ตอนที่ 2683

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 2,683 : นิกายสือหังเซียน ขุนนางอมตะ?!

 

 

ม้าสีขาวปลอดราวหิมะทั้ง 9 นั่น มองผ่านๆก็แทบไม่ต่างอะไรจากม้าสีขาวธรรมดาในโลกมนุษย์เลย แต่หากสังเกตให้ดีๆจะพบว่า ทั่วร่างของม้าสีขาวทั้ง 9 นั้น กลับแผ่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมา!

 

เห็นได้ชัดว่าม้าทั้ง 9 เป็นสัตว์อมตะ!

 

ในระนาบเทวโลกสัตว์อมตะได้แบ่งออกเป็น 2 จำพวกใหญ่ๆ ได้แก่สัตว์อมตะที่เบิกภูมิปัญญา กับสัตว์อมตะที่ไร้สติปัญญา

 

จำพวกแรกนั้นเฉลียวฉลาดไม่ได้แพ้ผู้คนเลย ยังสามารถบ่มเพาะพลังได้ไม่แตกต่าง

 

ส่วนจำพวกที่สองมันไม่อาจเบิกภูมิปัญญาได้ เพียงดำรงชีวิตอยู่ตามสัญชาตญาณสัตว์ป่าเท่านั้น แม้จะมีพลังฝึกปรือแต่ก็เป็นพลังฝึกปรือจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอดตามธรรมชาติ ไม่ได้บ่มเพาะพลังตามเคล็ดวิชาอมตะที่ถูกสร้างขึ้น

 

ตัวอย่างก็เช่นม้าสีขาวปลอดทั้ง 9 ที่กำลังแบกห้ามเกี้ยวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน พวกมันเป็นสัตว์อมตะที่ไม่ได้เบิกภูมิปัญญา ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ป่าที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องเท่านั้น เพียงแต่ผู้ที่เลี้ยงมันก็คือวังฉิน! เช่นนั้นพลังฝึกปรือแต่ละตัวจึงสูงถึงขอบเขตจินเซียนตะวันม่วง!!

(ขอแก้ พระราชวังฉินเป็น วังฉินแทนครับ)

 

และเมื่อพวกมันทั้ง 9 กำลังแบกเกี้ยวอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้ จึงทำให้ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าต้าหลัวจินเซียนทั่วๆไป!

 

‘นั่นน่ะเหรอ อ๋องฉิน?’

(ขอแก้ ฮ่องเต้ฉิน เป็น อ๋องฉินครับ)

 

สองตาใต้คลุมดำของต้วนหลิงเทียนทอแสงจ้าขึ้นวาบหนึ่ง มองจ้องร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงทองบนเกี้ยวด้วยความสนใจ

 

ชายวัยกลางคนผู้นี้หน้าตาแลดูองอาจ ร่างสูงใหญ่ เพียงแค่นั่งเฉยๆก็ให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม ยังมีแรงกดดันไร้สภาพประการหนึ่ง สะกดให้ทุกคนในเขตเวทีประลองของวังฉินรู้สึกยำเกรง

 

เรียกว่าต่อหน้าแรงกดดันไร้สภาพที่แผ่ออกมาจากร่างชายวัยกลางคนอย่างเป็นธรรมชาติผู้นี้ แรงกดดันของเหล่าผู้ว่าการมณฑลทั้งหลาย ช่างอ่อนด้อยจนไม่คู่ควรให้กล่าวถึง

 

อยู่กันคนละระดับอย่างสิ้นเชิง!

 

“เป็นอ๋องฉิน!”

 

“อ๋องฉินเสด็จแล้ว!!”

 

 

หลังได้เห็นเกวียนอันมีม้าสีขาวปลอดทั้ง 9 แบกหามมาถึง และหนึ่งร่างที่นั่งอยู่บนนั้น เหล่าคนในเวทีประลองก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นกันยกใหญ่

 

“คารวะอ๋องฉิน!”

 

“คารวะอ๋องฉิน!”

 

 

ราวกับนัดกันมาตั้งแต่เมื่อวาน เหล่าผู้ว่าการมณฑลทั้ง 16 มณฑลพร้อมใจกันลุกขึ้นประสานมือโค้งหัวคารวะด้วยท่าทางมากเคารพออกไปเร็วไว

 

และต่อมาเหลาบรรดาแขกที่ได้รับเชิญบริเวณอัฒจันทร์ที่นั่งบุคคลพิเศษรวมถึงผู้ชมโดยรอบ ก็ลุกขึ้นประสานมือคารวะเช่นกัน “คารวะอ๋องฉิน”

 

กระทั่งต้วนหลิงเทียนเอง ก็ประสานมือพลางโค้งเบาๆตามน้ำไปไม่ให้เป็นจุดเด่น

 

หากจะถามว่าในที่นี้ยังมีใครที่ไม่แยแสการปรากฏตัวของอ๋องฉิน ก็เห็นทีจะมีแต่ร่างในชุดคลุมสีเทา ที่นั่งอยู่ไม่ห่าง หวังฉี่หลิงผู้ว่าการมณฑลผิงชานคนเดียวเท่านั้น

 

“หืม?”

 

อ๋องฉินที่นั่งบนเกี้ยว พอได้รับการคารวะทักทายก็เร่งโบกมือให้ทุกคนเงยหน้าขึ้น ทว่าสายตาของมันย่อมไปสะดุดกับร่างในชุดเทาข้างๆหวังฉี่หลิงทันที เพราะอีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่ยังนั่งเฉย…!

 

ทันใดนั้นคิ้วมันก็เริ่มขดย่นเป็นปมหลวมๆ

 

ในเขตวังฉินแท้ๆ แต่ยังมีคนหาญกล้าไม่เคารพมันด้วย?

 

ทันใดนั้นอ๋องฉินก็มองจ้องร่างในชุดคลุมสีเทาด้วยสายตาแหลมคมทันที

 

ต่อมาทุกคนในเขตเวทีประลองก็เริ่มหันมองไปตามสายตาของอ๋องฉิน จนในที่สุดก็ไปตกลงบนร่างในชุดคลุมสีเทาตามๆกัน ทำให้ร่างในชุดคลุมสีเทากลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที

 

“บัดซบ! เจ้านั่นมันเป็นผู้ใดกัน มันจงใจสร้างเภทภัยให้พวกเราหรือ?”

 

เหล่าผู้อาวุโสจวนผู้ว่ามณฑลผิงชานถึงกับหน้าเสียไปเป็นแถบ!

 

“นั่นคือผู้ใดกัน ไฉนเห็นฝาบาทแล้วยังไม่คารวะเช่นนี้? แล้วไฉนถึงต้องมานั่งในอัฒจันทร์ส่วนของพวกเรา?”

 

เหล่ารุ่นเยาว์ในอัฒจันทร์ที่นั่งของมณฑลผิงชาน ก็ได้แต่ลอบกังวลในใจ เมื่อเห็นว่าร่างในชุดคลุมเทาข้างๆผู้ว่าของพวกมันจนป่านนี้ยังนั่งนิ่งอยู่ได้…

 

“ผู้ว่าหวัง…ดูเหมือนคนที่นั่งอยู่ข้างเจ้า จะดูเบาเปิ่นหวางไม่น้อย”

(เปิ่นหวาง = คำแทนตัวของเหล่าอ๋อง,องค์ชาย *ที่ผมแก้เป็นอ๋องฉินกับวังฉินเพราะคำแทนตัวนี่ล่ะ ปกติถ้าฮ่องเต้แทนตัวมันจะเป็นเจิ้น)

 

อ๋องฉินละสายตาออกจากร่างในชุดคลุมสีเทา ก่อนจะเบนไปตกยังร่างหวังฉี่หลิงที่ยืนอยู่ข้างๆ

 

แม้ว่าเสียงของฮ่องเต้ฉินจะฟังดูเรียบเฉย แต่ทุกคนในที่นี้ย่อมสัมผัสได้ชัดเจนถึงไอโทสะหนึ่ง และนั่นก็ทำให้หวังฉี่หลิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสี!

 

เหล่าผู้ว่าการมณฑลคนอื่นๆอีก 15 คน ตอนนี้ก็หากไม่มองหวังฉี่หลิงด้วยสายตาเวทนาก็เย้ยหยัน กระทั่งสมน้ำหน้าก็มี…

 

“ท่านผู้อาวุโสท่านช่วยทักทายอ๋องฉินหน่อยมิได้หรือ…หากท่านถูกเปิดเผยฐานะตอนนี้ ข้าเกรงว่าหากต้วนหลิงเทียนนั่นมาถึงที่นี่แล้วรู้เข้า มันคงได้หนีไปพอดี…”

 

หวังฉี่หลิงหันไปส่งเสียงผ่านพลังแนะร่างในชุดคลุมเทา

 

พอคนในชุดคลุมสีเทาได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้กล่าวตอบอะไรหวังฉี่หลิงไป เพียงเงยหน้าขึ้นไปเหลือบมองอ๋องฉินผ่านๆ จากนั้นลูกตาสีโคลนแต่เดิมของมันก็ทอประกายขึ้นวาบหนึ่ง

 

“อ๋องฉินแห่งวังฉินใช่หรือไม่? ข้าคือคนของนิกายสือหังเซียน…เหตุผลที่ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อดักรอฆ่าใครบางคนตามบัญชาท่านประมุขนิกายสือหังเซียนเรา หากเจ้ากล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าจะฆ่าล้างบางวังฉินของเจ้า”

 

ในขณะที่อ๋องฉินได้สบเข้ากับตาสีโคลนนั่น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหู

 

‘นิกายสือหังเซียน!?’

 

พอได้ฟังใจมันก็สะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะทันที! จากนั้นมันยังได้แลเห็นประกายแสงวาบหนึ่ง เป็นปลายแขนเสื้อของร่างในชุดคลุมลมสีเทา อยู่ๆก็ปรากฏป้ายหนึ่งโผล่แลบออกมา!

 

‘นิกายสือหังเซียน…สัญลักษณ์นั่น…อะ…อาวุโสหลัก!?!’

 

ถึงแม้ป้ายดังกล่าวจะแลบออกมาจากแขนเสื้อแว่บเดียวแล้วหดหายกลับไป แต่อ๋องฉินก็สามารถเห็นลักษณะป้ายชัดถนัดตา และนั่นคือป้ายประจำตัวของชนชั้นอาวุโสหลักนิกายสือหังเซียน!

 

‘อาวุโสหลักของนิกายสือหังเซียน…ล้วนแล้วแต่บรรลุถึงขอบเขต ขุนนางอมตะ!’

 

พอได้รับทราบฐานะของร่างในชุดคลุมสีเทา และตระหนักได้ว่าพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายอย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ อ๋องฉินก็ลอบสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ รีบเบนหน้ากลับไปมองหวังฉี่หลิงทันที

 

“ท่านผู้อาวุโส…ข้าจะให้คนของข้าหาขออ้างบางประการ หวังว่าท่านจักไม่ถือโทษโกรธเคืองข้าน้อย เพราะในสถานการณ์เช่นนี้หากไร้ข้ออ้างข้าเกรงว่าจักทำให้ผู้อื่นสนใจท่านผู้อาวุโสไม่เลิก”

 

อ๋องฉินที่แม้จะหันไปมองหวังฉี่หลิง หากทว่ามันกลับส่งเสียงผ่านพลังไปถึงร่างในชุดคลุมสีเทา

 

“หึ!”

 

ร่างในชุดคลุมสีเทาพ่นลมเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่ง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการยอมรับ

 

หลังจากนั้นอ๋องฉินก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังกล่าวสั่งหวังฉี่หลิงทันที

 

พอหวังฉี่หลิงได้ฟังคำสั่ง ลูกตาของมันก็หดหยีลง สีหน้ายังเผอาการตะลึงไปทันใด ทว่ามันก็ดึงสติกลับมาได้ในพริบตา จากนั้นก็เร่งก้มหัวโค้งคารวะให้อ๋องฉิน พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า “ขออภัยด้วยฝ่าบาท สหายข้างกายข้าผู้น้อยคนนี้เป็นใบ้หูหนวกแต่กำเนิด ที่ไม่คารวะฝ่าบาทเนื่องเพราะไม่รู้ ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย”

 

“ในเมื่อสหายเจ้าเป็นใบ้หูหนวก เราเปิ่นหวางไหนเลยจะถือสาหาความได้…”

 

อ๋องฉินเร่งก้าวอาดๆตาม ‘ทางลง’ ที่หวังฉี่หลิงสร้างให้ทันที ขณะเดียวกันมันก็ลุกออกจากเกี้ยวแล้วเหินร่างฝ่าม่านผ้าชั้นลอยเข้าไปด้านใน

 

“ดูเหมือนว่าอ๋องฉินจะมาที่นี่เพื่อฉินอวี่โดยเฉพาะ”

 

“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือไร! ไม่พ้นฉินอวี่ผู้นั้นต้องเกี่ยวข้องกับอ๋อง 4 ที่หายตัวไปในปีนั้นแน่”

 

“ข้าได้ยินมาว่าก่อนจะหลบหนีออกจากวัง อ๋อง 4 เหมือนจะทำร้ายอ๋องฉินไม่น้อย…เช่นนั้นถ้าหากฉินอวี่มีความสัมพันธ์กับอ๋อง 4 จริง อ๋องฉินใช่จะลงมือกับมันเพื่อล้างแค้นหรือไม่?”

 

“เหอะๆ เจ้าคิดมากไปแล้ว…ในปีนั้นไม่ว่าใครก็รู้ว่าที่อ๋อง 4 ทำร้ายอ๋องฉินนั้นล้วนเป็นเพราะเพราะคุ้มคลั่งจากธาตุไฟเข้าแทรก…อ๋องฉินกับอ๋อง 4 ล้วนสนทสนมกลมเกลียวกันมาตลอด ยังเป็นน้องชายแท้ๆของอ๋องฉินทั้งคน เช่นนั้นก็มีแต่จะเห็นใจเท่านั้น ไหนเลยจะคิดแค้นอันใดได้?”

 

“ถ้างั้น…หรือจะรับตัวฉินอวี่ไปกราบไหว้บรรพชนเพื่อกลับเข้าตระกูล?”

 

 

เหล่าผู้คนรอบเวทีประองตอนนี้ ได้ละความสนใจออกจากร่างในชุดคลุมสีเทาข้างๆหวังฉี่หลิงผู้ว่าการมณฑลผิงชานอย่างรวดเร็ว ต่างหันไปสนใจเรื่องราวหลังม่านชั้นลอยแทน

 

เพราะตอนนี้ด้านในไม่เพียงแต่จะมีอ๋อง 3 กับฉินอวี่ กระทั่งอ๋องฉินก็มาแล้ว

 

และด้านในเกิดอะไรขึ้นบ้างพวกมันก็ไม่อาจรู้ได้เลย เพราะพวกมันไม่อาจมองทะลุผ่านม่านผ้านั่นได้

 

นอกจากนี้ม่านผ้าดังกล่าวไม่เพียงแต่จะปิดกั้นสายตา ยังมีความสามารถปิดกั้นสำนึกเทวะให้ไม่อาจตรวจสอบเรื่องราว กระทั่งยังปิดกั้นได้แม้แต่เสียง ไม่ปล่อยให้บทสนทนาใดๆดังลอดออกมา…

 

ราว 1 เค่อต่อมา

 

“นับแต่นี้ไป ฉินอวี่ได้ถอนตัวออกจากการประลอง 16 มณฑล…เริ่มการประลอง 16 มณฑลต่อได้!”

 

ผู้ที่รับผิดชอบดำเนินการจัดการประลองที่ไปส่งฉินอวี่เมื่อครู่ ก็เหินกลับมาหยุดลอยเหนือเวทีประลอง ก่อนจะประกาศแจ้งเรื่องราวออกมาเสียงดัง

 

และทันทีที่มันประกาศเรื่องนี้ออกมา เสียงของผู้คนโดยรอบก็เงียบลงทันที

 

“ฉินอวี่ถอนตัวออกจากการประลอง 16 มณฑลแล้ว?”

 

“ไฉนเป็นเช่นนั้นเล่า?”

 

“ดูเหมือนฉินอวี่จะเกี่ยวข้องกับอ๋อง 4 จริงๆ…เพราะหากมันเป็นบุตรของอ๋อง 4 เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลต่อเป็นธรรมดา ในฐานะทายาทของวังฉินซ้ำยังเป็นบุตรชายของอ๋อง 4 วังฉินย่อมไม่ปฏิบัติต่อมันเลวร้ายแน่…”

 

“นี่หรือคือโชคชะตา…เพียงชาติกำเนิด ก็ทำให้คนเราแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน…”

 

 

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ฉากเรื่องราวก็หวนคืนสู่ความคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

 

‘ยินดีกับเจ้าด้วยฉินอวี่…’

 

ในบรรดาที่นั่งของบุคคลพิเศษ ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อมองม่านผ้าอยู่พักหนึ่ง ก็ลอบกล่าวในใจอย่างเงียบงัน ‘หากมีโอกาส ไว้ค่อยแสดงความยินดีกับเจ้าต่อหน้าอีกรอบ’

 

สาเหตุที่ไฉนต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัวที่นี่ในฐานะนี้นั้น เป็นเพราะเขารู้สึกกังวลกับเรื่องที่ได้รับทราบเมื่อเกือบปีก่อนไม่หาย…หญิงชราที่ไปตามหาเขาถึงเมืองเฉวี่ยโยว! คนที่อาจดักรอฆ่าเขาเหมือนเฝ้ากระต่ายหน้าโพรง!!

 

แม้ว่าจนถึงตอนนี้เขาจะไม่รู้ชัดถึงความเป็นมาของหญิงชรา แต่เขาก็ยังระวังตัว

 

เช่นนั้นจนถึงตอนนี้เขาก็เลยไม่เปิดเผยตัวตนออกมา

 

ในสายตาของคนอื่น ตอนนี้เขาก็เป็นแค่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับต่ำคนหนึ่งของนิกายมังกรบินเท่านั้น

 

‘ยังดีที่ข้ามีชุดคลุมปรมาจารย์อมตะแผ่นดิน ทำให้ทุกคนรู้ว่าหากข้าไม่เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับต่ำก็เป็นปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับต่ำ…ไม่งั้นหากเป็นแค่ชุดคลุมธรรมดาๆ ไม่พ้นถูกผู้คนรุมแผ่สำนึกเทวะตรวจสอบตัวตนแน่’

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมนึกภาพออกเลย

 

ว่าถ้าหากเขาไม่มีชุดคลุมปรมาจารย์อมตะที่มีลายเพลิงปักคำว่า ‘แผ่นดิน’ เอาไว้ ไม่พ้นต้องกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคน จนพากันแผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบเขาแน่ สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องได้รู้อายุและรูปร่างหน้าตาของเขา ที่ซ่อนไว้ภายใต้ผ้าคลุมชัดเจน…

 

การประลอง 16 มณฑล เริ่มดำเนินสืบต่อ

 

 

เบื้องหลังผ้าม่านชั้นลอยสำหรับบุคคลพิเศษ

 

ฉินอวี่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ โดยที่เบื้องหน้ามีร่างอ๋องฉินกับ อ๋อง 3 แห่งวังฉินที่กำลังมองจ้องฉินอวี่ด้วยสายตาร้อนแรงปานเพลิงไฟ

 

ด้านฉินอวี่ก็สัมผัสได้ถึงความผูกพันประการหนึ่ง

 

“อวี่เอ๋อ…บิดาเจ้าเล่า อยู่ที่ใดแล้ว?”

 

อ๋อง 3 กล่าวถามออกมา

 

“ท่านพ่อ…จากไปแล้ว…”

 

ฉินอวี่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน

 

วูบ วูบ

 

พออ๋องฉินกับ อ๋อง 3 ได้ยินดังกล่าว หน้าของพวกมันก็เปลี่ยนสีไปทันที