น้ำเสียงที่ถังซานสือลิ่วพูด เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในโลกเสมอมา และแม้ว่าจะไม่พูดคำสบถ ก็ไม่มีผู้ใดชอบ
แต่เฉินฉางเซิงชอบ เพราะถังซานสือลิ่วเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา ยิ่งกว่านั้นยามที่เขาต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด สหายผู้นี้ก็มักจะปรากฏตัวอยู่เสมอ แล้วสหายผู้นี้ก็รู้ความคิดที่แท้จริงของเขาดีเสียยิ่งกว่าตัวเขาเอง เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร การฟังเจ้าสหายผู้นี้ก็ไม่แย่นัก
แน่นอนว่า คำพูดของถังซานสือลิ่วนั้นไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดมันกลับโน้มน้าวใจได้อย่างอธิบายไม่ถูก
“เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่”
เฉินฉางเซิงเป็นห่วงเกี่ยวกับร่างกายของถังซานสือลิ่ว
มองไปยังสีหน้าของถังซานสือลิ่ว ไข้สูงผิดปกตินั้นน่าจะหายไปแล้ว แต่ร่างกายน่าคงยังอ่อนแอมาก มิเช่นนั้นเขาคงจะไม่นั่งอยู่บนรถเข็น
ถังซานสือลิ่วพูดว่า “ช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ ข้าจะพลาดไปได้อย่างไรเล่า”
ท่านปู่ถังมองเขาด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น พร้อมจะตำหนิเขา
“อย่าบังคับให้ข้าเปิดเผยความอัปลักษณ์ของครอบครัวตัวเอง”
หลังพูดประโยคนี้ ถังซานสือลิ่วก็ไอออกมา
เยี่ยเสี่ยวเหลียนรีบตบหลังเขาอย่างรวดเร็ว
ถังซานสือลิ่วโบกมือ หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ออกจากแขนเสื้อแล้วยกขึ้นปิดปาก คิ้วขมวดเล็กน้อย ดูเหมือนมีความเจ็บปวดอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะเป็นท่านปู่ถังหรือเฉินฉางเซิง ล้วนมองไม่ออกว่าการบาดเจ็บนั้นเป็นจริงหรือเท็จ จึงเป็นปกติที่จะไม่ถามขึ้นมาอีก
สวีโหย่วหรงเหลือบมองเยี่ยเสี่ยวเหลียน เยี่ยเสี่ยวเหลียนก้มศีรษะลงด้วยความอีหลักอีเหลื่อ นางพลันรู้ทันทีว่าทั้งสองคนนี้ไม่ได้ไปที่เขาหานซานแต่อย่างใด เพียงครึ่งทางก็หันหลังกลับแล้ว
ถังซานสือลิ่วไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ และพูดกับราชามารว่า “ลืมแนะนำตัวเองไปเลย”
ราชามารพูดว่า “ข้ารู้จักเจ้า”
ถังซานสือลิ่วพูดว่า “จริงด้วย ปีนั้นที่เมืองไป๋ตี้ท่านหยาบคายกับข้า ไม่คิดเลยว่าสิบปีให้หลังข้าจะได้สัมผัสกับกลอุบายของท่านกระมัง”
ราชามารพูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้าอยากพูดอะไรก็ย่อมพูดได้ เจ้าเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วพูดว่า “ดูท่าแล้วเจ้าคงไม่รู้จริงๆ ว่าข้าคือผู้ใด”
ราชามารยิ้มหยันพูดว่า “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ก็สามารถกลายเป็นซูหลีได้หรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดอย่างเคร่งขรึม “ได้โปรดให้ข้าแนะนำตัวข้าเองสักหน่อย ข้าเป็นเพื่อนทางจดหมายของท่าน”
ราชามารพูดอย่างตกใจเล็กน้อย “เพื่อนทางจดหมาย?”
ถังซานสือลิ่วพูด “ใช่แล้ว จดหมายของฝ่าบาททั้งหมดข้าอ่านแล้ว จดหมายสี่ฉบับแรกที่ส่งให้ท่านเป็นข้าที่เขียนเอง”
ราชามารมองไปยังเฉินฉางเซิงพูดอย่างตั้งใจเป็นพิเศษว่า “นี่มันมากเกินไปอยู่บ้าง”
เฉินฉางเซิงอธิบายอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่เก่งในการติดต่อกับผู้คน และในตอนแรกเราก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกัน กลัวว่าเขียนแล้วมันจะอึดอัดเกินไป”
ราชามารนึกย้อนกลับไปถึงเนื้อความในจดหมายเหล่านั้น พูดด้วยอารมณ์ว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าตั้งข้าไว้เป็นคนสนิทตั้งแต่ต้นเสียอีก”
“ฝ่าบาท ที่ผ่านมาข้าเห็นเจ้าเป็นคนสนิท ตลอดมาข้าเห็นเจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุด”
ถังซานสือลิ่วพูดกับราชามารว่า “ดังนั้นสหายที่รักข้า…นำของที่อยู่ในมือเจ้าส่งมาให้ข้าเถิด”
ราชามารมองเขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นก็ถามว่า “เจ้าไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากที่ใด”
ถังซานสือลิ่วพูดว่า “ข้าไม่รู้ แต่ท่านปู่ของข้าไม่อยากเล่นไพ่กับข้า”
ราชามารพูดว่า “กระทั่งท่านปู่ถังยังไม่ต้องการลงสนาม ดูท่าทักษะการเล่นไพ่ของเจ้าคงจะโดดเด่น”
“ที่จริงทักษะการเล่นไพ่ของข้านับว่าธรรมดา เทียบกับท่านปู่และเทพธิดาแล้วยังห่างอีกไกล แต่ข้ามีเคล็ดลับข้อหนึ่งที่สามารถเอาชนะใต้หล้าได้”
ถังซานสือลิ่วพูดอย่างตั้งใจว่า “พลิกโต๊ะได้ดีที่สุด หากไม่สามารถยกโต๊ะได้ เช่นนั้นข้าจะเดิมพันด้วยสมบัติทั้งหมดที่มีของข้า”
“ตระกูลถังนับเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเผ่ามนุษย์ หากเจ้าพนันกับคนอื่นด้วยสมบัติที่มีทั้งหมด เป็นธรรมดาที่เจ้าจะชนะเดิมพันทุกครั้ง”
ราชามารเยาะเย้ยและพูดว่า “แต่หากเจ้าพนันกับข้าด้วยสมบัติทั้งหมดของเจ้า เกรงว่าเจ้าคงไม่มีเบี้ยเดิมพันมากเท่าข้า”
นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าตระกูลถังจะร่ำรวยและมั่งคั่งเพียงใด ไม่ว่าเบื้องหลังจะลึกล้ำแค่ไหน พวกเขาจะเทียบกับเจ้าผู้ครองอาณาเขตเผ่ามารได้อย่างไร”
ถังซานสือลิ่วพูดอย่างจริงจังว่า “นั่นไม่จำเป็น”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในห้อง “ข้าเอาด้วย”
ผู้ที่พูดก็คือสวีโหย่วหรง ท่าทางสงบมาก
หวังผ้อก็นำสำนักต้นไหวมาวางพนันด้วย
ยิ่งนานไปก็ยิ่งมีคนร่วมด้วยเยอะขึ้น
เฉินฉางเซิงและท่านปู่ถังมิได้พูดอันใด ทุกคนต่างรู้ว่าพวกเขาจะทำเช่นไร
ถังซานสือลิ่วนั่งอยู่บนรถเข็น จ้องมองไปที่ดวงตาของราชามาร ท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เกมเดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่ตระกูลถัง และก็ไม่ใช่พระราชวังหลี แต่เป็นเผ่ามนุษย์ทั้งหมด
ราชามารเงียบไปอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “เงื่อนไขในจดหมายยังนับด้วยหรือไม่”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “แน่นอน”
ถังซานสือลิ่วพูดว่า “ข้าให้สิทธิพิเศษกับเจ้ามากที่สุดเลยแล้วกัน ยึดตามจดหมายฉบับที่สิบเอ็ด”
“ดี”
ราชามารโยนสากหินในมือไปทางถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วเหยียดมือขวาออกเพื่อจับสากหินนั่น เขามองดูสองครั้ง โยนให้ท่านปู่ถัง
ของสำคัญอย่างศาสตราเทพเช่นนี้ เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของโลกได้ เมื่ออยู่ในมือของเขาก็ราวกับเป็นของเล่นไร้ค่า
ไม่มีผู้ใดประหลาดใจกับการกระทำของถังซานสือลิ่ว รวมถึงเฉินฉางเซิงด้วย
ไม่ว่าสิ่งของนั้นจะมีค่าสักเพียงใด เขาก็ไม่เคยคิดจริงจังกับมันเลย เมื่อหลายปีก่อนในเมืองไป๋ตี้ ตอนที่เขาโยนไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของสำนักฝึกหลวงให้กับเฉินฉางเซิง เขาก็ทำตัวตามสบายเช่นนี้
มีเพียงเยี่ยเสี่ยวเหลียนที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่เท่านั้น ที่รู้ว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น
นางมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนที่ถังซานสือลิ่วรับสากหินอันนั้นไว้ เสื้อผ้าที่อยู่ข้างหลังเขาเปียกโชกในทันที เห็นได้ชัดว่าเขาประหม่าถึงขีดสุด
ราชามารมองไปยังถังซานสือลิ่วถามว่า “เจ้าไม่กลัวจริงๆ หรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดอย่างมั่นใจว่า “ข้ามิใช่คนปัญญาอ่อน จะไม่กลัวได้อย่างไรกัน!”
ราชามารพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “เช่นนั้นเหตุใดท่าทางของเจ้าจึงยังดูสงบนัก มองไม่เห็นพิรุธใด”
“อาจเป็นเพราะว่าข้าร่ำรวยมาตั้งแต่ยังเด็ก”
ถังซานสือลิ่วพูดเสริมว่า “ไม่ว่าจะเป็นทางวัตถุหรือจิตวิญญาณ”
……
……
ในบทสนทนาสุดท้ายของค่ำคืนนั้น ซางสิงโจวเคยพูดไว้ก่อนแล้ว คนชุดดำอาจจะยังมีอุบายบางอย่างอยู่ แต่ไม่อยากให้เฉินฉางเซิงสนใจมากเกินไปนัก
ดูจากตอนนี้ อุบายสุดท้ายของคนชุดดำก็คงจะเป็นเรื่องนี้ แต่เขาคงคิดไม่ถึงว่าเจตจำนงของการต่อต้านของราชามารจะรุนแรงเช่นนี้
ไม่ว่าพิฆาตดวงดาวจะยังใช้การได้หรือไม่ ตอนนี้มันได้อยู่ในมือของท่านปู่ถังแล้ว เชื่อว่าถึงแม้คนชุดดำจะปรากฏกายออกมา ก็ไม่สามารถแย่งไปได้
แต่แท่นบูชานั้นยังคงอยู่ ซึ่งก็หมายความว่าภัยคุกคามยังไม่ถูกกำจัดโดยสมบูรณ์
“แท่นบูชาอยู่ที่ใด” เฉินฉางเซิงถาม
ราชามารสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เปลวไฟมารก็ขยับขึ้นมา ค่อยๆ เผยให้เห็นภาพที่ซ่อนอยู่ทีละน้อย แล้วเมืองเสวี่ยเหล่าก็ปรากฏขึ้น
บางส่วนของเปลวไฟมารก็มีสีเข้มกว่า ราวกับค่ำคืนที่ไม่มีอยู่จริง ไม่มีลำแสงใดหลงเหลืออยู่เลย
แท่นบูชาอยู่ที่นั่น
หวังผ้อจดจำตำแหน่งนั้นอยู่ในใจอย่างเงียบๆ หมุนตัวและออกจากวังมาร
“แล้วผู้คุมกฎเผ่ามารกับขุนพลมารลำดับสองที่สองเล่า คนชุดดำอยู่ที่ใด”
เฉินฉางเซิงมองราชามารแล้วพูดว่า “ในเมื่อตอนนี้เราต่างก็ตกลงกันแล้ว เหตุใดจึงไม่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเสียเลือดน้อยลง”
มุมปากของราชามารขยับเล็กน้อง ยิ้มหยันตัวเองแล้วพูดว่า “นี่เจ้ามองไม่เห็นจริงๆ หรือว่า ตอนนี้ข้าคือผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย”
……
……
ผู้โดดเดี่ยวเดียวดายคือชื่อที่จักรพรรดิเผ่ามนุษย์เรียกตนเอง และไม่เหมาะที่จะใช้กับราชามาร
เช่นเดียวกับเสาศิลาสีดำสีดำบนเนินเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะใหญ่เล็กหรือมีรูปร่างใด ที่จริงแล้วมันไม่เหมาะจะเอามาทำเป็นป้ายศิลาจารึกหน้าหลุมฝังศพ
เสาศิลาสีดำหลายพันต้น เป็นตัวแทนของเผ่ามารชั้นสูงที่สิ้นชีพในสนามรบหลายพันตน
ยิ่งอยู่ใกล้ยอดเข้ามากเท่าใด ฐานะของเผ่ามารผู้ถูกฝังก็ยิ่งสูงส่งมากเท่านั้น
แน่นอนว่า นอกจากทายาทผู้เคราะห์ร้ายของตระกูลผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลกู้ไอ ท่านอ๋องและขุนนางแห่งเมืองเสวี่ยเหล่าก็น้อยมากที่จะตายในสนามรบ
ทุกแห่งหนในสุสานเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ นั่นเป็นเพราะขุนนางและฮูหยินกำลังร้องไห้ให้บุตรชายที่ตายจากไป และคู่รักหลายคู่ที่ต้องแยกจากกัน
ยังมีขุนนางจำนวนมากที่มีใบหน้าเปื้อนฝุ่น สีหน้าหมองคล้ำจับจ้องไปยังท้องนภายามค่ำคืน
พวกเขารู้ว่าสุสานนั้นถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นแท่นบูชาโดยกุนซือ ส่งข้อความของฝั่งนี้กลับไปยังดินแดนเซิ่งกวง แล้วเหตุใดจึงไม่มีลำแสงลงมา ดึงตนเองมารับกลับไป
กองทัพเผ่ามนุษย์บุกเข้าไปในเมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว เหตุใดตนเองจึงยังยืนอยู่ตรงนี้
มีเสียงโห่ร้องและกีบเท้าดังขึ้นหนาแน่นในตอนกลางคืน คงจะเป็นทหารม้าของเผ่ามนุษย์ที่กวาดล้างกองกำลังต่อต้านอยู่ในเมือง
ท่านอ๋องแล้วขุนนางเหล่านั้นรู้สึกด้านชา พวกเขาดูไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย ราวกับว่าแม้แต่เสียงเหล่านั้นเขาก็ไม่ได้ยิน
หวังผ้อยืนอยู่บนยอดเขามองดูสตรีที่แต่งานแล้วร่ำไห้ ขุนนางที่เดินราวกับคนตาย ก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ
สายตาของเขาเคลื่อนไปยังสุสาน รู้สึกถึงพลังงานที่มีอยู่ในเสาศิลาสีดำ ยืนยันว่าราชามารไม่ได้โกหก นี่คงจะเป็นแท่นบูชา
แต่เขากลับรู้สึกว่ามันยังมีปัญหาบางอย่าง แท่นบูชานี้ไม่น่าจะเพียงพอให้ทำลายช่องว่างอันแข็งแกร่งนั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเชื่อมโยงสองดินแดนที่ห่างไกลเข้าด้วยกัน
หรือจะเป็นดังเช่นที่ราชามารพูด แท่นบูชานี้ต้องใช้ร่วมกับพิฆาตดวงดาว จึงจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์
ในขณะที่หวังผ้อกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ในมุมที่ห่างไกลทางด้านตะวันออกของเนินเขา คนขุดหลุมฝังศพสวมเสื้อผ้าโทรมและหมอบอยู่ข้างหลังกำลังจะจากไป
คนขุดหลุมฝังศพนั้นเพิ่งจะขุดหลุมฝังศพใหม่ วางศพธรรมดาของมารระดับสูงลงไป
คนขุดหลุมฝังศพในสุสาน ศพในหลุมศพ ทุกอย่างเป็นปกติอย่างที่เคยเป็นมา แต่เมื่อคิดถึงเมืองเสวี่ยเหล่าที่กำลังจะพังทลาย เห็นได้ชัดว่านี่มันผิดปกติมาก
สายตาอันสงบเงียบจับจ้องยังร่างของคนขุดหลุมศพอยู่อย่างนั้น มองดูเขาค่อยๆ เดินช้าๆ ไปทางลาดหญ้า
เมื่อร่างของผู้ขุดหลุมฝังศพกำลังจะหายไปภายใต้แนวที่ลาดหญ้าซึ่งตัดกับท้องฟ้ายามค่ำคืน เสียงของหวังผ้อก็ดังขึ้นมา
“อีกสักรอบหนึ่ง?”
คนขุดหลุมศพนั้นหยุดฝีเท้าลง
สายลมยามค่ำคืนโบกพัดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง จึงจะเห็นได้ชัดว่าสาเหตุไม่ใช่เพราะเขาหลังค่อม แต่เป็นเพราะเขาตัวเตี้ยมากอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเขาก็หมุนตัวกลับแล้วพูดว่า “ดี”
เสียงของเขายังคงแหบแห้งและไม่ค่อยน่าฟัง
คราบบนหมวกดูแปลกตามากภายใต้แสงดวงดาว
ที่ราบทุ่งหญ้าเบื้องหน้าของเทือกเขานั่วรื่อหลั่งเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งแรก และหนองน้ำเบื้องหน้าของเมืองเสวี่ยเหล่าคือการเผชิญหน้ากันครั้งที่สอง
สุสานคืนนี้เป็นที่ที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง และอาจจะเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้าย
ผู้คุมกฎเผ่ามารชักดาบเล่มใหญ่จากสายลมยามค่ำคืน แล้วเดินไปทางหวังผ้อ
……
……