กระบี่เดียว ตกตะลึงไปทั้งลาน!
ต่อให้เป็นคนอย่างหยวนฝ่าเทียนและราชันเผิงปีกทองน้อย ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็น จิตใจหวาดหวั่น
กระบี่นี้ทำให้พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามหาใดเปรียบ กำลังครุ่นคิดว่าหากเปลี่ยนเป็นตนควรจะสลายการโจมตีนี้อย่างไร
ส่วนผู้ฝึกปราณอื่นในที่นั้นต่างขวัญผวา สีหน้าอึ้งค้างไปแล้ว
ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนตอนนี้ หลินสวินทำร้ายอวี๋ซีผู้แข็งแกร่งเผ่าย่าอวี่ เหยาหลีครรภ์วิญญาณฟ้าประทาน และไป๋เฉียนลูกหลานเผ่าเสือขาวจนบาดเจ็บสาหัสตามลำดับ…
อีกด้านหนึ่งดาบหักลอยอยู่กลางอากาศดุจสุริยันฉายเด่นเพียงลำพัง กดข่มจนหวั่นอินที่มีวิชาชั้นยอดในมรรคกระบี่คนนั้นไม่มีเวลามาสนใจสิ่งอื่น ทำได้เพียงแข็งใจยันไว้!
และตอนนี้ภายใต้กระบี่ที่สามารถสร้างความตื่นตาไปชั่วนิรันดร์กาลนี้ การล้อมจู่โจมที่เพ่งเป้ายังหลินสวินครั้งนี้ก็ถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์!
อานุภาพแห่งเทพมารสำแดงออกมาอย่างหมดจดในขณะนี้
ซ่า!
เลือดสดๆ สีแดงฉานสาดกระเซ็นย้อมห้วงอากาศให้เป็นสีแดง
ร่างของสองพี่น้องเหยียนซานเหยียนไห่ขาดสะบั้น ที่น่าประหลาดคือเลือดเนื้อเหล่านั้นกลับเหมือนมีชีวิต กำลังประสานกันไม่หยุด
นี่ก็คือความน่ากลัวของวิถีกายหยาบบรรลุอริยะ แม้กายเนื้อถูกทำลายย่อยยับก็ยังฟื้นคืนกลับมาได้ คิดจะฆ่าพวกเขาให้ตายในคราวเดียวมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น
ขจัดเลือดเนื้อของพวกเขา!
พลังจิตและความคิดของผู้หลอมกายล้วนหล่อเลี้ยงอยู่ภายในร่างกายเลือดเนื้อ กายเนื้อก็คือแก่นมหามรรคที่พิชิตใต้หล้าของพวกเขา
อย่างผู้หลอมกายที่บรรลุระดับอริยะ เหลือเลือดเพียงหยดเดียวยังฟื้นคืนดังเดิมได้ เป็นเพราะเหตุใด
เพราะเลือดหยดนี้เป็นดั่งที่เก็บวิญญาณ ภายในบรรจุพลังจิต พลังกาย และมรรควิถี น่าครั่นคร้ามไร้ที่สิ้นสุด!
“พวกเขากำลังฟื้นคืน…”
มีคนเอ่ยเสียงสั่นเครือ
มีเพียงหลินสวินที่สีหน้าไม่หวั่นไหว เขาคร้านจะมองดูอีกครั้งด้วยซ้ำ
“พี่ใหญ่ยอดเยี่ยมนัก อานุภาพของกระบี่นี้ได้ซึมซาบเข้าไปในเลือดเนื้อร่างกายของพวกเหยียนซานนั่น เกิดอานุภาพล้างผลาญ นี่เท่ากับเป็นการทำลายมรรควิถีในตัวพวกเขาให้เป็นเสี่ยงๆ!”
อาหลู่ชื่นชม
ในฐานะที่เป็นผู้หลอมกายเช่นกัน เขารู้ดีกว่าใครว่ากระบี่นี้ของหลินสวิน ที่ฟันไปไม่ได้มีเพียงร่างของพวกเหยียนซาน แต่เป็นการทำลายรากฐานมหามรรคด้วย!
นี่จึงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด
ดังคาด ยามเหยียนซานและเหยียนไห่ฟื้นคืนมาต่างมีลมหายใจอ่อนล้าถึงที่สุด ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและสิ้นหวัง
เป็นมกุฎราชัน บรรลุอมตะ เดิมภายหน้ามีอนาคตอันสดใสถึงที่สุดอยู่
แต่ด้วยกระบี่นี้ ความหวัง อนาคต และความทะเยอทะยานทั้งปวง… ต่างแทบถูกทำลายอยู่รอมร่อ!
ต่อให้ฟื้นฟูได้ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไร!
“กระบี่นี้ พวกเจ้ายังจะรับไว้ได้ไหม”
เสียงเฉยชาดังขึ้นกลางฟ้าดิน สายตาของหลินสวินมองไปที่พวกไป๋เฉียน อวี๋ซีและเหยาหลี
ทั้งสามต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว เหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง
สู้มาถึงตอนนี้ หากพวกเขายังไม่รู้ความห่างชั้นระหว่างตนกับหลินสวิน เช่นนั้นก็โง่เขลาถึงที่สุดจริงๆ
“นี่ ก็เรียกว่ารนหาที่เอง ไม่คิดเสียดายชีวิต!”
เสียงเย็นชาราวกับเสียงเป่าเขาสัตว์ออกคำสั่งดังกังวาน
“หนีเร็ว!”
ทันใดนั้นหวั่นอินที่อยู่ไกลออกไปร้องเสียงแหลม
ตัวนางก่อนหน้านี้มีเงาร่างคลุมเครือราวหมอกฝน ท่วงท่าราวจันทราเทพสูงส่ง กิริยาวาจาสุขุมทรงศักดิ์ ท่าทางมั่นใจว่าจะเอาชนะหลินสวินได้แน่
แต่ตอนนี้ดวงหน้างามของนางกลับเหยเก เบ้าตาถลน ความรู้สึกภายในใจสูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ไม่อาจสงบลงได้แล้ว
ความแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้นางใจหล่นวูบโดยสมบูรณ์ ตอนนี้มีความรู้สึกเสียใจภายหลัง ไม่ยินยอมและโทษตัวเองอัดแน่นอยู่ภายในดุจพลิกเขาคว่ำสมุทร
น่าเสียดาย นางมาเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว และยามเอ่ยปากเตือนก็สายไปแล้วเช่นกัน…
ตูม!
เสียงหลินสวินเพิ่งเงียบลง พลังหมัดสายหนึ่งก็ทลายอากาศขึ้นมาเหมือนมังกรกล้าแจ่มจรัส ดุจมีอานุภาพจับจ้องแปดทิศ ปกคลุมไปสิบด้าน
ความรู้สึกที่หมัดนี้มอบให้พวกไป๋เฉียน เหยาหลีและอวี๋ซีก็คือแปดคำนี้…หลบก็ไม่ได้ หนีก็ไม่พ้น!
ความน่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุดราวกระแสเย็นยะเยือก ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาจะพังทลายอยู่รอมร่อ ความไม่ยินยอมแรงกล้ากระตุ้นจนทำให้พวกเขาสีหน้าบิดเบี้ยว
ขอเพียงเป็นบุคคลชั้นยอด ใครจะยินยอมให้ถูกปลิดชีพลงเช่นนี้
แต่ตอนนี้ พวกเขาสิ้นหวังแล้ว
“ไม่…”
ไกลออกไปความโกรธเกรี้ยวจู่โจมจิตใจของหวั่นอิน ทำเอากระอักเลือดออกปาก ความเสียใจและความแค้นดั่งมีดกรีดลงบนหัวใจ
ในช่วงเวลาเป็นตายนี้เอง จู่ๆ เสียงถอนใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น…
“พี่หลิน โปรดไว้ไมตรีด้วย”
เสียงนั้นเหมือนระฆังกลองบอกโมงยาม ดังเข้าไปถึงก้นบึ้งจิตใจคน มีความน่าเกรงขามไร้รูปอย่างหนึ่ง
และในตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเข้าขวางหน้าหมัดนี้ของหลินสวิน
ทว่าที่เหนือความคาดหมายของทุกคน เขาไม่ได้ต่อต้าน แต่ใช้ร่างกายรับการโจมตีนี้อย่างจัง
ปึง!
เงาร่างนั้นถอยหลังซวนเซไปหลายก้าว สั่นโคลงครู่หนึ่ง มุมปากมีเลือดไหลซิบๆ
ชั่วขณะนั้นทุกคนในที่นั้นงุนงง เงียบเชียบไร้เสียง
เมื่อพินิจดูก็เห็นว่าคนผู้นั้นเงาร่างองอาจ แต่งกายด้วยเสื้อแขนกว้างคาดเข็มขัด ใบหน้าหล่อเหลา ผ่าเผยและรูปงามอย่างบอกไม่ถูก
ต่อให้ตอนนี้ถูกหมัดหนึ่งโจมตีให้ถอยไป แต่ยามเขายืนมั่นแล้วกลับไม่มีท่าทางยับเยิน ยังให้ความรู้สึกสุขุมลุ่มลึกดังเดิม
“องค์ชาย!”
เสียงร้องตื่นตระหนกดังขึ้น พวกไป๋เฉียน อวี๋ซี เหยาหลีที่เดิมสิ้นหวัง เสียใจและไม่ยินยอมมานานแล้วต่างนิ่งอึ้ง เบ้าตาแดงระเรื่อ
ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้ พวกเขาจะคิดได้อย่างไรว่าองค์ชายจะถึงกับมาเยือนด้วยตัวเอง ทั้งยังใช้ร่างของตนช่วยพวกเขารับการโจมตีเอาไว้!
เมื่อมองดูรอยเลือดที่ไหลลงมาจากมุมปากขององค์ชาย พวกเขากลับไม่เข้าใจ ด้วยพลังต่อสู้ขององค์ชายจะสลายการโจมตีนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ทำไม…
เขาถึงไม่โจมตีกลับ
ภาพนี้ก็ทำให้ผู้อื่นที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างตกตะลึง
คนที่มาย่อมเป็นบุคคลระดับนายเหนือหัวที่อยู่อันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้าในตอนนี้ นายน้อยเผ่าจักรพรรดิเร้นดารา ผู้กล้าชั้นเลิศที่ในแดนเก้าบนปัจจุบันนี้แทบจะเหมือนไร้ศัตรูใดเทียบเทียม… เซ่าเฮ่า!
แต่ผู้ที่พลานุภาพกดข่มคนรุ่นเดียวกัน โดดเด่นสะดุดตาดั่งดวงตะวันเช่นนี้ กลับไม่ได้ต่อต้านหรือสลายการโจมตีนี้ของหลินสวิน
นี่เป็นเพราะเหตุใด
ผู้คนในที่นั้นฉงนใจไม่ว่างเว้นไปชั่วขณะหนึ่ง
แม้แต่หลินสวินยังอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นถึงได้เข้าใจ นิ่วหน้าอย่างห้ามไม่ได้
“พี่หลิน จะเห็นแก่หน้าข้าสักหน่อย หยุดลงมือเพียงเท่านี้ได้หรือไม่”
เซ่าเฮ่ายิ้มเจื่อน กุมมือคารวะ
หลายคนสูดหายใจเย็น ด้วยฐานะและพลังต่อสู้ในตอนนี้ของเซ่าเฮ่าไม่จำเป็นต้องก้มหัวเช่นนี้เลย แต่เขากลับทำเช่นนี้
เรื่องนี้เหนือความคาดหมาย!
“องค์ชาย ท่าน…”
พวกไป๋เฉียนก็สับสนงงงวย ในใจขุ่นเคืองอย่างบอกไม่ถูก
ในใจของพวกเขาองค์ชายก็เป็นดั่งตำนานเทพยุคปัจจุบัน แต่ตอนนี้เพื่อออกหน้าช่วยพวกเขา กลับก้มหัวขอความเมตตาจากหลินสวิน นี่…
จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไร
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับสำนึกผิด! ถ้าพวกเจ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก ยังจะปิดบังข้าแล้วมาหาเรื่องหาราวอยู่ไหม”
เซ่าเฮ่านิ่วหน้า ชำเลืองมองพวกไป๋เฉียนปราดหนึ่ง ท่าทางผิดหวังที่พวกเขาไม่เอาถ่าน
นี่ทำให้พวกไป๋เฉียนต่างละอายใจก้มหน้าลง
หลินสวินได้เห็นทุกอย่างนี้ก็ทอดถอนใจในใจเบาๆ ความคิดขยับไหวเรียกดาบหักกลับมา
“ขอบคุณพี่หลิน!”
เซ่าเฮ่ายิ้มน้อยๆ คล้ายยกภูเขาออกจากอก
ตั้งแต่เขาปรากฏตัวถึงตอนนี้ก็แสดงท่าทีขอโทษมาตลอด ก้มหัวและถ่อมตน ไม่มีท่าทางของนายเหนือหัวที่อยู่อันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้าเลย
ทำให้ทุกคนอดกังขาไม่ได้ว่ากิตติศัพท์ของเซ่าเฮ่าสมตัวหรือไม่
แต่ในสายตาของพวกเจ้าคางคกกับอาหลู่ รวมถึงหยวนฝ่าเทียนกับราชันเผิงปีกทองน้อยที่อยู่ไกลออกไป กลับล้วนมีสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม
นี่ถึงเรียกว่ารู้รุกรู้ถอยอย่างลื่นไหลอย่างแท้จริง!
รุก ก็คือชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า เหนือล้ำบนกระดานทองคำผู้กล้า โอหังเหนือผู้กล้าในโลก
ถอย ก็คือไม่ถือดีเย่อหยิ่ง อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ยึดติดกับสายตาปุถุชน
ปณิธานและความกล้าหาญเช่นนี้ ในโลกมีน้อยยิ่งนัก
“นายน้อย เรื่องนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะข้า พวกไป๋เฉียนต่างทำตามคำสั่ง อย่าโทษพวกเขาเลยเจ้าค่ะ ข้ายินดีรับโทษเอง แม้ตายก็ไม่เสียใจ!”
ไกลออกไปหวั่นอินเคลื่อนกายมา ดวงหน้างามซีดเผือด ก้มหัวคารวะ
เซ่าเฮ่าถอนใจเบาๆ สายตาปรากฏแววเศร้าสร้อย เอ่ยว่า “หวั่นอิน เจ้าถอยไปก่อน”
เขาพูดพลางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มองไปยังหลินสวินแล้วกล่าวว่า “พี่หลิน เรื่องในวันนี้อย่างไรก็เป็นเรื่องที่คนข้างกายข้าก่อขึ้น ข้ายินดีรับไว้เอง หากพี่หลินมีเรื่องที่รู้สึกไม่พอใจก็กล่าวขึ้นมาได้ ข้ารับรองว่าจะชดเชยให้พี่หลินอย่างสุดความสามารถ ต้องการเพียงสลายความแค้นครั้งนี้ อย่าถึงกับผูกอาฆาตกันเพราะเรื่องนี้เลย”
ท่าทีก้มหัวรับผิดนี้ทำให้ผู้คนทั้งที่นั้นหน้าเปลี่ยนสี
ใครจะจินตนาการว่าองค์ชายที่ผ่าเผยอย่างเซ่าเฮ่าจะขอโทษหลินสวินอย่างจริงจังและจริงใจเช่นนี้ได้ ทั้งไม่ได้แสดงท่าทีไม่เต็มใจหรือไม่พอใจใดๆ ออกมาให้เห็น
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คนในโลกจะมองเรื่องนี้อย่างไร
ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่า ที่เซ่าเฮ่าทำเช่นนี้ไม่มีทางเป็นเพราะหวาดกลัวหรือยำเกรงหลินสวิน!
หลินสวินก็ย่อมรู้เรื่องนี้ดี นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ตอนได้พบกับเซ่าเฮ่าครั้งแรกขึ้นมาอีก
ตอนนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่าเซ่าเฮ่าเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งคนหนึ่ง จิตใจกล้าหาญ มากด้วยอุตสาหะ ปณิธานใหญ่ยิ่ง มีลักษณะของผู้นำอยู่ในตัว
หากคราวนี้เซ่าเฮ่าใช้อำนาจเข้าข่มทันทีที่ปรากฏตัว หลินสวินย่อมไม่รามือเช่นนี้แน่
และก็เพราะหลังจากเซ่าเฮ่าปรากฏตัว ใช้ร่างกายมาขวางหมัดของเขา ไม่ได้สลายต่อต้าน จากนั้นยังขอโทษอย่างบริสุทธิ์ใจ น้ำใจกว้างขวางนี้ทำให้หลินสวินไม่อยากไปฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรอีก
ท้ายที่สุดแล้วระหว่างเขากับเซ่าเฮ่าก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ไม่คุ้มที่จะฉีกหน้าเพราะคนที่ไม่สำคัญบางคนในตอนนี้
“ยังไม่ต้องพูดเรื่องอื่น คราวนี้ข้าเล่นงานบริวารของเจ้าเสียจนบาดเจ็บสาหัส ถึงกับมีบางคนได้รับบาดเจ็บถึงมรรควิถี เจ้าไม่คิดจะลงมือแทนพวกเขาหรือ”
หลินสวินเปรย
เซ่าเฮ่ายิ้มเจื่อน จากนั้นก็ถอนหายใจพูดว่า “นี่ก็เรียกว่าทำผิดต้องโทษตัวเอง จะโทษใครไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาทำผิดคราวนี้ เดิมทีข้าก็คิดว่าอีกหน่อยจะมาเยี่ยมเยียน ถกเรื่องมรรครำลึกเรื่องวันวาน ร่วมพูดคุยเรื่องราวในใต้หล้ากับเจ้า ใครจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเสียได้”
เขาพูดพลางกุมมือเอ่ยว่า “พี่หลิน ตอนนั้นที่หน้ายอดเขาดาราราย ข้าก็แน่ใจว่าภายหน้าไม่ช้าก็เร็วเจ้ากับข้าต้องมีวันที่ได้พบกันอีก แต่ภาพในวันนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็น ไม่ว่าในใจเจ้าจะรู้สึกเช่นไร สุดท้ายสหายของข้าเหล่านี้ก็ทำผิดก่อนอยู่ดี ข้าย่อมไม่คิดแค้นเพราะเหตุนี้ และเช่นเดียวกัน เพียงหวังว่าเรื่องในวันนี้จะไม่ถึงกับทำให้เจ้าติดใจ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของเราเลวร้าย”
ได้ยินดังนี้หลายคนก็ชื่นชมในใจ
ความจริงใจของเซ่าเฮ่าเห็นได้ชัดจากเรื่องเล็กๆ นี้!
หลินสวินเห็นดังนี้ก็ยิ้มกว้าง ประสานมือพูดว่า “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด พี่เซ่าเฮ่าน้ำใจกว้างขวาง อีกอย่างข้าหลินสวินเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยหรือ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ก็ปล่อยไปเท่านี้เถอะ”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “เลือกวันพบไม่สู้พบกันโดยบังเอิญ ตอนนี้ข้ากับเจ้าได้พบกันอีกที่นี่ ก็ให้ข้าได้เป็นเจ้าบ้านรับแขกเสียหน่อย เตรียมสุราอาหารให้เล็กน้อย ดื่มกินร่วมกันสักครั้งเป็นอย่างไร”
เซ่าเฮ่าอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะเริงร่าพูดว่า “พูดเช่นนี้ดีนัก ได้ดื่มเหล้ากับพี่หลินจอกหนึ่งเป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง!”
“เชิญ” หลินสวินยิ้มน้อยๆ
——