ตอนที่ 1941 เขาคือ...อาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1941 เขาคือ…อาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

 

ในที่พักของผู้สืบทอดนั้น แน่นอนว่าต้องมีห้องบ่มเพาะกาลเวลาอยู่ด้วย ซึ่งในที่แห่งนี้มีอยู่ด้วยกันสามประเภท

 

ประเภทแรกคือห้องเร่งเวลาห้าสิบเท่า ซึ่งจะถูกใช้โดยเหล่าผู้ติดของผู้สืบทอด แม้ประสิทธิภาพจะต่ำที่สุด แต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ที่ดีสําหรับคนที่เป็นผู้ติดตาม เนื่องจากสามารถใช้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

 

ประเภทที่สองคือห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่า ที่จะถูกใช้โดยเหล่าแขกของผู้สืบทอด ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน

 

ประเภทที่สามคือห้องเร่งเวลาสองร้อยเท่า ที่จะถูกใช้โดยตัวของผู้สืบทอดเอง คนอื่นจะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อ หลิวเจี๋ยอนุญาติเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกหลิงฮันจะไปใช้ห้องเร่งเวลาสองร้อยเท่า และต้องเลือกใช้ห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่าแทน

 

ตราบใดที่เข้ามายังที่พักของผู้สืบทอดได้ ก็จะสามารถใช้ห้องเร่งเวลาหนึ่งร้อยเท่าได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 

หลิงฮันกับเยี่ยนเว่ยเข้าไปยังห้องบ่มเพาะกาลเวลาพร้อมกัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างนําเตาหลอมออกมา และทําการเตรียมการหลอมเม็ดยา

 

พวกเขาปิดรูปแบบอาคมคุ้มกันเอาไว้ เพื่อที่ว่าคนนอกจะได้มองเห็นด้านในได้ชัดเจน

 

เนื่องจากนี่คือการประลอง ขั้นตอนทุกอย่างจึงต้องเปิดเผยอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้นแล้ว หากมีฝ่ายใดนําเม็ดยานิรันดร์ระดับสูงออกมาจากอุปกรณ์มิติละ จะทําอย่างไร?

 

เมื่อได้ยินว่าจะมีการประลองหลอมเม็ดยาขึ้นที่นี่ ผู้คนที่ตามมาดูจึงมีมากมายยิ่งกว่าเดิม

 

“ข้าขอเปิดเดิมพัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ อัตราต่อรองก็จะเป็นหนึ่งต่อสอง” โม่ซวงส่งเสียงตะโกนออกมา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลิงฮันบอกให้เขาทํา ก่อนจะเข้าสู่ห้องบ่มเพาะกาลเวลา

 

ใครหลายคนยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ก็จริง แต่หลังจากรับรู้เรื่องราวต่างๆแล้ว พวกเขาก็ลงเดิมพันข้างเยี่ยนเว่ยโดยไม่คิด

 

หากต้องการได้ผลตอบแทน ก็ต้องเลือกฝ่ายที่มีชัยชนะมั่นคงอยู่แล้ว!

 

ไม่รู้ว่าโม่ซวงไปโดยลาที่ไหนถีบหัวมา เขาจึงได้เชื่อมั่นในตัวหลิงฮันขนาดนี้

 

หยางเจียที่เห็นก็จิตใจหวั่นไหวเล็กน้อย ในตอนแรกโม่ซวงยังปฏิเสธการประลองอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้เหตุใดถึงเป็นฝ่ายเริ่มเปิดเดิมพันก่อนกัน? ไม่เห็นเข้าใจเลยแม้แต่น้อย

 

แต่จะอย่างไรก็ช่าง เพราะอย่างไรการประลองในครั้งนี้ก็มีการเดิมพันมาตั้งแต่ต้นแล้ว

 

ที่บนโต๊ะหิน มีอุปกรณ์มิติมากมายวางกองเอาไว้ ซึ่งคนที่ลงเดิมพันส่วนใหญ่แล้วจะใช้ศิลาดวงดาวเป็นของเดิมพัน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ลงเดิมพันโดยใช้แร่โลหะกิ่งนิรันดร์ที่ล้ำค่าแทน

 

เมื่อเห็นของเดิมพันที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นบนโต๊ะหิน โม่ซวงก็เริ่มปาดเหงื่ออย่างเคร่งเครียด

 

ถ้าหากหลิงฮันเกิดแพ้ขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าเขาคงหมดตัวจนไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกง

 

เพียงแต่ถ้าหากหลิงฮันชนะ ผลกอบโกยที่จะได้รับก็จะมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน

 

“มีเรื่องอะไรกันงั้นรี ถึงได้ดูครึกครื้นกันขนาดนี้?” หานเทาเดินเข้ามา หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่คนอื่นๆ พูดถึงกันแล้ว ใบหน้าของเขาก็แสดงออกอย่างแปลกประหลาด

 

แม้จะน้อยนิด แต่เขาก็รู้พื้นเพส่วนหนึ่งของหลิงฮันเป็นอย่างดี ศิษย์น้องของปรมาจารย์นักปรุงยาสี่ดาว ด้วยสถานะนี้ยังไม่เพียงพอที่จะรับประกันชัยชนะงั้นรึ?

 

“ฮ่าๆ ถ้างั้นก็ขอข้าร่วมสนุกด้วยแล้วกัน” หานเทาหัวเราะ เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสทําเงินทิ้งไปอย่างแน่นอน

 

“ปิดรับเดิมพันแล้วเปิดรับเดิมพันแล้ว!” โม่ซวงรีบกล่าวออกมา โดยไม่รอให้หานเทากล่าวอะไรไปมากกว่านี้

 

“โม่เจ็ด เหตุใดเจ้าถึงใจดําเช่นนี้?” หานเทายิ้ม “เจ้าที่ได้กินเนื้อไปแล้ว ไม่คิดจะเหลือน้ำซุปให้ข้ากินบ้างเลยรึ?”

 

เมื่อได้ยิ้นเช่นนี้ ผู้คนรอบด้านก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจ ฟังจากน้ำเสียงของหานเทาแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมั่นใจว่า หลิงฮันจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน

 

เขาไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนกัน?

 

“ พี่ชายหาน ท่านหมายความว่าอย่างไรงั้นรึ?” ใครบางคนเอ่ยถาม

 

หานเทายิ้ม “ไม่ได้หมายความว่าอย่างไรทั้งนั้น ข้าแค่คิดว่าพี่ชายหลิงจะชนะก็เท่านั้น” เขากล่าวด้วยท่าที่ลวกๆ ขอไปที

 

ใครจะไปเชื่อกัน!

 

ทุกคนส่ายหัว ก่อนจะมีใครบางคนพูดโพล่งขึ้นมา “พี่ชายหาน หรือว่าหลิงฮันผู้นี้เป็นนักปรุงยาสามดาวกัน?”

 

“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้” หานเทาส่ายหัว “ที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่าพี่ชายหลิงฮันนักปรุงยากี่ดาว หรือแท้จริงแล้วเป็นเนักปรุงยารึเปล่าข้าก็ยังไม่รู้”

 

ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?

 

หานเทาเผยรอยยิ้มมีเลศนัย เมื่อทุกคนหันมามองที่เขา หานเทาก็เอ่ยกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ก็มีข้อมูลน้อยนิดที่ข้าพอรู้ และบอกกับพวกเจ้าได้”

 

“เผิงฮวาเหนียน หรือนักปรุงยาเผิง พวกเจ้าทุกคนคงรู้จักสินะ?”

 

ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เผิงฮวาเหนียนคือศิษย์ที่น่าภาคภูทิใจของปรมาจารย์จูเฟิง และเป็นนักปรุงยาที่มีโอกาสจะบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวได้สําเร็จในอนาคต

 

แล้ว… เผิงฮวาเหนียนผู้นั้นเกี่ยวอะไรด้วย?

 

“อย่าบอกนะว่าหลิงฮันคือศิษย์สายตรงของเผิงฮวาเหนียน?” ใครบางคนอุทานออกมา เนื่องจากตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเองคิด

 

อย่างโม่ซวง หยางเจีย หรือแม้แต่หานเทานั้น พวกเขาทุกคนคารวะนักปรุงยาเป็นอาจารย์ก็เพราะต้องการเรียนรู้ศาสตร์ปรุงยา เพื่อให้ได้มีสถานะในนามที่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์จูเฟิง

 

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เผิงฮวาเหนียนจะรับพวกเขาเป็นศิษย์สายตรง และส่งนักปรุงยาหนึ่งดาวมาชี้แนะพวกเขาแทน

 

ถ้าผิงฮวาเหนียนจะรับศิษย์สายตรงจริงๆ ความหมายจะแตกต่างออกไปในทันที ซึ่งจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาขนาดไหน

 

“เป็นไปไม่ได้ หากนักปรุงยาเพิ่งรับศิษย์จริงๆ เหตุใดพวกเราถึงไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อน?” ใครบางคนรู้สึกสงสัย เผิงฮวาเหนียนคือคนที่ติดตามปรมาจารย์จูเฟิงในศาสตร์ปรุงยา เพราะงั้นถ้าหากเขารับใครเป็นศิษย์ล่ะก็ เรื่องนี้ก็ต้องเป็นข่าวดังในเมืองผนึกแปรผันแห่งนี้แล้ว

 

“ หรือบางที่นักปรุงยาเผิงจะพบเจอเมล็ดพันธุ์ที่ดี ในขณะที่ออกเดินทางไปนอกเมือง?” ใครอีกคนกล่าวขึ้นมา

 

แม้จะเล็กน้อย แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแบบนั้น

 

“พี่ชายหาน ท่านช่วยพูดต่อได้หรือไม่” คนที่ความอดทนต่ำ และคร้านจะคาดเดาเองผู้หนึ่งเอ่ยถามออกไปตรงๆ

 

หานเทายิ้มและมองไปยังโม่ซวง “นั่นก็ขึ้นอยู่กับโม่เจ็ดว่าต้องการจะเปิดเผยรึไม่”

 

จากที่ดูแล้ว ต่อให้ไม่พูดเองหานเทาก็ต้องพูดออกไปอยู่ดี โม่ซวงจึงกล่าวออกไป “เผิงฮวาเหนียนคือศิษย์หลานของพี่ชายหลิง!”

 

พรวด!

 

กลุ่มคนกว่าครึ่งสําลักออกมา ในขณะกลุ่มคนอีกกว่าครึ่งชะงักแข็งข้างจนดวงตาแทบถลน

 

ปฏิกิริยาแรกของทุกคน แน่นอนว่า คือความตกตะลึง

 

“ฮ่าๆๆๆ!” หยางเจียหัวเราะลั่น “โม่เจ็ด เจ้าเกือบจะหลอกข้าได้แล้วจริงๆ ไม่คาดคิดเลยว่าความสามารถในการมโนของเจ้าจะสูงส่งเพียงนี้ ข้าประทับใจยิ่งนัก”

 

แม้จะกล่าวว่าประทับใจ แต่ใบหน้าของหยางเจีย กลับแสดงออกถึงความเหยียดหยาม

 

โม่ซวงไม่แสดงท่าที่โมโหใดๆ ออกมา หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง เขาก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่า หลิงฮันที่ยังเยาว์วัยขนาดนี้ จะเป็นอาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน

 

“นายน้อยโม่ จงถอนคําพูดของเจ้าเมื่อครู่ และขออภัยต่ออาจารย์ของข้าเดี๋ยวนี้!” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาอย่างเดือดดาล ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ

 

ชื่อของเขาคือก๋วยเต๋อซุย เนื่องจากเขาเป็นลูกศิษย์สายตรงของเผิงฮวาเหนียน เมื่อได้ยินโม่ซวงหมิ่นประมาทอาจารย์ของเขา จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะโกรธ

 

ในด้านของผู้หนุนหลัง เขาไม่อาจเทียบเคียงกับโม่ซวงได้แม้แต่น้อย และในด้านของความอาวุโสนั้น โม่ซวงสมควรเรียกเขาว่าอาจารย์ด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาก็ไม่กล้าบังคับให้อีกฝ่ายเรียกเขาแบบนั้น เพราะอย่างไรเขาก็เป็นเพียงนักปรุงยาหนึ่งดาวตัวจ้อยเท่านั้น