ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 131 เราเคยติดต่อกันแล้ว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

​น้ำเสียง​ที่​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูด​ ​เป็น​สิ่ง​ที่​น่ารังเกียจ​ที่สุด​ใน​โลก​เสมอมา​ ​และ​แม้ว่า​จะ​ไม่​พูด​คำสบถ​ ​ก็​ไม่มี​ผู้ใด​ชอบ

​แต่​เฉิน​ฉาง​เซิง​ชอบ​ ​เพราะ​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​เป็น​สหาย​ที่​ดีที​่​สุด​ของ​เขา​ ​ยิ่งกว่านั้น​ยาม​ที่​เขา​ต้องการ​ความช่วยเหลือ​มาก​ที่สุด​ ​สหาย​ผู้​นี้​ก็​มักจะ​ปรากฏตัว​อยู่​เสมอ​ ​แล้ว​สหาย​ผู้​นี้​ก็​รู้ความ​คิด​ที่แท้​จริง​ของ​เขา​ดี​เสีย​ยิ่งกว่า​ตัว​เขา​เอง​ ​เมื่อใด​ก็ตามที​่​เขา​ไม่รู้​ว่า​จะ​เลือก​อย่างไร​ ​การ​ฟัง​เจ้า​สหาย​ผู้​นี้​ก็​ไม่​แย่​นัก

​แน่นอน​ว่า​ ​คำพูด​ของ​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​นั้น​ไม่​สมเหตุสมผล​เลย​ ​แต่​ไม่รู้​ด้วย​เหตุผล​ใด​มัน​กลับ​โน้มน้าวใจ​ได้​อย่าง​อธิบาย​ไม่​ถูก

​“​เหตุใด​เจ้า​จึง​มาที​่​นี่​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​เป็นห่วง​เกี่ยวกับ​ร่างกาย​ของ​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว

​มอง​ไป​ยัง​สีหน้า​ของ​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​ ​ไข้​สูง​ผิดปกติ​นั้น​น่าจะ​หาย​ไป​แล้ว​ ​แต่​ร่างกาย​น่า​คง​ยัง​อ่อนแอ​มาก​ ​มิเช่นนั้น​เขา​คงจะ​ไม่​นั่ง​อยู่​บน​รถเข็น

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูดว่า​ ​“​ช่วงเวลา​สำคัญ​ทาง​ประวัติศาสตร์​เช่นนี้​ ​ข้า​จะ​พลาด​ไป​ได้​อย่างไรเล่า​”

​ท่าน​ปู่​ถัง​มอง​เขา​ด้วย​ใบหน้า​ที่​เยือกเย็น​ ​พร้อม​จะ​ตำหนิ​เขา

​“​อย่า​บังคับ​ให้​ข้า​เปิดเผย​ความอัปลักษณ์​ของ​ครอบครัว​ตัวเอง​”

​หลัง​พูด​ประโยค​นี้​ ​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​ก็​ไอ​ออกมา

​เยี​่ย​เสี่ยว​เหลียน​รีบ​ตบหลัง​เขา​อย่างรวดเร็ว

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​โบกมือ​ ​หยิบ​ผ้าเช็ดหน้า​สีขาว​บริสุทธิ์​ออกจาก​แขน​เสื้อ​แล้ว​ยกขึ้น​ปิดปาก​ ​คิ้ว​ขมวด​เล็กน้อย​ ​ดูเหมือน​มี​ความเจ็บปวด​อยู่​บ้าง

​ไม่ว่า​จะ​เป็น​ท่าน​ปู่​ถัง​หรือ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​ล้วน​มอง​ไม่​ออก​ว่าการ​บาดเจ็บ​นั้น​เป็นจริง​หรือ​เท็จ​ ​จึง​เป็นปกติ​ที่จะ​ไม่​ถาม​ขึ้น​มา​อีก

​สวี​โหย​่ว​หรง​เหลือบมอง​เยี​่ย​เสี่ยว​เหลียน​ ​เยี​่ย​เสี่ยว​เหลียน​ก้ม​ศีรษะ​ลง​ด้วย​ความ​อีหลักอีเหลื่อ​ ​นาง​พลัน​รู้ทัน​ที​ว่า​ทั้งสอง​คน​นี้​ไม่ได้​ไป​ที่​เขา​หาน​ซาน​แต่อย่างใด​ ​เพียง​ครึ่งทาง​ก็​หันหลัง​กลับ​แล้ว

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​ไม่สน​ใจ​สิ่ง​เหล่านี้​ ​และ​พูด​กับ​ราชา​มาร​ว่า​ ​“​ลืม​แนะนำตัว​เอง​ไป​เลย​”

​ราชา​มาร​พูดว่า​ ​“​ข้า​รู้จัก​เจ้า​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูดว่า​ ​“​จริง​ด้วย​ ​ปีนั​้​นที​่​เมือง​ไป๋​ตี้​ท่าน​หยาบคาย​กับ​ข้า​ ​ไม่​คิด​เลย​ว่า​สิบ​ปี​ให้​หลัง​ข้า​จะ​ได้​สัมผัส​กับ​กลอุบาย​ของ​ท่าน​กระมัง​”

​ราชา​มาร​พูด​อย่างใจ​เย็น​ว่า​ ​“​เจ้า​อยาก​พูด​อะไร​ก็​ย่อม​พูด​ได้​ ​เจ้า​เป็น​ที่หนึ่ง​ใน​ใต้​หล้า​จริงๆ​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูดว่า​ ​“​ดูท่า​แล้ว​เจ้า​คง​ไม่รู้​จริงๆ​ ​ว่า​ข้า​คือ​ผู้ใด​”

​ราชา​มาร​ยิ้ม​หยัน​พูดว่า​ ​“​เจ้า​คิด​ว่า​ทำ​เช่นนี้​ก็​สามารถ​กลายเป็น​ซู​หลี​ได้​หรือ​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูด​อย่าง​เคร่งขรึม​ ​“​ได้​โปรด​ให้​ข้า​แนะนำตัว​ข้า​เอง​สักหน่อย​ ​ข้า​เป็นเพื่อน​ทาง​จดหมาย​ของ​ท่าน​”

​ราชา​มาร​พูด​อย่างตกใจ​เล็กน้อย​ ​“​เพื่อน​ทาง​จดหมาย​?​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูด​ ​“​ใช่​แล้ว​ ​จดหมาย​ของ​ฝ่า​บาท​ทั้งหมด​ข้า​อ่าน​แล้ว​ ​จดหมาย​สี่​ฉบับ​แรก​ที่​ส่ง​ให้ท่าน​เป็น​ข้า​ที่​เขียน​เอง​”

​ราชา​มาร​มอง​ไป​ยัง​เฉิน​ฉาง​เซิง​พูด​อย่างตั้งใจ​เป็นพิเศษ​ว่า​ ​“​นี่​มัน​มากเกินไป​อยู่​บ้าง​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​อธิบาย​อย่างจริงจัง​ว่า​ ​“​ข้า​ไม่เก่ง​ใน​การติด​ต่อ​กับ​ผู้คน​ ​และ​ใน​ตอนแรก​เรา​ก็​ไม่​ค่อย​คุ้นเคย​กัน​ ​กลัว​ว่า​เขียน​แล้ว​มัน​จะ​อึดอัด​เกินไป​”

​ราชา​มาร​นึกย้อน​กลับ​ไป​ถึง​เนื้อความ​ใน​จดหมาย​เหล่านั้น​ ​พูด​ด้วย​อารมณ์​ว่า​ ​“​ข้า​ยัง​นึก​ว่า​เจ้า​ตั้ง​ข้า​ไว้​เป็น​คนสนิท​ตั้งแต่​ต้น​เสียอีก​”

​“​ฝ่า​บาท​ ​ที่ผ่านมา​ข้า​เห็น​เจ้า​เป็น​คนสนิท​ ​ตลอดมา​ข้า​เห็น​เจ้า​เป็น​สหาย​ที่​ดีที​่​สุด​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูด​กับ​ราชา​มาร​ว่า​ ​“​ดังนั้น​สหาย​ที่รัก​ข้า​…​นำ​ของ​ที่อยู่​ใน​มือ​เจ้า​ส่ง​มา​ให้​ข้า​เถิด​”

​ราชา​มาร​มอง​เขา​อย่าง​เงียบๆ​ ​ทันใดนั้น​ก็​ถาม​ว่า​ ​“​เจ้า​ไป​เอา​ความมั่นใจ​เช่นนี้​มาจาก​ที่ใด​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูดว่า​ ​“​ข้า​ไม่รู้​ ​แต่​ท่าน​ปู่​ของ​ข้า​ไม่​อยาก​เล่นไพ่​กับ​ข้า​”

​ราชา​มาร​พูดว่า​ ​“​กระทั่ง​ท่าน​ปู่​ถัง​ยัง​ไม่ต้องการ​ลงสนาม​ ​ดูท่า​ทักษะ​การ​เล่นไพ่​ของ​เจ้า​คงจะ​โดดเด่น​”

​“​ที่จริง​ทักษะ​การ​เล่นไพ่​ของ​ข้า​นับว่า​ธรรมดา​ ​เทียบ​กับ​ท่าน​ปู่​และ​เทพธิดา​แล้วยัง​ห่าง​อีก​ไกล​ ​แต่​ข้ามี​เคล็ดลับ​ข้อ​หนึ่ง​ที่สามา​รถ​เอาชนะ​ใต้​หล้า​ได้​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูด​อย่างตั้งใจ​ว่า​ ​“​พลิก​โต๊ะ​ได้ดี​ที่สุด​ ​หาก​ไม่​สามารถ​ยก​โต๊ะ​ได้​ ​เช่นนั้น​ข้า​จะ​เดิมพัน​ด้วย​สมบัติ​ทั้งหมด​ที่​มี​ของ​ข้า​”

​“​ตระกูล​ถัง​นับเป็น​ผู้​ที่​ร่ำรวย​ที่สุด​ใน​เผ่า​มนุษย์​ ​หาก​เจ้า​พนัน​กับ​คนอื่น​ด้วย​สมบัติ​ที่​มีทั​้ง​หมด​ ​เป็นธรรมดา​ที่​เจ้า​จะ​ชนะ​เดิมพัน​ทุกครั้ง​”

​ราชา​มาร​เยาะเย้ย​และ​พูดว่า​ ​“​แต่​หาก​เจ้า​พนัน​กับ​ข้า​ด้วย​สมบัติ​ทั้งหมด​ของ​เจ้า​ ​เกรง​ว่า​เจ้า​คง​ไม่มี​เบี้ย​เดิมพัน​มาก​เท่า​ข้า​”

​นี่​เป็นเรื่อง​จริง​ ​ไม่ว่า​ตระกูล​ถัง​จะ​ร่ำรวย​และ​มั่งคั่ง​เพียงใด​ ​ไม่ว่า​เบื้องหลัง​จะ​ลึกล้ำ​แค่ไหน​ ​พวกเขา​จะ​เทียบ​กับ​เจ้า​ผู้​ครอง​อาณาเขต​เผ่า​มาร​ได้​อย่างไร​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูด​อย่างจริงจัง​ว่า​ ​“​นั่น​ไม่จำเป็น​”

​ทันใดนั้น​ก็​มีเสียง​ดัง​ขึ้น​ใน​ห้อง​ ​“​ข้า​เอา​ด้วย​”

​ผู้​ที่​พูด​ก็​คือ​สวี​โหย​่ว​หรง​ ​ท่าทาง​สงบ​มาก

​หวังผ​้​อก​็​นำ​สำนัก​ต้น​ไหว​มา​วาง​พนัน​ด้วย

​ยิ่ง​นาน​ไป​ก็​ยิ่ง​มี​คน​ร่วม​ด้วย​เยอะ​ขึ้น

​เฉิน​ฉาง​เซิง​และ​ท่าน​ปู่​ถัง​มิได้​พูด​อัน​ใด​ ​ทุกคน​ต่าง​รู้​ว่า​พวกเขา​จะ​ทำ​เช่นไร

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​นั่ง​อยู่​บน​รถเข็น​ ​จ้องมอง​ไป​ที่​ดวงตา​ของ​ราชา​มาร​ ​ท่าทาง​จริงจัง​อย่างที่​ไม่เคย​มีมาก​่อน

​เกม​เดิมพัน​ครั้งนี้​ไม่ใช่​ตระกูล​ถัง​ ​และ​ก็​ไม่ใช่​พระราชวัง​หลี​ ​แต่​เป็น​เผ่า​มนุษย์​ทั้งหมด

​ราชา​มาร​เงียบ​ไป​อยู่​ครู่ใหญ่​ ​ทันใดนั้น​ก็​พูด​ขึ้น​ว่า​ ​“​เงื่อนไข​ใน​จดหมาย​ยัง​นับ​ด้วย​หรือไม่​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​พูดว่า​ ​“​แน่นอน​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูดว่า​ ​“​ข้า​ให้​สิทธิพิเศษ​กับ​เจ้า​มาก​ที่สุด​เลย​แล้วกัน​ ​ยึด​ตาม​จดหมาย​ฉบับ​ที่​สิบเอ็ด​”

​“​ดี​”

​ราชา​มาร​โยน​สาก​หิน​ใน​มือ​ไป​ทาง​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​เหยียด​มือขวา​ออก​เพื่อ​จับ​สาก​หิน​นั่น​ ​เขามอ​งดู​สองครั​้ง​ ​โยน​ให้ท่าน​ปู่​ถัง

​ของ​สำคัญ​อย่าง​ศาสตรา​เทพ​เช่นนี้​ ​เป็น​สิ่ง​ที่สามา​รถ​เปลี่ยน​ชะตากรรม​ของ​โลก​ได้​ ​เมื่อ​อยู่​ใน​มือ​ของ​เขา​ก็​ราวกับ​เป็น​ของเล่น​ไร้ค่า

​ไม่มี​ผู้ใด​ประหลาดใจ​กับ​การกระทำ​ของ​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​ ​รวมถึง​เฉิน​ฉาง​เซิง​ด้วย

​ไม่ว่า​สิ่งของ​นั้น​จะ​มีค่า​สัก​เพียงใด​ ​เขา​ก็​ไม่เคย​คิด​จริงจัง​กับ​มัน​เลย​ ​เมื่อ​หลาย​ปีก่อน​ใน​เมือง​ไป๋​ตี้​ ​ตอนที่​เขา​โยน​ไม้เท้า​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง​ให้​กับ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​เขา​ก็​ทำตัว​ตามสบาย​เช่นนี้

​มี​เพียง​เยี​่ย​เสี่ยว​เหลียน​ที่​กำลัง​เข็น​รถเข็น​อยู่​เท่านั้น​ ​ที่​รู้​ว่าความ​จริง​มิได้​เป็น​เช่นนั้น

​นาง​มองเห็น​อย่างชัดเจน​ว่า​ ​ตอนที่​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​รับ​สาก​หิน​อันนั้น​ไว้​ ​เสื้อผ้า​ที่อยู่​ข้างหลัง​เขา​เปียกโชก​ในทันที​ ​เห็นได้ชัด​ว่า​เขา​ประหม่า​ถึง​ขีดสุด

​ราชา​มาร​มอง​ไป​ยัง​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​ถาม​ว่า​ ​“​เจ้า​ไม่​กลัว​จริงๆ​ ​หรือ​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูด​อย่างมั่นใจ​ว่า​ ​“​ข้ามิ​ใช่​คนปัญญาอ่อน​ ​จะ​ไม่​กลัว​ได้​อย่างไร​กัน​!​”

​ราชา​มาร​พูด​อย่าง​ไม่เข้าใจ​ว่า​ ​“​เช่นนั้น​เหตุใด​ท่าทาง​ของ​เจ้า​จึง​ยัง​ดู​สงบ​นัก​ ​มองไม่เห็น​พิรุธ​ใด​”

​“​อาจ​เป็นเพราะว่า​ข้า​ร่ำรวย​มาตั​้ง​แต่​ยัง​เด็ก​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​พูดเส​ริม​ว่า​ ​“​ไม่ว่า​จะ​เป็น​ทาง​วัตถุ​หรือ​จิตวิญญาณ​”

​……

​……

​ใน​บทสนทนา​สุดท้าย​ของ​ค่ำคืน​นั้น​ ​ซาง​สิง​โจว​เคย​พูด​ไว้​ก่อน​แล้ว​ ​คน​ชุด​ดำ​อาจจะ​ยัง​มี​อุบาย​บางอย่าง​อยู่​ ​แต่​ไม่​อยาก​ให้​เฉิน​ฉาง​เซิง​สนใจ​มากเกินไป​นัก

​ดู​จาก​ตอนนี้​ ​อุบาย​สุดท้าย​ของ​คน​ชุด​ดำ​ก็​คงจะ​เป็นเรื่อง​นี้​ ​แต่​เขา​คง​คิดไม่ถึง​ว่า​เจตจำนง​ของ​การ​ต่อต้าน​ของ​ราชา​มาร​จะ​รุนแรง​เช่นนี้

​ไม่ว่า​พิฆาต​ดวงดาว​จะ​ยัง​ใช้การได้​หรือไม่​ ​ตอนนี้​มัน​ได้​อยู่​ใน​มือ​ของ​ท่าน​ปู่​ถัง​แล้ว​ ​เชื่อ​ว่า​ถึงแม้​คน​ชุด​ดำ​จะ​ปรากฏ​กาย​ออกมา​ ​ก็​ไม่​สามารถ​แย่ง​ไป​ได้

​แต่​แท่นบูชา​นั้น​ยังคง​อยู่​ ​ซึ่ง​ก็​หมายความว่า​ภัย​คุกคาม​ยัง​ไม่​ถูก​กำจัด​โดย​สมบูรณ์

​“​แท่นบูชา​อยู่​ที่ใด​”​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ถาม

​ราชา​มาร​สะบัด​แขน​เสื้อ​เบา​ๆ​ ​เปลวไฟ​มาร​ก็​ขยับ​ขึ้น​มา​ ​ค่อยๆ​ ​เผย​ให้​เห็นภาพ​ที่ซ่อน​อยู่​ทีละน้อย​ ​แล้ว​เมือง​เสวี​่ย​เหล่า​ก็​ปรากฏ​ขึ้น

​บางส่วน​ของ​เปลวไฟ​มาร​ก็​มีสี​เข้ม​กว่า​ ​ราวกับ​ค่ำคืน​ที่​ไม่มี​อยู่​จริง​ ​ไม่มี​ลำแสง​ใด​หลงเหลือ​อยู่​เลย

​แท่นบูชา​อยู่​ที่นั่น

​หวังผ​้อ​จดจำ​ตำแหน่ง​นั้น​อยู่​ใน​ใจ​อย่าง​เงียบๆ​ ​หมุนตัว​และ​ออกจาก​วัง​มาร

​“​แล้ว​ผู้คุม​กฎ​เผ่า​มาร​กับ​ขุนพล​มาร​ลำดับ​สอง​ที่สอง​เล่า​ ​คน​ชุด​ดำ​อยู่​ที่ใด​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​มอง​ราชา​มาร​แล้ว​พูดว่า​ ​“​ในเมื่อ​ตอนนี้​เรา​ต่าง​ก็​ตกลง​กัน​แล้ว​ ​เหตุใด​จึง​ไม่​ทำให้​ทั้งสองฝ่าย​เสีย​เลือด​น้อยลง​”

​มุม​ปากของ​ราชา​มาร​ขยับ​เล็ก​น้อง​ ​ยิ้ม​หยัน​ตัวเอง​แล้ว​พูดว่า​ ​“​นี่​เจ้า​มองไม่เห็น​จริงๆ​ ​หรือว่า​ ​ตอนนี้​ข้า​คือ​ผู้​โดดเดี่ยวเดียวดาย​”

​……

​……

​ผู้​โดดเดี่ยวเดียวดาย​คือ​ชื่อ​ที่​จักรพรรดิ​เผ่า​มนุษย์​เรียก​ตนเอง​ ​และ​ไม่​เหมาะ​ที่จะ​ใช้กับ​ราชา​มาร

เช่นเดียวกับ​เสา​ศิลา​สีดำ​สีดำ​บน​เนินเขา​เหล่านั้น​ ​ไม่ว่า​จะ​ใหญ่​เล็ก​หรือ​มี​รูปร่าง​ใด​ ​ที่จริง​แล้ว​มัน​ไม่​เหมาะ​จะ​เอา​มาทำ​เป็น​ป้าย​ศิลาจารึก​หน้า​หลุมฝังศพ

เสา​ศิลา​สีดำ​หลาย​พัน​ต้น​ ​เป็นตัวแทน​ของ​เผ่า​มาร​ชั้นสูง​ที่​สิ้นชีพ​ใน​สนามรบ​หลาย​พัน​ตน

ยิ่ง​อยู่​ใกล้​ยอด​เข้ามาก​เท่าใด​ ​ฐานะ​ของ​เผ่า​มาร​ผู้​ถูก​ฝัง​ก็​ยิ่ง​สูงส่ง​มาก​เท่านั้น

แน่นอน​ว่า​ ​นอกจาก​ทายาท​ผู้เคราะห์ร้าย​ของ​ตระกูล​ผู้ยิ่งใหญ่​อย่าง​ตระกูล​กู้​ไอ​ ​ท่าน​อ๋อง​และ​ขุนนาง​แห่ง​เมือง​เสวี​่ย​เหล่า​ก็​น้อยมาก​ที่จะ​ตาย​ใน​สนามรบ

ทุกแห่ง​หน​ใน​สุสาน​เต็มไปด้วย​เสียงร้อง​ไห้​ ​นั่น​เป็น​เพราะ​ขุนนาง​และฮู​หยิน​กำลัง​ร้องไห้​ให้​บุตรชาย​ที่​ตาย​จากไป​ ​และ​คู่รัก​หลาย​คู่​ที่​ต้อง​แยกจาก​กัน

ยัง​มี​ขุนนาง​จำนวนมาก​ที่​มี​ใบหน้า​เปื้อน​ฝุ่น​ ​สีหน้า​หมอง​คล้ำ​จับจ้อง​ไป​ยัง​ท้อง​นภา​ยามค่ำคืน

พวกเขา​รู้​ว่า​สุสาน​นั้น​ถูก​ตั้งขึ้น​เพื่อ​เป็น​แท่นบูชา​โดย​กุนซือ​ ​ส่ง​ข้อความ​ของ​ฝั่ง​นี้​กลับ​ไป​ยัง​ดินแดน​เซิ​่​งก​วง​ ​แล้ว​เหตุใด​จึง​ไม่มี​ลำแสง​ลงมา​ ​ดึง​ตนเอง​มารั​บก​ลับ​ไป

กองทัพ​เผ่า​มนุษย์​บุกเข้าไป​ใน​เมือง​เสวี​่ย​เหล่า​แล้ว​ ​เหตุใด​ตนเอง​จึง​ยัง​ยืน​อยู่​ตรงนี้

มีเสียง​โห่ร้อง​และ​กีบ​เท้า​ดัง​ขึ้น​หนาแน่น​ใน​ตอนกลางคืน​ ​คงจะ​เป็น​ทหารม้า​ของ​เผ่า​มนุษย์​ที่​กวาดล้าง​กองกำลัง​ต่อต้าน​อยู่​ใน​เมือง

ท่าน​อ๋อง​แล้ว​ขุนนาง​เหล่านั้น​รู้สึก​ด้านชา​ ​พวกเขา​ดู​ไม่มี​ความกลัว​แม้แต่น้อย​ ​ราวกับว่า​แม้แต่​เสียง​เหล่านั้น​เขา​ก็​ไม่ได้​ยิน

หวังผ​้อ​ยืน​อยู่​บน​ยอดเขา​มองดู​สตรีที​่​แต่งาน​แล้ว​ร่ำไห้​ ​ขุนนาง​ที่​เดิน​ราวกับ​คนตาย​ ​ก็​นิ่งเงียบ​ไม่​พูด​อะไร​สัก​คำ

สายตา​ของ​เขา​เคลื่อน​ไป​ยัง​สุสาน​ ​รู้สึก​ถึง​พลังงาน​ที่​มีอยู่​ใน​เสา​ศิลา​สีดำ​ ​ยืนยัน​ว่า​ราชา​มาร​ไม่ได้​โกหก​ ​นี่​คงจะ​เป็น​แท่นบูชา

แต่​เขา​กลับ​รู้สึก​ว่า​มัน​ยัง​มีปัญหา​บางอย่าง​ ​แท่นบูชา​นี้​ไม่น่า​จะ​เพียงพอ​ให้​ทำลาย​ช่องว่าง​อัน​แข็งแกร่ง​นั่น​ ​ยิ่ง​ไม่ต้อง​พูดถึง​การ​เชื่อมโยง​สอง​ดินแดน​ที่​ห่างไกล​เข้าด้วยกัน

หรือ​จะ​เป็น​ดังเช่น​ที่​ราชา​มาร​พูด​ ​แท่นบูชา​นี้​ต้อง​ใช้​ร่วมกับ​พิฆาต​ดวงดาว​ ​จึง​จะ​ทำงาน​ได้​อย่าง​สมบูรณ์

ในขณะที่​หวังผ​้​อกำ​ลัง​ครุ่นคิด​ถึง​ปัญหา​เหล่านี้​ ​ใน​มุม​ที่​ห่างไกล​ทาง​ด้าน​ตะวันออก​ของ​เนินเขา​ ​คน​ขุด​หลุมฝังศพ​สวม​เสื้อผ้า​โทรม​และ​หมอบ​อยู่​ข้างหลัง​กำลังจะ​จากไป

คน​ขุด​หลุมฝังศพ​นั้น​เพิ่งจะ​ขุด​หลุมฝังศพ​ใหม่​ ​วาง​ศพ​ธรรมดา​ของ​มาร​ระดับสูง​ลง​ไป

คน​ขุด​หลุมฝังศพ​ใน​สุสาน​ ​ศพ​ใน​หลุมศพ​ ​ทุกอย่าง​เป็นปกติ​อย่างที่​เคย​เป็นมา​ ​แต่​เมื่อ​คิดถึง​เมือง​เสวี​่ย​เหล่า​ที่​กำลังจะ​พังทลาย​ ​เห็นได้ชัด​ว่านี​่​มัน​ผิดปกติ​มาก

สายตา​อัน​สงบเงียบ​จับจ้อง​ยัง​ร่าง​ของ​คน​ขุด​หลุมศพ​อยู่​อย่างนั้น​ ​มองดู​เขา​ค่อยๆ​ ​เดิน​ช้าๆ​ ​ไป​ทางลาด​หญ้า

เมื่อ​ร่าง​ของ​ผู้​ขุด​หลุมฝังศพ​กำลังจะ​หาย​ไป​ภายใต้​แนว​ที่​ลาด​หญ้า​ซึ่ง​ตัด​กับ​ท้องฟ้า​ยามค่ำคืน​ ​เสียง​ของ​หวังผ​้​อก​็​ดัง​ขึ้น​มา

“​อีก​สัก​รอบ​หนึ่ง​?​”

คน​ขุด​หลุมศพ​นั้น​หยุด​ฝีเท้า​ลง

สายลม​ยามค่ำคืน​โบก​พัด​เสื้อผ้า​ขาด​รุ่งริ่ง​ ​จึง​จะ​เห็นได้ชัด​ว่า​สาเหตุ​ไม่ใช่​เพราะ​เขา​หลัง​ค่อม​ ​แต่​เป็น​เพราะ​เขา​ตัว​เตี้ยมา​กอยู​่​แล้ว

ไม่รู้​ว่า​เวลา​ผ่าน​ไป​นาน​เท่าใด​ ​ในที่สุด​เขา​ก็​หมุนตัว​กลับ​แล้ว​พูดว่า​ ​“​ดี​”

เสียง​ของ​เขา​ยังคง​แหบแห้ง​และ​ไม่​ค่อย​น่าฟัง

คราบ​บน​หมวก​ดู​แปลกตา​มาก​ภายใต้​แสง​ดวงดาว

ที่ราบ​ทุ่งหญ้า​เบื้องหน้า​ของ​เทือกเขานั​่​วรื​่อ​หลั่ง​เป็นการ​เผชิญหน้า​กัน​ครั้งแรก​ ​และ​หนองน้ำ​เบื้องหน้า​ของ​เมือง​เสวี​่ย​เหล่า​คือ​การ​เผชิญหน้า​กัน​ครั้ง​ที่สอง

สุสาน​คืนนี้​เป็น​ที่​ที่​พวกเขา​ได้​เผชิญหน้า​กัน​อีกครั้ง​ ​และ​อาจจะ​เป็นการ​เผชิญหน้า​กัน​ครั้งสุดท้าย

ผู้คุม​กฎ​เผ่า​มาร​ชักดาบ​เล่ม​ใหญ่​จาก​สายลม​ยามค่ำคืน​ ​แล้ว​เดิน​ไป​ทาง​หวังผ​้อ

……

……