แสงดาบทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือดแฝงกลิ่นอายความสยองขวัญไร้ขอบเขต ประกายแสงยังไม่ทันได้ดับลง ก็กลายเป็นเส้นแสงที่แหลมคมที่สุดในโลก วาดเป็นเส้นตรงนับไม่ถ้วนในม่านรัตติกาล เรียกหมู่เมฆจำนวนนับไม่ถ้วนมาจากระยะไกล ปกคลุมดวงดาวนับไม่ถ้วน
ลมพายุโหมกระหน่ำ กิ่งไม้ใบหญ้าหักกระจาย แผ่นป้ายสี่เหลี่ยมสีดำก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นดั่งลูกศรอันน่าสะพรึง เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังอยู่ทุกหนแห่งในสุสาน ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินสูงศักดิ์ผู้ร่ำไห้หาลูกชายหรือว่าขุนนางผู้ด้านชาก็คืนสติแล้ว หนีไปทั่วทุกสารทิศ แต่ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วที่หนีออกไปได้จะเหลืออยู่กี่คน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดสายลมก็หยุดลง ดินและกรวดจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาราวกับห่าฝน และแสงดาบอันน่าสะพรึงกลัวทั้งสองก็ไม่เคยสว่างขึ้นอีกเลย
เมฆบนท้องฟ้ายามค่ำคืนกระจัดกระจาย แสงดวงดาวส่องสว่างไปทั่วสุสาน ถึงได้พบว่าเนินหญ้าในระยะไม่กี่ลี้นั้นจมลึกลงไปหลายฉื่อ!
ในระยะไกล ดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือขอบฟ้า
ผู้คุมกฎเผ่ามารยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเนินหญ้า รูปลักษณ์ยังคงดูเล็กเตี้ย แต่ภายใต้แสงจันทร์เต็มดวงที่ส่องสะท้อน กลับดูสูงใหญ่อย่างมาก
หมวกที่มีคราบสนิมเขียวแตกออกจากการสู้รบ และหล่นลงบนพื้นอย่างตามใจ
นางถักเปียสูงตั้งชี้ขึ้นฟ้า ดูแล้วน่าขบขันเล็กน้อย ดูแล้วราวกับเด็กผู้หญิงนางหนึ่ง แต่ท่าทางของนางกลับดูดุดันมาก
เส้นผมรอบเปียนั้นดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ผมบางเส้นพลิ้วไปตามสายลมยามค่ำคืน ดูเหมือนเป็นกิ่งไม้แห้งหลังจากนกบินหนีไป
หากมองอย่างละเอียด น่าจะพอมองเห็นริ้วรอยที่หางตาของนาง และยังมีผมหงอกเล็กน้อย
หวังผ้ออยู่ด้านล่าง มีบาดแผลบางมากที่คอข้างซ้าย และมีเลือดไหลออกมาจากตรงนั้น
หากดาบของผู้คุมกฎเผ่ามารใกล้เข้ามาอีกหนึ่งชุ่น ศีรษะของเขาคงร่วงลงมาฟันเหมือนผลสุก
เมื่อมองไปที่ร่างเล็กเตี้ยบนยอดเนินหญ้านั้น หวังผ้อก็เงียบจนพูดไม่ออก
ใครเลยจะคาดคิด ผู้คุมกฎเผ่ามารผู้ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้กลับเป็นสตรีนางหนึ่ง
ผู้คุมกฎเผ่ามารหันกลับมาพูดกับหวังผ้อว่า “ต่อไปเจ้าอาจจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่ตอนนี้ยังเทียบข้าไม่ติด”
ตอนที่พูดประโยคนี้ ท่าทางของนางไม่แยแสและเย็นชา ไม่มีอารมณ์ใดๆ เพราะมันเป็นเพียงการชี้แจงแสดงเรื่องเท่านั้น
หวังผ้อพูดว่า “ใช่ ข้ากับท่านยังห่างกันอยู่ช่วงหนึ่ง”
เขาไม่ได้ปิดบังความเคารพต่อยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเผ่ามาร
หน้าเทือกเขานั่วรื่อหลั่งและเมืองเสวี่ยเหล่า การปะทะดาบกันสองครั้งของหวังผ้อและผู้คุมกฎเผ่ามารถือได้ว่าเป็นสองช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในสงครามครั้งนี้
ในการเผชิญหน้ากันสองครั้งนี้ ผู้คุมกฎเผ่ามารมักจะกดเขาไว้เสี้ยวหนึ่ง
ถึงแม้จะเป็นเสี้ยวบางๆ แต่ก็เป็นเหมือนคูน้ำที่ผ่านไม่ได้
การเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายในคืนนี้ หวังผ้อได้รับชัยชนะ เป็นเพราะอาการบาดเจ็บของนางสาหัสกว่าเขามาก
เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เซียวจางใช้ทวนน้ำค้างเทพทิ้งรูเลือดไว้ที่หน้าอกของนาง จนกระทั่งคืนนี้ก็ยังไม่หายดีดังเดิม
หวังผ้อพูดกับผู้คุมกฎเผ่ามารว่า “ผู้อาวุโส โปรดบอกข้าเถิดว่าคนชุดดำอยู่ที่ใด”
ผู้คุมกฎเผ่ามารพูดว่า “อาศัยอะไรมาให้ข้าต้องบอกเจ้า”
หวังผ้อพูดว่า “แท่นบูชานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นหมากลวง คนชุดดำทำให้เผ่ามารมีจุดจบเช่นนี้ ท่านไม่เกลียดเขาหรือ”
ผู้คุมกฎเผ่ามารพูดพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! สัตว์ตัวผู้เช่นพวกเจ้าดูถูกสตรีอย่างพวกข้าเสมอ ไหนเลยจะรู้ว่ากุนซือยิ่งใหญ่แค่ไหน นางฆ่ากระทั่งพี่ใหญ่ที่พวกข้าไม่กล้ายุ่งจนตาย เล่นกับคนทั้งทวีปมาหลายร้อยปี ข้าจะเกลียดนางได้อย่างไรกัน ข้ามีแต่จะเลื่อมใสบูชานางต่างหาก”
หวังผ้อไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด
ผู้คุมกฎเผ่ามารหมุนกายกลับไปมองดวงจันทร์ที่อยู่ไกลออกไป
ขณะที่หวังผ้อคิดว่านางจะขับเพลงกลอนบทหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนางสบถขึ้นมา
“พวกปัญญาอ่อน”
ผู้คุมกฎเผ่ามารพูดด้วยใบหน้ารังเกียจว่า “คิดเรียนรู้จากเผ่ามนุษย์ อยากจะใช้ละอองดวงดาวเข้ามาแทนที่แสงศักดิ์สิทธิ์ มันไหนเลยจะดีกว่าแสงจันทร์! กระบี่ดารากางเขนใต้อะไรกัน แค่ได้ยินชื่อก็ว่าโง่จะตายแล้ว ฮึ!”
เสียงหยิ่งผยองดังขึ้นคราหนึ่ง
เงาร่างเล็กนั่นพลันแยกออกจากกันก่อนที่จันทร์เต็มดวง
เลือดสีทองโปรยลงมาทั่วฟ้า ดูราวกับกลีบบุปผา ปกคลุมไปทั้งเนินหญ้า
……
……
เมืองเสวี่ยเหล่าปรากฏขึ้นในเปลวเพลิงมารคล้ายมีคล้ายไม่มี ที่ตั้งของสุสานนั้นชัดเจนมาก เพราะที่นั่นมืดมาก
ทันใดนั้น ประกายแสงที่บางมากสองสายก็ปรากฏขึ้นในพื้นที่มืดมิดแห่งนั้น แล้วค่อยๆ ดับลง
ทุกคนต่างมองไปยังบางแห่งในเมืองเสวี่ยเหล่า จึงเห็นแสงสีทองส่องสว่างในรัตติกาล
เมื่อผู้แข็งแกร่งระดับผู้คุมกฎเผ่ามารตายไป ฟ้าดินย่อมต้องมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทุกคนในวังมารต่างสัมผัสได้ และอดไม่ได้ที่จะนิ่งขรึมลง
“นางเป็นท่านป้าของข้า เป็นสตรีที่น่าทึ่งคนหนึ่ง…อ้อ ตัวนางก็ไม่ค่อยสูงเท่าใดนัก”
ราชามารมองไปยังหนานเค่อพูดด้วยความเสียใจว่า “เดิมทีอาจารย์และข้าหวังว่าต่อไปในอนาคตเจ้าจะเป็นนางคนที่สอง แต่ว่าเจ้าไร้เดียงสาเกินไป คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะโดนเสด็จพ่อหลอกให้ลงไปห้วงลึกได้”
หลังจากหนานเค่อตามเฉินฉางเซิงและคนอื่นๆ เข้ามาในตำหนักมาร ตลอดมาก็ไม่ได้พูดคำใดเลย ท่าทางทำอะไรไม่ถูก เป็นเหมือนสัตว์ร้ายตัวเล็กๆ ที่ไม่สามารถหาบ้านได้หลังจากได้รับบาดเจ็บ
ราชามารขจัดอารมณ์เศร้าของเขาอย่างรวดเร็ว มองดูเฉินฉางเซิงอย่างสงบแล้วพูดว่า “แท่นบูชาถูกทำลายแล้ว ข้อตกลงเสร็จสิ้นแล้ว ข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่”
ทุกคนตรงนี้รู้ดีว่า คำว่าไปในประโยคนี้ของเขาไม่ใช่ไปที่หมายถึงไปจริงๆ แต่เป็นอีกความหมายหนึ่ง
เฉินฉางเซิงไม่ได้รับคำ มองไปยังราชามาร และพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่รู้ว่าควรจะชื่นชมท่านหรือเห็นใจท่าน”
ประโยคนี้ไม่ได้พูดถึงการไป และก็ไม่ใช่การยอมจำนน แต่ว่าพูดถึงความรู้สึกของราชามารช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ทหารเผ่ามนุษย์เข้ามาในเมือง ที่สุดแล้วเผ่ามารควรทำอย่างไร ยอมรับอย่างเงียบๆ หรือฝ่าฝืนกฎของบรรพบุรุษเพื่อต่อสู้อย่างบ้าคลั่งเป็นครั้งสุดท้าย
เชื่อว่าช่วงหลายวันมานี้ราชามารต้องรู้สึกเจ็บปวดมากเป็นแน่
……
……
“เขาไม่เจ็บปวดสักนิด”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในตำหนักมาร แต่ฟังไม่ชัดเจนว่าดังมาจากที่ใด
“หลายปีก่อน เมืองเสวี่ยเหล่าโดนล้อมโดยเด็กสกุลเจี้ย ข้าแนะนำให้สร้างแท่นบูชา ใช้พิฆาตดวงดาวเปิดเส้นทางมิติอีกครั้ง สิงซานตงกลับไม่เห็นด้วย ฝ่าบาทก็เหมือนกับบิดาของเขา ดังนั้นเขาไม่ได้เจ็บปวดด้วยซ้ำ เขากระทั่งมีความสุขชนิดหนึ่งจากสาเหตุนั้น”
เสียงนั้นหายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าไม่เคยรับรู้ถึงเทพเจ้าองค์นั้น ข้าจึงไม่เข้าใจความกลัวของพวกเขา การแสวงหาอิสรภาพที่เรียกว่าความหวาดระแวง ท้ายที่สุดมาจากที่ใดกันแน่”
เสียงนั้นไพเราะมาก เหมือนน้ำพุที่ไหลลงไปในสระอันเงียบสงบ และเหมือนสายพิณที่ดีดด้วยปลายนิ้ว และมือนั้นต้องงดงามมาก
เปลวไฟมารสีดำหมุนโคจรอีกครั้ง ราวกับต้นไม้ตายซากที่เติบโตในหนองน้ำ ค่อยๆ เผยให้เห็นมุมหนึ่งของเสื้อผ้า
เสื้อผ้านั้นก็ยังเป็นสีดำ
เปลวไฟมารในตำนานที่สามารถเผาไหม้ทุกสิ่งในโลกได้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถเผาเสื้อตัวนั้นได้
นั่นก็คือเสื้อคลุมสีดำชุดหนึ่ง
ที่แท้เขาซ่อนตัวอยู่ในห้วงลึกหลังเปลวไฟมาร ไม่แปลกใจเลยที่กองทัพมนุษย์จะไม่พบร่องรอยของเขาในเมืองเสวี่ยเหล่า
ทันใดนั้นจี๊ดจี๊ดก็พูดขึ้นว่า “พวกเขาต่างพูดว่าเสียงของเจ้าไม่น่าฟังสักนิด ดูท่าแล้วจะเป็นการถ่ายทอดที่ผิด”
ในเวลาแบบนี้ยังกังวลใจกับปัญหานี้ คงพูดได้เพียงว่ากระบวนการคิดของนางแตกต่างกับผู้คนอยู่บ้าง
ท่านปู่ถังพูดว่า “นี่ถึงจะเป็นเสียงที่แท้จริงของนาง”
มองไปยังคนชุดดำ เป็นเขาจริงๆ แววตาพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำในบ่อทำเกิดระลอกคลื่น
คนชุดดำเมินพวกเขา มองไปยังราชามารแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าหนานเค่อจะเป็นลูกศิษย์ข้า แต่ที่ผ่านมาเจ้าก็มักจะปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นอาจารย์ และข้าก็มีความรู้สึกสงสารแบบหาได้ยากต่อเจ้าส่วนหนึ่ง น่าเสียดายที่หลังจากดิ้นรนมาหลายวันระหว่างการทำลายล้างเผ่าพันธุ์และการฝึกฝนของบรรพบุรุษ สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังไม่อยากฟังความเห็นของข้า”
ราชามารเงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “นั่นเป็นเพราะข้ารักท่าน ข้าไม่ต้องการให้ท่านน่าเกลียดไปมากกว่านี้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทุกคนต่างก็ตะลึง ไม่รู้ว่าคำที่เขาพูดนั้นเกี่ยวกับความเคารพรักอาจารย์ หรือว่า…
ราชามารมองไปยังสวีโหย่วหรง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่โด่งดังและน่าตื่นเต้นที่สุดระหว่างชายหญิงในดินแดนต้าลู่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กระทั่งเปรียบได้กับจดหมายสมรสที่เฉินฉางเซิงหยิบออกมาในงานการชุมนุมไม้เลื้อย ก็น่าจะเป็นคำประกาศให้ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ได้รับรู้ของราชามารเมื่อตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น…ข้าต้องการสวีโหย่วหรงมากๆ
ตลอดเวลาที่อยู่ในวังมารคืนนี้สวีโหย่วหรงเงียบมาโดยตลอด ราชามารก็ไม่ได้พูดคำใดกับนาง หลายคนเคยคิดว่าข่าวลือก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ประโยคนั้นไม่เป็นความจริงเสียแล้วการบุกรุกทางใต้ของกองทัพเผ่ามารในปีแรกของยุคสมัยใหม่ เป็นเพียงการปกปิดจุดอ่อนของเผ่ามารเท่านั้น ไม่ใช่เพราะราชามารต้องการไปสู่ขอสวีโหย่วหรงจริงๆ
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ยินประโยคนี้
เฉินฉางเซิงไม่ได้ขัดจังหวะราชามาร กระทั่งไม่โกรธด้วยซ้ำ
ในสายตาของเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาอย่างแน่นอน
บุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างราชามาร จะไม่ชอบโหย่วหรงได้อย่างไรกัน
“แต่ข้ารักท่านกุนซือมากกว่า เพราะท่านกุนซือเป็นคนประหลาด”
ราชามารมองไปยังสวีโหย่วหรง แฝงเจตนาขออภัย และอธิบายอย่างจริงจัง “ข้าก็เป็นคนประหลาดเช่นกัน รู้สึกว่าเมื่ออยู่กับคนประหลาดด้วยกันจะมีพลังมากขึ้น”
“ขอบคุณ ข้านึกว่าเจ้าจะไม่พูดเสียแล้ว”
เสียงของคนชุดดำยังคงไพเราะเช่นนั้น สง่างามอย่างไม่ตั้งใจ และมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง
ราชามารพูดว่า “มันใกล้จบแล้ว ข้าต้องพูดสิ่งที่ข้าอยากพูดออกมา”
“ยังไม่ถึงเวลาที่จะจบ”
คนชุดดำมองเขาและพูดอย่างน่าสงสารว่า “ขนาดสิงซานตงยังไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของข้า แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรกัน”
ราชามารยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “ข้านำพิฆาตดวงดาวให้พวกเขาแล้ว”
“สิ่งนั้นอยู่ในมือข้า”
ท่านปู่ถังพูดกับคนชุดดำว่า “ในปีนั้นแม้ว่าเจ้าต้องการดวงดาว คนในลั่วหยางต่างก็เต็มใจที่จะหยิบมันให้เจ้า แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันไม่ใช่ปีนั้นแล้ว”
ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนมาก ไม่ว่าในกรณีใด เขาจะไม่นำพิฆาตดวงดาวให้แก่เขา
คนชุดดำมองไปยังเขายิ้มหยันเล็กๆ แล้วพูดว่า “ณ ตอนนั้น ไม่มีตัวละครเล็กๆ เช่นท่านและซางสิงโจวอยู่ในสายตาข้า”
ท่านปู่ถังพูดด้วยอารมณ์ว่า “ใช่สิ ตอนนั้นเจ้าเป็นคนที่งดงามสว่างไสวที่สุดในเวลานั้น”
น้ำเสียงของคนชุดดำแก้ไขอย่างจริงจัง “ไม่เพียงแต่ในตอนนั้น แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังเป็นคนที่งดงามสว่างไสวที่สุด”
ท่านปู่ถังพูดว่า “แต่ถึงแม้เขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา ก็ไม่มีทางพรากสิ่งนั้นไปจากข้าได้”
ไม่รู้ว่าพิฆาตดวงดาวถูกเขาซ่อนไว้ที่ใด บางทีบนร่างของเขาอาจะมีศาสตราช่องว่างมิติพิเศษก็เป็นได้
ริมฝีปากของคนชุดดำมีความประชดประชันมากขึ้น “ใครบอกว่าข้าอยากได้พิฆาตดวงดาวกัน”
ราชามารพูด “ท่านเคยบอกกับข้า ตำแหน่งนั้นตรงกัน แต่ว่าดินแดนนี้ของข้าจะเคลื่อนโคจรตามมหาสมุทรดวงดาวอยู่ตลอด”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เฉินฉางเซิงก็นึกถึงบันทึกของหวังจือเช่อและภาพเหล่านั้นที่คิดคำนวณออกมาได้ในสุสานเทียนซู
ราชามารพูดต่อว่า “แม้ว่าท่านจะใช้แท่นบูชาเพื่อส่งข่าว แต่ดินแดนเซิ่งกวงก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของพวกเราได้ เช่นนั้นจะเปิดเส้นทางได้อย่างไร”
ความหมายของประโยคนี้ดูซับซ้อน แต่ความจริงแล้วเรียบง่ายและชัดเจนมาก
เมื่อท่านยืนอยู่บนทุ่งหญ้าและได้ยินใครบางคนเรียกหาท่าน ท่านสามารถระบุได้คร่าวๆ ว่าเสียงนั้นมาจากทิศทางใด แต่ท่านจะไม่สามารถระบุตำแหน่งเฉพาะจงเจาะของอีกฝ่ายได้
เว้นเสียแต่ท่านจะติดต่อกับอีกฝ่ายเรื่อยๆ ให้ค่อยๆ การแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ จำกัดขอบเขตลงทีละน้อย จนกว่าจะพบอีกฝ่ายหนึ่ง
ไม่มีพิฆาตดวงดาว คนชุดดำจะรักษาสายสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสองดินแดนในช่วงเวลานั้นได้อย่างไร
คนชุดดำพูด “ข้าพูดแล้ว ข้าไม่ต้องการพิฆาตดวงดาว”
ราชามารพูดว่า “นี่เป็นไปไม่ได้ คัมภีร์ทั้งหมดบันทึกไว้อย่างชัดเจน นี่เป็นวิธีเดียวที่จะเปิดเส้นทางมิติ นี่เป็นเพียงหนทางเดียว”
คนชุดดำพูดว่า “ข้ารู้ว่ามีวิธีหนึ่งสามารถทำให้ดินแดนเซิ่งกวงระบุตำแหน่งของพวกเราได้อย่างถูกต้อง”
ราชามารพูดอย่างตกใจว่า “วิธีใดกัน”
คนชุดดำมองไปทางเฉินฉางเซิง พูดว่า “ข้ารอท่านมานานแล้ว”