WSSTH ตอนที่ 2,684 : มณฑลหลิงฟง ฉู่อวี้!
“อวี่เอ๋อ…เกิดอะไรขึ้นกับบิดาเจ้า…ไฉนบิดาเจ้าถึงจากไปแล้ว!?”
สีหน้าที่อ๋องฉินใช้มองฉินอวี่ตอนนี้ช่างอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!
หลังได้พบกับฉินอวี่ เพียงมองปราดเดียวอ๋องฉินก็บังเกิดความยินดีท่วมใจ เพราะรู้ได้ทันทีว่าเบื้องหน้าต้องเป็นลูกชายน้อง 4 ของมันไม่ผิดแน่ เช่นนั้นหมายความว่ามันกำลังจะได้พบหน้าน้อง 4 ที่จากกันไปหลายสิบปีแล้ว!
แต่มันไม่คิดไม่ฝันเลย พอน้อง 3 ถามฉินอวี่เรื่องน้อง 4 ขึ้นมา หลานชายของมันกลับบอกว่า…คนได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับเสียแล้ว…
น้องชายคนที่ 4 ของมันมิคาดกลับตกตายไปโดยที่พวกมันไม่รู้!
“ย้อนกลับไปปีนั้น หลังจากที่ท่านพ่อถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนคุ้มคลั่งทำร้ายท่านและหลบหนีออกจากวังฉิน…ท่านพ่อก็เสียใจและโทษตัวเองมาตลอดที่ทำร้ายท่านจนบาดเจ็บนัก นอกจากนี้ท่านพ่อก็ทราบอาการตัวเองดี ว่าอาการคุ้มคลั่งอาจกำเริบขึ้นมาได้ทุกเวลา เช่นนั้นท่านพ่อจึงไม่คิดจะกลับวังฉินอีกต่อไป”
ฉินอวี่ค่อยๆเล่าเรื่องราวในอดีตออกมา “หลังจากท่านพ่อร่อนเร่พเนจรไปพักหนึ่ง ก็ได้พบรักกับท่านแม่…สุดท้ายจึงมีข้า และในวันหนึ่งหลังข้าเริ่มจำความได้ไม่นาน ท่านพ่อสัมผัสได้ว่าเลือดลมและพลังในร่างเริ่มปั่นป่วน ส่อเค้าว่าจะควบคุมไม่ได้จนอาการคุ้มคลั่งกำเริบ ท่านพ่อจึงออกจากบ้านไปอย่างรีบร้อน”
“แต่ด้วยความที่ท่านแม่เป็นห่วง จึงพาข้าลอบสะกดรอยตามท่านพ่อไปห่างๆหมายคอยดูแลช่วยเหลือ…ทว่าเสมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ระหว่างลอบสะกดรอยตามท่านพ่อที่คุ้มคลั่งไป พวกเรากลับพบเจอกลุ่มโจรเข้ามาปล้นชิง…สุดท้ายเพื่อปกป้องข้า…ท่านแม่จึงต้องตายลงต่อหน้าต่อตาข้าด้วยน้ำมือโจรร้าย…”
กล่าวถึงจุดนี้สองตาฉินอวี่ก็เริ่มแดงรื้นขึ้นมา
“หลังจากที่พวกโจรใจชั่วฆ่าท่านแม่แล้ว พวกมันก็คิดฆ่าข้าอีกคน…ทว่าในขณะที่ข้ากำลังจะถูกฆ่าตาย ท่านพ่อที่ได้สติกลับคืนก็ย้อนกลับมาเข่นฆ่าโจรร้ายช่วยข้าเอาไว้ได้ทันท่วงที…”
“อนิจจาพอท่านพ่อเห็นว่าท่านแม่สิ้นใจไปแล้ว ท่านพ่อก็โทษตัวเองนัก กระทั่งหมดอาลัยตายอยากเสมือนคนสิ้นสูญความหวัง…หลังจากนั้นท่านพ่อก็เริ่มเล่าฐานะที่แท้จริงให้ข้าฟัง และมอบป้ายหยกให้ข้าป้ายหนึ่ง ก่อนที่ท่านพ่อจะลงมือสะบั้นชีพจรตัวเองลงโดยที่ข้าไม่อาจห้ามได้ทัน…”
“ก่อนตาย ท่านพ่อเพียงกล่าวสั่งเสียไว้เรื่องเดียว…ให้ข้าฝังท่านพ่อกับท่านแม่เอาไว้ที่เดียวกัน…”
กล่าวถึงจุดนี้สองตาที่แดงรื้นของฉินอวี่ก็แดงมากขึ้นปานมีม่านโลหิตปกคลุม
และในมือยังปรากฏป้ายหยกหนึ่งที่ไม่ทราบหยิบควักออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“นี่มันป้ายประจำตัวของน้อง 4!”
อ๋อง 3 ที่เห็นป้ายในมือฉินอวี่ก็พุ่งมือมาคว้าไปเร็วไว เพียงลูบอักขระทั้ง 3 ที่สลักไว้บนป้ายหยก ร่างก็สั่นเทิ้ม แววตาเปลี่ยนเป็นพร่ามัว เพราะอักขระที่ว่าก็คือนามของน้องสี่มันนั่นเอง…
“อวี่เอ๋อ…จากนี้ไปลุงกับวังฉินจะคอยดูแลเจ้าเอง…”
อ๋องฉินหลับตาสูดลมลูมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาก็ตบบ่าฉินอวี่พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ในตอนที่ท่านพ่อเล่าฐานะที่แท้จริงให้ข้าฟัง ท่านพ่อก็ได้กำชับให้ข้ามาวังฉินเพื่อกราบไหว้บรรพชน…ท่านพ่อยังกล่าวบอกข้าอีกว่า สิ่งที่ทำให้ท่านพ่อเสียใจมากที่สุดในชาตินี้ ก็คือการที่ท่านไม่อาจกลับมาปกปักษ์วังฉินได้อีกต่อไป…”
ฉินอวี่กล่าวสืบต่อ
“อวี่เอ๋อ จากนี้เจ้ามีบ้านแล้ว ไม่ต้องออกไปร่อนเร่ด้านนอกอีก…นับตั้งแต่วันนี้ไป ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม และอา 5 จักคอยดูแลส่งเสริมเจ้าอย่างดีที่สุด”
อ๋อง 3 กล่าวออกมา ขณะยื่นส่งป้ายหยกในมือคืนให้ฉินอวี่
“ขอบคุณท่านลุง”
ฉินอวี่พยักหน้ารับแข็งขัน หากแต่มิอาจหยุดยั้งหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลรินลงมาได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันได้แต่พึ่งตัวเองเท่านั้น
แม้วันนี้มันจะเดินทางมาถึงวังฉินได้อย่างปลอดภัยโดยมีจวนผู้ว่ามาส่งง แต่มันก็อาศัยกำลังและความพยายามของตัวเองดิ้นรนมาจนถึงจุดนี้
หากมันคิดจะเดินทางจากเมืองเฉวี่ยโยวมาที่นี่ด้วยกำลังของตัวเองเพียงลำพังล่ะก็ จำต้องทะลวงให้ถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนเสียก่อน หาไม่แล้วไม่พ้นได้ถูกโจรที่พลังฝึกปรือห่างต้าหลัวจินเซียนครึ่งก้าวฆ่าตายเอาง่ายๆแน่
ทว่าตอนนี้ มันกลับมีอำนาจของวังฉินหนุนหลังแล้ว…
เรียกว่าความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังนั้น ช่างยิ่งใหญ่ราวฟ้าดิน…
“น้อง 3…เมื่อครู่เจ้าสังเกตเห็นคนในชุดคลุมสีเทานั่นหรือไม่?”
ทันใดนั้นเองอ๋องฉินคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงหันไปมองถามอ๋อง 3 ด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง
“ทำไมหรือพี่ใหญ่ หรือมันมีปัญหา?”
อ๋อง 3 ผงะไปทันใด
เพราะเมื่อครู่มันก็สังเกตเห็นได้ ว่าในขณะที่ทุกคนยืนทำความเคารพพี่ใหญ่ของมันกันหมด ก็มีแค่คนในชุดคลุมสีเทาข้างๆหวังฉี่หลิงผู้ว่าการมณฑลผิงชานเท่านั้น ที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ อีกทั้งดูเหมือนหวังฉี่หลิงจะแลดูนอบน้อมเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามพอเห็นว่าร่างในชุดคลุมเทาไม่ได้สร้างงปัญหาอะไรมันก็เลิกสนใจไป
“มีปัญหา…กระทั่งไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ!”
อ๋องฉินกล่าวเสียงเข้ม
“มัน…คงไม่ใช่คนที่หวังฉี่หลิงจ้างมาฆ่าต้วนหลิงเทียนหรอกนะ?”
อ๋อง 3 ย่นคิ้วเอ่ยถาม
มันเองก็ได้ยินมาแล้ว เรื่องที่อีก 15 มณฑลที่เหลือลงขันกันจ้างยอดฝีมือไปฆ่าต้วนหลิงเทียนแห่งมณฑลจิ่วโยว…
อย่างไรก็ตาม มันเพียงคิดว่าอีก 15 มณฑลกล้าลงมือก็แค่ในเขตมณฑลจิ่วโยวเท่านั้น
พอการประลอง 16 มณฑลเริ่มต้นขึ้น อยู่ภายใต้สายตาของวังฉินมันแบบนี้ ต่อให้ต้วนหลิงเทียนปรากกฏตัวออกมา อีก 15 มณฑลก็คงไม่มีทางกล้าลงมือเล่นงานต้วนหลิงเทียนแน่
เพราะนั่นจะไม่ต่างอะไรกับท้าทายอำนาจวังฉิน!
“ฆ่าต้วนหลิงเทียน?”
สีหน้าท่าทีฉินอวี่เปลี่ยนไปทันใด
ต้วนหลิงเทียนนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของมัน ทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตมันอีกด้วย
“ไม่ใช่…อาศัยหวังฉี่หลิงนั่น ยังไม่หน้าใหญ่ถึงขั้นเชิญอาวุโสหลักของนิกายสือหังเซียนมาได้หรอก…”
อ๋องฉินกล่าว
“นะ…นิกายสือหังเซียน!? กระทั่ง…เป็นอาวุโสหลัก!?”
แทบจะทันทีที่อ๋องฉินกล่าวจบคำ อ๋อง 3 ก็ถึงกับสะดุ้งไปด้วยความตกใจ สีหน้ายังเริ่มซีดลง มองถามอ๋องฉินออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
นิกายซือหังเซียน นั้นเป็นขุมพลังที่ทรงพลังอำนาจเหนือกว่า ประเทศอวิ๋นเหยียนเสียอีก…
ที่สำคัญไม่เพียงเหนือกว่าประเทศอวิ๋นเหยียนแห่งนี้ นิกายสือหังเซียนกระทั่งทรงพลังเหนือกว่าประเทศอมตะระดับสูง ที่อยู่เหนือประเทศอมตะอวิ๋นเหยียนของพวกมันไปอีกขั้นด้วยซ้ำ!
ต่อให้เป็นประเทศอมตะระดับสูง ก็ไม่กล้าล่วงเกินนิกายสือหังเซียนง่ายๆ เพราะสำหรับประเทศอมตะระดับสูงแล้ว นิกายสือหังเซียนก็ไม่ต่างอะไรจากพยัคฆ์ร้าย!
นอกจากนี้มันยังได้ยินมาอีกว่า…
ชนชั้นอาวุโสหลักแทบทุกคนของนิกายสือหังเซียน ล้วนมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ!
“ไม่ผิด”
อ๋องฉินพยักหน้า
“อาวุโสหลักนิกายสือหังเซียน…นั่นคือยอดฝีมือด่านพลังขุนนางอมตะ! พี่ใหญ่…ท่านแน่ใจหรือว่าคนในชุดคลุมสีเทานั่นเป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ?”
อ๋อง 3 กล่าวถามด้วยท่าทางหวาดกลัว
“เมื่อครู่ข้าลองตรวจสอบมันดู…และที่ข้ารู้สึกได้ ก็มีแต่ความลึกล้ำสุดหยั่งถึง!”
อ๋องฉินกล่าวออกเสียงหนัก
ลึกล้ำสุดหยั่งถึง!
ใจอ๋อง 3 จมดิ่งลงไปในทันใด
“ขุนนางอมตะ?!”
ฉินอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง พอได้ยินบทสนทนาระหว่างลุงทั้งสองก็ได้แต่หยีตาลงอย่างอดไม่ได้
ขุนนางอมตะ!
นั่นคือตัวตนที่อยู่เหนือยอดเซียนอมตะ!
และต้องทราบด้วยว่าในเขตปกครองของวังฉินนั้น มีลุงใหญ่ของมันแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น…ที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขต ยอดเซียนอมตะ!
ต่อให้ตอนนี้บิดามันจะยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่างดีวังฉินก็มียอดเซียนอมตะแค่ 2 คน!
ทว่ามาตอนนี้ จากบทสนทนาระหว่างลุงของมัน ในการประลอง 16 มณฑลคราวนี้กลับปรากฏ ‘ขุนนางอมตะ’ คนหนึ่งมาร่วมชม และอีกฝ่ายยังมาจากขุมพลังอันยิ่งใหญ่นามนิกายสือหังเซียน!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือขุนนางอมตะผู้นั้น กลับไปนั่งอยู่ข้างๆหวังฉี่หลิง 1 ใน 16 ผู้ว่าการมณฑลใต้อาณัติวังฉิน!
‘คนในชุดคลุมสีเทานั่น เป็นถึงตัวตนทรงพลังขอบเขตขุนนางอมตะเชียวหรือ!?’
ใจฉินอวี่สะท้านไปอย่างแรง!
มันเองก็รู้สึกสนใจคนในชุดคลุมสีเทาแต่แรก เพราะในบรรดาผู้ที่มาเข้าร่วมชมการประลอง 16 มณฑลทั้งหมดมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่ไม่ได้เปิดเผยหน้าตา…
คนหนึ่งนั้นนั่งร่วมกับคนจากขุมพลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในเขตวังฉินอย่างนิกายมังกรบิน และชุดคลุมของอีกฝ่ายที่ปกปิดร่างกายมิดชิด ยังเป็นชุดคลุมปรมาจารย์อมตะแผ่นดิน! เผยให้เห็นว่าอีกฝ่ายหากไม่เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะก็อาจเป็นปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับต่ำ!!
เทียบกับคนในชุดคลุมสีดำแล้ว คนในชุดคลุมสีเทาย่อมแลดูลึกลับกว่า…
“อีกทั้ง…”
เมื่อเห็นว่าน้องชายตัวเองยังคงสงสัยว่าอีกฝ่ายจะใช่ขุนนางอมตะแน่หรือไม่ อ๋องฉินก็กล่าวต่อว่า “คนผู้นั้นได้หยิบป้ายขึ้นมาแสดงให้ข้าเห็น แม้จะเป็นแค่วูบเดียว แต่ข้าก็เห็นมันชัดถนัดตา…ลวดลายบนป้ายนั่น บ่งบอกฐานะผู้อาวุโสหลักของนิกายสือหังเซียนไม่ผิดแน่!”
“เช่นนั้นฐานะอาวุโสหลักของนิกายสือหังเซียนของมันล้วนยืนยันได้แล้ว…เรื่องนี้พวกเราไม่ต้องสงสัยอีก”
อ๋องฉินกล่าว
“ในเมื่อพี่ใหญ่มั่นใจฐานะมันแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็อย่าได้ไปยุ่งกับมันเสียประเสริฐกว่า…มันจะทำอะไรหรือต่อให้มันจะฆ่าผู้ใดก็ช่างเถอะ…”
อ๋อง 3 เอ่ยขึ้นเสียงเครียด
“อืม”
อ๋องฉินพยักหน้า
ในขณะเดียวกันหลังจากที่ฉินอวี่ถอนตัวออกจากการประลอง 16 มณฑลไป ตอนนี้นอกจากไพ่ตายทั้ง 13 คนของแต่ละมณฑล ก็ไม่เหลือใครที่ยังไม่ลงประลองอีก
“มณฑลถงซิน เหยียนชื่อหู่ ได้อันดับที่ 3 ในการประลอง 16 มณฑลเป็นการชั่วคราว”
“มณฑลหม่าหยา ถงหยวน ได้อันดับที่ 2 ในการประลอง 16 มณฑลเป็นการชั่วคราว”
“มณฑลหลิงฟง ฉู่อวี้ ได้อันดับที่ 1 ในการประลอง 16 มณฑลเป็นการชั่วคราว”
ผู้ดำเนินการจัดการประลอง 16 มณฑลคนเดิมที่ลอยร่างเหนือเวที ได้ประกาศออกมาเสียงดังให้ทุกคนได้ยินกันทั่วๆ
“ต่อไป แต่ละมณฑลสามารถเริ่มส่งไพ่ตายออกมาท้าชิง 3 อันดับแรกชั่วคราวได้…หากท้าทายสำเร็จก็จักแทนที่อันดับของผู้ถูกท้าทันที…แต่ถ้าหากท้าทายล้มเหลว ก็จะได้รับโอกาสให้ท้าทาย 7 อันดับที่เหลืออีกครั้ง จนเมื่อเอาชนะและติดอยู่ใน 7 อันดับได้แล้ว ถึงจะมีสิทธิ์สามารถท้าชิง 3 อันดับแรกได้อีกรอบเป็นครั้งสุดท้าย…”
“สำหรับผู้ที่ถูกท้าหากพ่ายแพ้ อันดับก็จะลดลงไปหนึ่งอันดับ ผู้ที่อยู่อันดับรองลงมาอันดับก็จะลดหลั่นลงไป 1 ลำดับตามๆกัน”
…
ผู้ที่เป็นทั้งโฆษกและพิธีกรดำเนินการประลอง 16 มณฑลเริ่มอธิบายกฏกติกาการส่งไพ่ตายออกมาให้ทุกคนฟัง ทำให้ทุกคนรับทราบว่าหลังจากนี้จะดำเนินการกันอย่างไร
และแน่นอนว่าหลังจากนี้การประลอง 16 มณฑลก็จะเข้าสู่ช่วงสุดท้าย และสมควรเป็นช่วงที่ดุเดือดที่สุด
นั่นเพราะ ไพ่ตายของทั้ง 13 มณฑลกำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว!
“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ…ว่าก่อนที่ไพ่ตายของทั้ง 13 มณฑลจะลงมือ ผู้ที่ได้อันดับ 1 เป็นการชั่วคราวจะเป็นแม่หนู ฉู่อวี้ ไปได้…”
ผู้ชมรอบๆเวทีประลองหลายคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“นั่นน่ะสิ ผู้ใดจะไปเชื่อ…ว่ายาโถวน้อยนั่นกลับมีพลังฝีมือถึงขั้นสามารถช่วงชิงอันดับ 1 ชั่วคราวในการประลอง 16 มณฑลครานี้มาได้จริงๆ…”
“แต่พลังฝีมือระดับนาง ยังไม่ได้เป็นไพ่ตายของมณฑลหลิงฟงอีกหรือ? ดูเหมือนว่าไพ่ตายของมณฑลหลิงฟงจะพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วแล้วจริงๆ!”
“หากข้าเดาไม่ผิด ไพ่ตายของมณพลหลิงฟงคงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่สมควรเป็น ฉู่เหยียน พี่ชายแท้ๆของฉู่อวี้ผู้นั้น!”
“ฉู่เหยียนหรือ ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของมันมาบ้าง…เห็นว่ามันเป็นลูกชายของ ฉู่ถิงซวน ผู้ว่าการมณฑลหลิวฟง…ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงมันไม่ได้โด่งดังอะไร จนมามีการประลอง 16 มณฑลที่วังฉินจัดขึ้นนี่ล่ะ ผู้คนถึงได้รับทราบว่ามีมันอยู่ด้วย ก่อนหน้าทุกคนจะก็รู้จักแต่ ฉู่อวี้ บุตรีของผู้ว่าการมณฑลหลิงฟงเท่านั้น…”