ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าหลินสวินตั้งใจออมมือ แต่เป็นเพราะระวังอยู่ตลอดว่าหวั่นอินผู้นั้นจะถือโอกาสนี้ไปลอบโจมตีอาหลู่หรือเจ้าคางคกหรือไม่

แต่ตอนนี้เขาไม่ห่วงอะไรแล้ว

เพราะไม่ว่าจะเป็นเจ้าคางคกหรืออาหลู่ต่างหยุดความเคลื่อนไหวที่ทำอยู่ ไม่ประลองกับหยวนฝ่าเทียนและราชันเผิงปีกทองน้อยอีก

เรื่องนี้ถูกนกทมิฬแทรกแซง

เหตุผลก็ง่ายดายนัก หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อยไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับพวกหวั่นอิน ย่อมไม่ต้องการถูกนางใช้ประโยชน์ ไปเป็นคนลงมือแทนคนอื่นในเวลาเช่นนี้

ดังนั้นด้วยการแทรกแซงของนกทมิฬ ทั้งสองฝ่ายจึงหยุดลงมือแล้วเลือกสังเกตการณ์

สำหรับพวกหวั่นอินแล้ว เรื่องนี้ย่อมเป็นข่าวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงอย่างไรสาเหตุที่ก่อนหน้านี้พวกเขากล้าข่มขู่หลินสวิน ย่อมเป็นเพราะเห็นว่าเจ้าคางคกกับอาหลู่กำลังห้ำหั่นอย่างดุเดือด ไม่มีเวลามาสนใจสิ่งอื่น เป็นไปได้สูงว่าจะทำให้หลินสวินวอกแวก!

แต่ตอนนี้ทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีอยู่แล้ว

สำหรับหลินสวินเขาไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว ย่อมทำอะไรได้เต็มที่

หลินสวินที่ออกโจมตีเต็มกำลังน่ากลัวขนาดไหน

ทุกคนจะได้เห็นเดี๋ยวนี้แล้ว

กลางห้วงอากาศพลันระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ครู่ต่อมาหลินสวินก็ทะลวงมาถึงหน้าเหยียนซาน

ต่อให้เป็นความสามารถในการตอบสนองของเหยียนซาน ภายใต้อาการไม่ทันตั้งตัวก็ทำได้เพียงเลือกรับมือ ไม่อาจหลบหนีได้

“โอม!”

เหยียนซานเปล่งเสียงธรรม ก็เห็นว่าทั้งร่างของเขาปรากฏรัศมีแสงดุจหยกดำชั้นหนึ่ง ดุจดั่งระฆังใหญ่คว่ำลง ปกป้องร่างของเขาไว้

เงามายาของจอมมารเงาแล้วเงาเล่าปรากฏขึ้นเหนือรัศมีแสง ส่งเสียงมารอันคลุมเครือออกมา

เคล็ดวิชาวิญญาณมารรู้ตน!

นี่เป็นวิชาพิทักษ์กายที่แกร่งกล้าถึงที่สุดวิชาหนึ่ง กล่าวกันว่ามีที่มาจากมรรคมารฟ้าประทานบรรพกาล เทียบได้กับกายเหล็กกล้าไม่ทลายของสำนักพุทธ มีพลังสะท้านโลกาที่ ‘ฟ้าถล่มดินทลาย ตัวข้ายืนเด่นท้าทาย’

นอกจากนี้แขนของเหยียนซานยังแปรเปลี่ยนเป็นใหญ่หนาหาใดเทียบทันตาเห็น ลายมรรคสีทองเจิดจ้าแน่นขนัดปรากฏขึ้นบนผิวหนัง แล้วตบกวาดออกไป

นี่เป็นอภินิหารสะเทือนโลกอีกอย่างหนึ่ง มีนามว่าแขนพลังมาร ยกมือขว้างภูเขาเทพลูกหนึ่งได้สบายเหมือนหยิบขนนก

เพียงแต่หมัดนี้ของหลินสวินน่ากลัวปานไหน

เป็นการโจมตีที่ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มกำลังหลังจากโคจรวิชาอริยะยุทธ์และโทสะหยาจื้อ!

ปัง!

ได้ยินเพียงเสียงระเบิดหนึ่งดังกึกก้อง

แขนพลังมารที่ทรงพลังหาใดเทียบระเบิดออกเป็นชุ่นๆ เลือดเนื้อสาดกระเซ็น

จากนั้นเสียงตุ้บดังขึ้น รัศมีแสงดุจหยกดำนั่นสั่นโคลงรุนแรง รับไว้ไม่อยู่อีกแล้ว ระเบิดออกท่ามกลางเสียงดังลั่น

เคล็ดวิชาวิญญาณมารรู้ตนที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายปวดหัวหาใดเทียบในยุคบรรพกาลนี้ ถูกหลินสวินทำลายลงอย่างรุนแรงในหมัดเดียว

ที่ตามมาติดๆ คือร่างกายอันแข็งแกร่งเทียบได้กับยอดศาสตรามรรคราชันของเหยียนซานถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างแรงราวกับศรบิน กระเด็นย้อนกลับไปหลายร้อยจั้งถึงขืนตัวหยุดไว้ได้

ส่วนสีหน้าของเขาก็แดงก่ำหาใดเทียบ ปากกับจมูกมีแต่เลือดสดๆ ที่ห้ามไว้ไม่อยู่

ทุกคนต่างค้นพบอย่างหวาดหวั่นว่าที่ทรวงอกของเขามีรอยหมัดลึกสี่ชุ่นรอยหนึ่งอยู่!

เพียงคิดก็รู้ว่าพลังที่หมัดนี้ปลดปล่อยออกมา ยามพุ่งเข้าไปภายในร่างกายจะก่อให้เกิดความเสียหายน่ากลัวถึงที่สุด

เฮือก!

เสียงสูดหายใจเย็นระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นั้น

เหยียนซาน ผู้หลอมกายที่แกร่งกล้าเช่นนี้คนหนึ่ง แทบจะถูกหมัดเดียวทำลายแล้ว!

ต่อให้เป็นพวกหวั่นอิน ไป๋เฉียน อวี๋ซี เวลานี้ต่างสีหน้าอึมครึมยิ่งนัก จิตใจสั่นสะท้าน พลังที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามอย่างแท้จริง

“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะรับการจู่โจมของข้าได้อีกกี่ครั้งกัน”

หลินสวินยืนกลางอากาศ ผมดำปลิวไสว แววตาเย็นชาดุจหุบเหว ความแกร่งกล้าของพลานุภาพบนตัวเขากดข่มจนฟ้าอับแสง

ไกลออกไปหยวนฝ่าเทียนกับราชันเผิงปีกทองน้อยสบตากัน ต่างเห็นแววตระหนกในสายตาของกันและกัน

ความแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้พวกเขาประหลาดใจเช่นกัน

“ร่วมกันลงมือเถอะ”

หวั่นอินถอนใจเสียงเบา เงาร่างนางเหมือนอาบชโลมด้วยหมอกฝนคลุมเครือลวงตา กระบี่บินสีเขียวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศหลังจากเสียงพูดเงียบลง

ชั่วพริบตานางเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มีกลิ่นอายดุดันยากจับต้องได้เพิ่มขึ้นมา สง่างามไร้เทียมทาน คมประกายตระการตาประหนึ่งเซียนกระบี่หญิงผู้หนึ่ง

เพียงแค่กลิ่นอายก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นกริ่งเกรง

ใครๆ ต่างรู้ดีว่าหากสามารถทำให้พวกไป๋เฉียนเชื่อฟังได้ สตรีนางนี้ย่อมไม่อาจเทียบเทียบกับคนธรรมดาได้อย่างแน่นอน

แต่มีเพียงตอนที่นางเผยอานุภาพที่แท้จริงเท่านั้นถึงพบว่ากลิ่นอายของนางทรงพลังปานไหน กลิ่นอายไร้เทียมทานเช่นนั้นก็เหมือนกับจันทราเทพอันสูงส่ง ทำให้คนทำได้เพียงแหงนมอง

“หมอกพิรุณ!”

ท่ามกลางเสียงเย็นชา กระบี่บินสีเขียวเล่มนั้นเคลื่อนออกมา ปลิวว่อนกลางฟ้าดินราวหมอกฝนนุ่มนวล งดงามถึงที่สุด ทั้งยังน่ากลัวยิ่งนัก

ฉัวะๆๆ!

ห้วงอากาศถูกทำลายละเอียดราวเศษกระดาษ คมกระบี่พร่ามัวแผ่กระจายเหมือนฝันร้ายครั้งหนึ่ง แต่กลับสามารถกำราบเทพผีได้

ชิ้ง!

แทบจะในเวลาเดียวกัน ดาบหักก็ฟันออกมา

ทว่าในตอนนี้หลินสวินใช้ ‘มรกดอักษรยอด’ แล้ว อานุภาพเพิ่มพูนเฉียบขาดมากกว่าแต่ก่อนนัก

หนึ่งดาบหนึ่งกระบี่เปิดฉากประลองไร้เทียมทานกลางอากาศ

“ฆ่า!”

พวกไป๋เฉียน อวี๋ซีก็ออกโจมตี พลังหลายขนานมืดฟ้ามัวดินประหนึ่งธารดาราม้วนตลบ

สวบ!

เงาร่างหลินสวินหายลับไป ยามปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ตรงหน้าอวี๋ซีแล้ว

ในหกคนนี้พลังต่อสู้ของหญิงผู้นี้อ่อนแอที่สุด มีภัยคุกคามน้อยที่สุด

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลินสวินก็ล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของพวกเขานานแล้ว

“แข็งตัว!”

อวี๋ซีหน้าเปลี่ยนสี ประทับมรรคสีเขียวทะยานขึ้นไปในอากาศแล้วแปรสภาพเป็นเงามายาย่าอวี่ที่โลหิตหลั่งริน ดุจดั่งกระโจนออกมาจากนรก

แต่ทว่าหลินสวินในตอนนี้ได้ใช้พลังเต็มกำลังแล้ว พลังจะน่าครั่นคร้ามปานไหน

เพียงแค่หมัดเดียวก็ทลายเงามายาย่าอวี่นั้นทันที โจมตีให้ประทับมรรคสีเขียวแหลกเละ เงาร่างของอวี๋ซีถูกพลังหมัดไพศาลนั้นกลบมิดไปด้วย ตายอนาถอยู่ภายในนั้น

แต่ที่เหนือความคาดหมายของหลินสวินคือ ในบริเวณใกล้เคียงเงาร่างของอวี๋ซีปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างพิสดาร เพียงแต่สีหน้าของนางซีดขาวหาใดเทียบ ลมหายใจรวยรินไปแล้ว

“วิธีรักษาชีวิตเช่นนี้เกรงว่าคงใช้ได้ไม่กี่ครั้งกระมัง”

หลินสวินยิ้มหยัน

อวี๋ซีสีหน้าพรั่นพรึงไปหมดแล้ว

ในชั่วพริบตาก่อนหน้านี้นางรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามแห่งความตาย น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังและหมดทางสู้อย่างที่สุด

“รั้งเขาไว้!”

ไกลออกไปหวั่นอินตะโกนเสียงกังวาน

นางไม่อาจปลีกตัวไปได้เพราะกำลังถูกดาบหักของหลินสวินโจมตีเต็มกำลัง

และหลังจากได้ประมือกับหลินสวินอย่างแท้จริง นางถึงรับรู้ว่าคนผู้นี้เป็นคู่ต่อสู้ที่น่าหวาดหวั่นมากคนหนึ่ง แม้แต่ยอดวิชามรรคกระบี่ที่นางภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวดยังถูกกำราบไว้ได้

“ฆ่า!”

พวกไป๋เฉียน เหยาหลีพลันกระโจนขึ้นมา

ชั่วขณะเดียวในที่นั้นเกิดการต่อสู้ดุเดือดไม่ว่างเว้น ห้ำหั่นกันจนฟ้าดินแถบนั้นคล้ายจะจ่อมจมพังพินาศ คลื่นน่ากลัวม้วนตลบสิบทิศ ทำให้เหล่าผู้กล้าล้วนตกตะลึง

หลินสวินคนเดียวกรำศึกกับพวกหวั่นอิน แต่พลานุภาพกลับยังไม่ลดลง แข็งกร้าวไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง

วู้ม!

หลังจากประมือมากกว่าร้อยครั้ง พอหลินสวินกดนิ้วหนึ่งออกไปก็ประหนึ่งวสันตสารทนิรันดร์กาลมาเยือน มองเห็นว่าร่างของเหยาหลีกำลังคิดจะถอยหนี แต่กลับหนีไม่ทันแล้ว ถูกพลังดรรชนีกดข่มลงบนร่างกายทันที

เสียงปึงดังขึ้น ร่างของเขาประหนึ่งระเบิดออก เลือดเนื้อเหวอะหวะ เปล่งเสียงร้องโหยหวนชวนหดหู่ ทั้งตัวกระเด็นถอยหลังออกไป

ตูม!

เพียงแต่ยามหลินสวินจะไล่โจมตี พวกไป๋เฉียนก็มาประกบจู่โจมแล้ว

ทว่าทุกคนล้วนดูออกว่าสถานการณ์ได้เปรียบกำลังเอนเอียงมาทางหลินสวิน

โรมรันมาถึงตอนนี้ อวี๋ซีและเหยาหลีต่างบาดเจ็บสาหัส อ่อนแอหาใดเทียบ ไม่มีพิษสงอีกแล้ว

เหยียนซานก็ได้รับบาดเจ็บ แม้เป็นผู้หลอมกายไม่ได้กระทบกับการต่อสู้ของเขา แต่พลังที่สำแดงออกมาก็ไม่เท่าแต่ก่อนนัก

นอกจากนี้ไป๋เฉียนและเหยียนไห่ก็สถานการณ์ไม่สู้ดี ฝืนทำได้เพียงสกัดหลินสวินไว้

ส่วนหวั่นอิน ผู้ฝึกกระบี่หญิงชั้นยอดคนนี้ย่อมตระการตาหาใดเทียบ พลังต่อสู้เกินใคร ที่น่าเสียดายก็คือยามนางออกโรงก็พบเข้ากับหลินสวินที่ปลดปล่อยพลังทั้งหมด

แม้นางแข็งแกร่ง แต่หลินสวินแข็งแกร่งยิ่งกว่านาง!

แน่นอนว่าหากไม่มีหวั่นอินสกัดไว้ ทำให้หลินสวินต้องใช้ดาบหักเข้าต่อสู้ เกรงว่าการต่อสู้นี้คงจบไปนานแล้ว

นี่ทำให้ทุกคนที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลๆ ต่างเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง

ก่อนหน้านี้หลินสวินถูกปิดล้อม แทบไม่มีผู้ใดถือหาง ต่างคิดว่าคราวนี้เขาอาจประสบเคราะห์

ใครจะคิดได้ว่าสถานการณ์จะพลิกผันอย่างรุนแรง ภายใต้การกำราบด้วยพลังต่อสู้อันแข็งกร้าวไม่มีที่สิ้นสุดของเขา!

“นี่ก็คือเทพมารหลิน!”

คนบางส่วนสะท้านไหว

ด้านหยวนฝ่าเทียนกับราชันเผิงปีกทองน้อยสีหน้าขรึมเคร่งถึงที่สุด

คราวนี้เป้าหมายของพวกเขาคือต่อกรกับหลินสวิน แต่กลับพบเข้ากับคู่ต่อสู้ทรงพลังสองคนอย่างอาหลู่กับเจ้าคางคกเสียก่อน

การต่อสู้ยังไม่ทันได้ชี้ขาดแพ้ชนะ ก็เห็นศึกหายากครั้งนี้ของหลินสวิน ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจ ตกตะลึงและประหลาดใจหาใดเปรียบ

ในใจพวกเขาก็หนักอึ้ง อัดอั้นขึ้นมาน้อยๆ

“พูดกันหมดว่าเจ้าคือทายาทเทพสังหารที่มีสายเลือดเสือขาว แต่เจ้าจะรับข้าได้อีกกี่กระบวนท่ากัน”

ในสนามรบหลินสวินพลันหัวเราะลั่น สำแดงอานุภาพฉับพลัน เงาร่างพุ่งไปข้างหน้าจู่โจมไป๋เฉียนด้วยพลังทั้งหมดที่มี

“เจ้าไปตายซะ!”

ไป๋เฉียนแววตาเปี่ยมด้วยเลือดมานานแล้ว ไอสังหารทั้งร่างบ้าระห่ำ เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็คล้ายคลุ้มคลั่ง อานุภาพน่าหวาดหวั่นปะทุออกมา

แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ถูกหลินสวินกำราบไว้มั่น!

แต่ละหมัดของหลินสวินเหมือนเซียนสำแดงยุทธ์ ไร้กลิ่นอายควันไฟ เรียบง่าย ธรรมดา เป็นธรรมชาติ แต่พลังกลับมหาศาลจนน่าตกตะลึง

ผ่านไปเพียงไม่กี่สิบกระบวนท่าเท่านั้น

หลินสวินชกหมัดหนึ่งออกไป เสียงครึ่กดังขึ้น ทวนวงเดือนทองคำขาวของไป๋เฉียนกระเด็นหลุดออกจากมือ ข้อมือของเขาขาดสะบั้น เลือดสดๆ ไหลรินส่งเสียงอู้อี้อย่างเจ็บปวด เงาร่างถอยหลังโซเซไปในห้วงอากาศ

เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินนิ่วหน้าก็คือ ในตอนที่เขาจะสังหารไป๋เฉียน พี่น้องฝาแฝดอย่างเหยียนซานกับเหยียนไห่เคลื่อนตัวออกมาอีกครั้งหนึ่ง

ผู้หลอมกายทั้งสองนี้พลังกายน่ากลัววิปริตถึงที่สุด ทั้งพลังฟื้นฟูยังน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่งยวด ต่อให้ได้รับบาดเจ็บก็เหมือนไม่รู้สึกเลย ต่อกรยากนัก

“ข้าล่ะอยากลองดูจริงๆ ว่าตกลงพวกเจ้าจะรับกระบี่นี้ของข้าได้ไหม!”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แววดุดันไหวเคลื่อนในดวงตาดำ

สวบ!

เขาวาดปลายนิ้วเบาๆ

ปราณกระบี่งดงามและดุดันถึงที่สุดสายหนึ่งอุบัติขึ้น ประหนึ่งทะลวงนิรันดร์กาลมา มีอานุภาพแกร่งกล้าที่ทำลายได้ทุกสิ่ง พุ่งทะยานไร้กีดขวาง

แย่แล้ว!

ไกลออกไปหวั่นอินหน้าเปลี่ยนสี นางเคยเห็นความน่ากลัวของกระบวนท่ากระบี่นี้ของหลินสวิน ทำให้นางยังหลบหนีไม่ทัน

“หลบเร็ว!” นางส่งเสียงเตือน

เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าช้าไปก้าวหนึ่ง

ปราณกระบี่นั้นสะท้านโลกเกินไป ไม่อาจใช้ถ้อยวจีมาบรรยายสักนิด ฟ้าดินเหมือนถูกกระบี่นี้ฟันออกเป็นสองท่อน ไม่อาจขัดขวางได้

ไกลออกไปตอนทุกคนต่างยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็เห็นว่าในที่นั้นร่างกายแข็งแกร่งทัดเทียมยอดศาสตรามรรคราชันของพี่น้องเหยียนซานและเหยียนไห่ที่พุ่งมาที่หลินสวิน ต่างถูกฟันออกเป็นสองซีก

เลือดสดๆ สาดกระเซ็นเหมือนน้ำพุ

ในห้วงอากาศถูกฟันเป็นรอยแยกตรงแน่วรอยหนึ่ง ยืดขยาดไปในเวิ้งฟ้าแปดพันลี้ ขณะนี้ฟ้าดินต่างหม่นหมองลง

ทั้งที่นั้นตกตะลึงเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง

อานุภาพของกระบี่เดียวกลับน่าหวาดหวั่นถึงขั้นนี้!

นี่มันกระบวนท่ากระบี่อะไรกัน

——