทันใด “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวารับคำสั่ง! จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”

เผยเฉียนเก็บปณิธานกระบี่สีทองกลุ่มนั้นกลับมา แต่กลับหยิบเอายันต์ที่รักซึ่งตัวเองเก็บรักษาอย่างดีมาหลายปีออกมาแปะไว้บนหน้าผากของโจวหมี่ลี่ “มียันต์อยู่บนหัว ภูตผีปีศาจหลบเลี่ยง เจ้าไปได้!”

โจวหมี่ลี่วิ่งตะบึงจากไป ก่อนไปยังไม่ลืมแบมือออก

เผยเฉียนหัวเราะอย่างฉุนๆ “เจ้าเอาไว้แทะตอนเดินทางเองเถอะ”

เผยเฉียนหมุนตัวกลับ กำไม้เท้าเดินป่าแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้ววิ่งตะบึงไปยังจวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงที่อยู่ห่างออกไปไกล

คนเราอยู่ในยุทธภพ ต้องมีศีลธรรมจรรยา!

เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำแล้วก็ยิ่งต้องปกปักษ์พิทักษ์น้ำดินของพื้นที่หนึ่งถึงจะถูก

รังแกหมี่ลี่น้อย นับเป็นความสามารถอะไร?

ศาลเทพวารีแห่งนั้นอยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากเผยเฉียนวิ่งตะบึงลงจากภูเขาไปแล้วก็พลันทะยานตัวขึ้นสูง ระหว่างนี้ก็ปล่อยหมัดหนึ่งลงบนผิวน้ำ ร่างที่กำลังร่วงลงจึงดีดสูงขึ้นอีกหลายส่วน สุดท้ายก้าวเท้าหนึ่งก้าวก็ข้ามแม่น้ำสายใหญ่ที่กว้างไพศาลนั้นมาได้

คนหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่เปิดร้านหนังสืออยู่ในเมืองหงจู๋นั่งอยู่บนหลังคา เถ้าแก่หนุ่มมองเห็นภาพนี้เข้าก็ยิ้มกล่าว “มีเรื่องสนุกแล้ว”

ทุกวันนี้เขาก็คือเทพวารีของแม่น้ำชงตั้น ถือเป็นเพื่อนร่วมงานของแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เจียง

ธาตุน้ำของแม่น้ำสามสายแตกต่างกันไป ผิวน้ำของแม่น้ำซิ่วฮวากว้างขวาง ธาตุน้ำอ่อนโยนที่สุด ส่วนกระแสน้ำของแม่น้ำชงตั้นบ้านตนไหลเชี่ยวกรากซัดแรง เป็นเหตุให้ธาตุน้ำแข็งแกร่งที่สุด แม่น้ำอวี้เจียงค่อนข้างสั้น ธาตุน้ำแปรปรวน การกระจายตัวของปราณวิญญาณไม่แน่นอน ที่ตั้งของจวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์มากที่สุด เหนียงเนียงเทพวารีท่านนั้นก็ขึ้นชื่อด้านการรู้จัก ‘วางตัว’ มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับทางฝ่ายใดก็ล้วนอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม

ควันธูปของศาลโชติช่วง

ไม่รอให้เผยเฉียนเข้าประตูไปใช้เหตุผล

ในศาลก็มีหญิงชราคนเฝ้าศาลผู้หนึ่งกับเสมียนของจวนน้ำที่ร่ายเวทอำพรางตาชั้นต่ำ คือชายวัยกลางคนที่ยิ้มตาหยีคนหนึ่งเดินออกมา

หญิงชราผู้นั้นเพิ่งจะได้รับข่าว ก่อนหน้านี้ภูตมากฝีมือของจวนน้ำซึ่งรับผิดชอบคอยติดตามแม่นางน้อยคนนั้นไปรีบร้อนย้อนกลับมาที่จวนเพื่อแจ้งข่าวที่ไม่ดีอย่างถึงที่สุดแก่พวกเขา

แม่นางน้อยชุดดำผู้นั้นเป็นถึงภูตบนภูเขาลั่วพั่ว แล้วยังดูเหมือนว่ายังเป็นผู้ถวายงานผู้พิทักษ์อะไรสักอย่างด้วย

หญิงชราไม่ได้เห็นเป็นจริงจัง ผู้พิทักษ์ผู้ถวายงาน? อย่าว่าแต่ภูเขาลั่วพั่วที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าไปสืบข่าวโดยพลการแห่งนั้นเลย ต่อให้เป็นจวนเทพวารีของบ้านตน ผู้ถวายงานก็ยังต้องเริ่มต้นที่ขอบเขตโอสถทองไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นภูเขาลั่วพั่วที่สามารถทำให้ซานจวินใหญ่เว่ยให้การพิทักษ์ปกป้องได้ถึงเพียงนี้ จะมีขอบเขตต่ำได้หรือ?

ในอาณาเขตของถ้ำสวรรค์หลีจูเก่า ภูเขาลั่วพั่วถือเป็นตัวประหลาดที่มีเมฆหมอกล้อมวน เฉินผิงอันเจ้าขุนเขาหนุ่ม ว่ากันว่าในอดีตเป็นเพียงเด็กกำพร้ายากจนจากตรอกหนีผิง แต่เพราะโชควาสนาดีเยี่ยมเกินไป อันดับแรกก็ได้รู้จักกับบุตรสาวโทนที่รักของอริยะหร่วนฉงก่อน ภายหลังยังได้รู้จักกับเว่ยป้อที่กำลังตกอับ ตอนนั้นยังเป็นแค่เทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุน เมื่อได้พบเจอกับผู้สูงศักดิ์สองท่านนี้ เขาถึงได้ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมสิบกว่าแห่งซึ่งชวนให้คนตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้

แต่เรื่องที่แม่นางน้อยคนนั้นมีตัวตนอยูในทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาลั่วพั่ว น่าจะไม่ใช่เรื่องเท็จเป็นแน่

คนนอกแค่พอจะรู้มาบ้างว่า ดูเหมือนภูเขาลั่วพั่วจะไม่ค่อยถือสาในเรื่องชาติกำเนิดของภูต และขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ ผู้ฝึกตนเท่าไรนัก

มีซานจวินใหญ่เว่ยคอยปกป้องภูเขาลั่วพั่ว ใครที่กินอิ่มว่างงานกล้าไปสืบเสาะ ซานจวินของหนึ่งทวีปมีเพียงแค่ห้าท่านเท่านั้น และตอนนี้เว่ยป้อก็ยิ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป! คือคนบ้านเดียวกันที่ฮ่องเต้ให้ความใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่ว่าที่นี่เป็นสถานที่ลุกผงาดของสกุลซ่งต้าหลีเท่านั้น กระทั่งอาณาเขตเก่าทั้งหมดของต้าหลีก็ยังถือว่าอยู่ในเขตการปกครองของขุนเขาเหนือ!

บุรุษที่เป็นเสมียนของจนเทพวารีกุมหมัดคารวะ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่เข้าใจแม่นางน้อยคนนั้นผิด คิดว่านางเป็นภูตที่เข้ามาก่อกวนพวกชาวบ้าน ด้วยคิดว่าตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบจึงสอบถามไปรอบหนึ่ง ภายหลังมีความขัดแย้งกันก็เป็นข้าที่เสียมารยาทจริงๆ ข้ายินดีจะขอขมาภูเขาลั่วพั่ว”

หญิงชราก็ยิ้มเอ่ยว่า “ลำพังแค่ขอขมาจะไปพออะไร วันหน้าศาลเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงพวกเราจะยังมีการรับผิดชอบ หญิงชราเช่นข้าจะต้องนำของขวัญไปเยี่ยมเยือนถึงที่อย่างแน่นอน”

เผยเฉียนกำไม้เท้าในมือแน่น ไม่เอ่ยคำใด

จะทำอย่างไรดี?

นางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

แต่ก็นึกไม่ออกว่าไม่ถูกต้องที่ตรงไหน

หากอาจารย์อยู่ข้างกายด้วยก็ดีน่ะสิ

ต่อให้อาจารย์ไม่อยู่ ศิษย์พี่เล็กอยู่ด้วยก็ยังดี

หญิงชรายิ้มอย่างเยือกเย็น

บุรุษผู้นั้นก็ยิ่งแอบกระตุกยิ้มมุมปาก ตนโดนลงโทษคำรบหนึ่ง หลังจากนั้นยังต้องควักเงินซื้อของขวัญขอขมา นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว แต่แม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มาซักไซ้เอาความผิดถึงหน้าประตูบ้านพวกเขา คิดว่าหน้าตาของศาลเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไม่มีค่าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? สิ่งที่ศาลเทพวารีกริ่งเกรงคือเจ้าขุนเขาหนุ่มที่เหยียบโชคดีขี้หมาผู้นั้น รวมไปถึงหร่วนซิ่ว เว่ยป้อที่อยู่เบื้องหลังคนหนุ่ม ผู้ฝึกยุทธน้อยน่าขันตรงหน้าผู้นี้ ทำไม ยังจะอาศัยสองหมัดกับไม้เท้าหนึ่งอันมาทุบศาลของพวกเราหรืออย่างไร? ทุบจริงก็ดีน่ะสิ จะปล่อยให้เจ้าทุบก่อนเลย ถึงเวลานั้นควรเป็นใครที่ต้องขอโทษใครก็บอกได้ยากแล้ว

เผยเฉียนตาดี มองเห็นสีหน้าของเขาเข้า

นางโมโหจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ