ตอนที่ 1942 ไม่มีคนแบบนั้น

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1942 ไม่มีคนแบบนั้น

 

“ทําไมข้าจะต้องกล่าวขออภัยด้วย? โม่ซวงกล่าวอย่างไม่แยแส

 

ไม่ต้องกล่าวเลยว่าเรื่องที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นความจริง ต่อให้เขาพล่ามเรื่องไร้สาระออกไป นักปรุงยาระดับหนึ่งตัวจ้อยก็ไม่มีสิทธิ์มาปรักปรําเขา

 

“เจ้าดูหมิ่นอาจารย์ของข้า!” ก๋วยเต๋อซุ่ยกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด

 

“ตรงไหนกันที่ข้าพูดดูหมิ่น?” โม่ซวงยิ้มอย่างอุ่นเคือง

 

ตอนนี้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ต่อเผิงฮวาเหนียนอย่างมาก ที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากเขา สําหรับศาสตร์ปรุงยานั้น เขาเพียงฝึกฝนเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น เมื่อความเคารพต่อเผิงฮวาเหนียนไม่หลงเหลือแล้ว เขาจึงไม่สนใจศาสตร์ปรุงยาอีกต่อไป

 

ก๋วยเต๋อซุยโกรธจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงและหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เจ้าเพิ่งกล่าวออกมาเองว่าอาจารย์ของข้าเป็นศิษย์หลานของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง คําพูดเช่นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นอีกงั้นรึ?

 

“การกระทําของเจ้าไม่เพียงเป็นการดูหมิ่นอาจารย์ของข้าทํานั้น แต่ยังเป็นการดูหมิ่นต่อปรมาจารย์จูเฟิงด้วย!” เขาคํารามเสียงดังลั่น พร้อมกับดวงตาของข้างได้มีเปลวเพลิงสองคลื่นปะทุออกมา

 

นักปรุงยานั้นไม่ว่าใครก็ต้องฝึกฝนอํานาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิง เพราะงั้นทุกคนจึงสามารถใช้อํานาจเปลวเพลิงได้

 

เมื่อได้ยิน ทุกคนรอบข้างก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

ถ้าหากเป็นอาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียน ก็หมายความว่าเป็นศิษย์น้องของปรมาจารย์จูเฟิงไม่ใช่หรอก?

 

ช่างน่าขันนัก รุ่นเยาว์ที่ยังเยาว์วัยขนาดนั้น จะเป็นศิษย์น้องของปรมาจารย์จูเฟิงได้อย่างไรกัน?

 

ต่อให้เจ้าต้องการจะพูดจาโอ้อวด ก็สมควรหาเรื่องที่น่าเชื่อมากกว่านี้มาพูด

 

“ไสหัวไป ข้าไม่ว่างมาพูดจาไร้สาระกับเจ้า!” โม่ซวงกล่าวอย่างเย็นชา ด้วยศักดิ์ศรีของราชาในหมู่ราชา แน่นอนว่าเขาย่อมรังเกียจที่จะรังแกจอมยุทธที่อ่อนแอ

 

“จะ จะ เจ้า” ก๋วยเต๋อซุยชี้นิ้วไปยังโม่ซวงด้วยมือที่สั่นเครือน ก่อนจะหันหลังเดินทางไปอย่างเกรี้ยวกราด

 

จริงอยู่ที่เขาไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของโม่ซวงได้ แต่ศิษย์ส่วนหนึ่งของเผิงฮวาเหนียนนั้น ไม่ใช่แค่เป็นนักปรุงยาสองดาว แต่ยังมีพลังอยู่ในระดับแบ่งแยกวิญญาณอีกด้วย หากตัวตนระดับนั้นลงมือ อย่างน้อยก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะเสียเปรียบหากต้องเผชิญหน้ากับโม่ซวง

 

จิตใจของโม่หวงไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ศิษย์ระดับสูงของเผิงฮวาเหนียนเลย ต่อให้เพิ่งฮวาเหนียนมาที่นี่ด้วยตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮัน อีกฝ่ายก็ทําได้เพียงเชื่อฟังอาจารย์ลุงของตน

 

“โม่เจ็ด เจ้าช่างเล่นใหญ่เสียจริง!” หยางเจียยิ้ม เขารอดูตอนที่อีกฝ่ายจะพลาดท่าไม่ไหวแล้ว

 

“เหอะ ใครจะเล่นหรือไม่เล่นนั้น เดี๋ยวก็รู้” โม่ซวงกล่าวอย่างไม่แยแส

 

“ดูนั่น ทั้งสองเริ่มทําการหลอมเม็ดยาแล้ว” จู่ๆ ใครบางคนก็เอ่ยขึ้นมา ซึ่งทําให้ความสนใจของทุกคนเปลี่ยนไปยังห้องบ่มเพาะกาลเวลาทันที

 

เพียงแต่ด้วยการที่ทุกคนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ปรุงยา พวกเขาจึงทําได้เพียงจ้องมองอย่างตื่นเต้นเท่านั้น และไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นฝ่ายเหนือกว่า

 

“อะไรกัน จูจื่อจวินก็มาด้วย!” ใครบางวคนอุทานขึ้นมาโดยพลัน และส่งเสียงไปยังระยะทางที่ห่างไกล “นายน้อยจู ทางนี้!”

 

เมื่อผ่านไปสักพัก รุ่นเยาว์ร่างสูงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขาประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มที่ดูมั่นใจในตัวเอง

 

จูจื่อจวิน หลานชายของปรมาจารย์จูเฟิงที่มีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาอันน่าอัศจรรย์

 

“นายน้อยจู!” ทุกคนคารวะทักทาย

 

“มีอะไรเกิดขึ้นที่นั่งั้นรึ?” จูจื่อจวินเอ่ยถามด้วยความสงสัย ว่าเรียกทําไมต้องเรียกเขามาตรงนี้ด้วย

 

“มีคนสองคนกําลังประลองแข่งขันปรุงยากัน นายน้อยจูช่วยแสดงความเห็นอะไรบ้างได้หรือไม่?” ใครบางคนกล่าว

 

คิ้วของจูจื่อจวินขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ตัวเขานั้นเป็นถึงนักปรุงยาอัจฉริยะ ที่ถึงแม้ตอนนี้จะยังเป็นเพียงนักปรุงยาระดับสอง แต่ก็บรรลุทักษะห้วงจิตปรับแต่งขั้นสามแล้ว แต่คนเหล่านี้กลับต้องการให้เขาแสดงความเห็นงั้นรึ?

 

คิดว่ามันคู่ควรแล้วหรืออย่างไร!

 

เพียงแต่ที่นี่ก็มีราชาในหมู่ราชาอยู่มากมาย หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิก็อาจจะมีอยู่ด้วย เขาจึงไม่ต้องการล่วงเกินใคร และกล่าวออกมา “ทั้งสองคนนี้กําลังหลอมเม็ดยานิรันดร์สองดาว อืม… ดูเหมือนอีกไม่นานก็จะหลอมสําเร็จแล้ว”

 

โดนปกติแล้ว การหลอมเม็ดยานิรันดร์จําเป็นต้องใช้เวลาในการหลอมหนึ่งเดือน แต่เมื่ออยู่ภายในห้องเร่งเวลาร้อยเท่า ระยะเวลาจึงถูกย่นลงมาเหลือเพียงสามชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น

 

เม็ดยานิรันดร์สองดาว!

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้ามาในหู ทุกคนก็เผยสีหน้าตกตะลึงทันที

 

การที่เยี่ยนเว่ยหลอมเม็ดยานิรันดร์สองดาวขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะอีกฝ่ายเป็นนักปรุงยาสองดาว แต่ที่พวกเขาตกตะลึงก็คือหลิงฮันเองก็สามารถหลอมเม็ดยานิรันดร์สองดาวได้เช่นกัน

 

กล่าวคือ… ไม่เพียงรุ่นเยาว์ผู้นี้จะเป็นนักปรุงยา แต่ยังเป็นถึงนักปรุงยาสองดาวอีกด้วย

 

เหลือเชื่อ!

 

เมื่อเห็นสีหน้าอันตกตะลึงของทุกคน จูจื่อจวินก็มีท่าทีเหยียดหยามทันที ช่างเป็นกลุ่มคนที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เขากล่าวแทรก “นักปรุงยาสองดาวไม่ใช่สิ่งที่ยอดเยี่ยมอะไร การจะตัดสินว่านักปรุงยานั้นมีความสามารถหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทักษะห้วงจิตปรับแต่ง”

 

“หลังจากหลอมเม็ดยาเสร็จสิ้นแล้ว ห้วงจิตปรับแต่งต่างหากคือปัจจัยสําคัญ”

 

ทุกคนอุทาน “โอ้” ออกมา ในด้านของศาสตร์ปรุงยาแล้ว พวกเขาไม่สามารถเถียงกับผู้รู้อย่างจูจื่อจวินได้

 

“จริงสินายน้อยจู ข้าขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่า ปรมาจารย์จูเฟิงมีศิษย์น้อยหรือไม่?” ใครบางคนเอ่ยถาม

 

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป ใครหลายคนก็หูผึ่งทันที

 

ทุกคนรู้สึกสงสัยมากว่าหลิงฮันมีเบื้องหลังอย่างไรกันแน่ เนื่องจากสถานะอาจารย์ลุงของเผิงฮวาเหนียนนั้น ค่อนข้างน่ากลัวเกินไป

 

จูจื่อจวินขมวดคิ้วอีกครั้ง คนเหล่านี้ปวยกันไปหมดแล้วรึไง?

 

“เท่าที่ข้ารู้…ไม่มี!” เขาส่ายหัวพร้อมกับตอบปฏิเสธ

 

เป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

จิตใจของทุกคนแน่นิ่งไปชั่วขณะ อันที่จริงแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทําใจยอมรับได้ยากนัก เพราะคนอย่างปรมาจารย์จูเฟิง จะมีศิษย์น้องที่เยาวว์ขนาดนั้นได้อย่างไร?

 

ฮึ่ม หากเป็นแบบนี้ โม่ซวงจะต้องดับอนาถแน่

 

หยางเจียกลับมารู้สึกมั่นใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อครู่หลังจากรู้ว่าหลิงฮันเป็นนักปรุงยาสองดาว เขาก็เป็นกังวลเล็กน้อย ส่วนตอนนี้น่ะ? เหอๆๆ ..

 

โม่ซวงและหานเทากลายเป็นกระอักกระอ่วนส สถานการณ์นี่มันอะไรกัน?

 

เผิงฮวาเหนียนยอมรับด้วยตนเองแท้ๆ ว่าหลิงฮันเป็นอาจารย์ลุงของตนเอง เพราะงั้นหากเรียงลําดับตามความอาวุโสแล้ว หลิงฮันก็ต้องเป็นศิษย์น้องของปรมาจารย์จูเฟิงไม่ใช่รึไง เผิงฮวาเหนียนเป็นถึงนักปรุงยาสามดาว เพราะงั้นมีรีที่อีกฝ่ายจะแต่งเรียกตลกไร้สาระ?

 

เป็นไปไม่ได้!

 

แต่ถ้าอย่างนั้น เหตุใดจูจื่อจวินถึงกล่าวปฏิเสธเช่นนั้นกัน?

 

แต่ถึงคิดไปก็ไม่มีทางรู้ความจริงได้ และทําได้เพียงรอดูอย่างเดียวเท่านั้น

 

ด้านในห้องบ่มเพาะกาลเวลา หลิงฮันกับเยี่ยนเว่ยหลอมเม็ดยาสําเร็จ และเข้าสู่กระบวนท่าปรับแต่ง

 

ในจังหวะนี้เอง ที่ด้านหลังของฝูงชนก็เกิดเสียงเอะอะขึ้น พร้อมกับก๋วยเต๋อซุยได้เดินกลับมาพร้อมกับชายวัยกลางคนสองคน

 

“ใครกันที่กล้าหลอกลวงว่าเป็นอาจารย์ลุงของอาจารย์ข้า?” หนึ่งในชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม คิ้วของเขาขมวดเข้าอย่างกันด้วยความเกรี้ยวกราดอันล้นพ้น

 

ชื่อของเขาคือหรั่นเฟย ศิษย์อันดับสองของเผิงฮวาเหนียน ชายวัยกลางคนอีกคนคือสือหย่ง เขาเป็นศิษย์อันดับสาม ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นนักปรุงยาสองดาว แต่ทักษะห้วงจิตปรับแต่งก็บรรลุถึงขั้นสองแล้ว

 

“นะ… นายน้อยจู!” เมื่อพบเห็นจูจื่อจวิน หรั่นเฟยกับสือหย่งก็ชะงักพร้อมกับ และทําการคารวะทักทาย

 

จูจื่อจวินนั้นเป็นถึงหลานของปรมาจารย์จูเฟิง ตามหลักความอาวุโสแล้ว แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ตัวตนที่พวกเขาจะสามารถเทียบเคียงได้