ตอนที่ 1251 ตอนจบที่สมบูรณ์แบบ

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ความกระตือรือร้นในการพูดคุยบนโลกออนไลน์ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกันบนโซเชียลมีเดียหลักๆ ของจีน หรือบนเว็บไซต์ต่างประเทศ พวกมันต่างก็มีจุดร่วมกันตรงที่ผู้คนในนั้นตื่นเต้นกันจนคลั่งไปหมด

โชว์นี้ได้รับความนิยมจนแซงพาเหรดทหารในตอนเช้าได้ในที่สุด

หลิวเหว่ยเป็นตัวละครหลักที่อยู่เบื้องหลังโชว์ฉลองครั้งนี้ เขามองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง โพสต์เว่ยป๋อที่เขาลงเกี่ยวกับโชว์นี้ไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ตอนนี้มันได้รับคอมเมนต์มามากกว่าพันคอมเมนต์แล้ว เขายิ้มเยาะ

รู้สึกเหมือนตอนนี้เขากำลังอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต

ต่อให้เขาเคยทำหนังแอ็กชันทำเงินมามากมายก่อนหน้า ซึ่งบางเรื่องก็ติดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิศ แต่เขาก็ไม่เคยได้รับความสนใจจากสาธารณชนมากถึงขนาดนี้มาก่อน

เหมือนกับเขากลายเป็นเซเลบไม่มีผิด

เขายื่นงานที่เหลือของเขาให้ผู้ช่วยและผู้ช่วยผู้กำกับทำ เมื่อเขาเดินออกจากสนามกีฬามันก็เป็นเวลาเที่ยงคืนเรียบร้อยแล้ว เขายังได้ยินเสียงผู้คนที่อยู่ในสนามกีฬาพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น

หลิวเหว่ยยิ้ม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาโทรหาคนสองสามคนในรายชื่อผู้ติดต่อที่บันทึกไว้

เขาโทรนัดเพื่อนกลุ่มเล็กๆ มาได้ พวกเขาเดินไปตามถนนที่ร้างผู้คน จนในที่สุดพวกเขาก็เจอร้านบาร์บีคิวริมถนนที่ยังเปิดอยู่

เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ พวกเขาก็เปิดเบียร์เตรียมดื่มฉลอง หลิวเหว่ยสัมผัสถึงกลิ่นของทั้งเนื้อบาร์บีคิวและเบียร์ เขารู้สึกว่าความเหนื่อยล้าที่ก่อตัวขึ้นมาในร่างกายระหว่างช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ได้สลายหายไปหมด

หัวมุมร้านบาร์บีคิวมีทีวีเครื่องหนึ่งแขวนไว้ ช่อง CTV กำลังรายงานข่าวเรื่องโชว์ของเขาอยู่

ภาพของทั้งโชว์ฉลองถูกรายงานผ่านมุมกล้องหลายตำแหน่ง ถึงแม้กล้องพวกนั้นจะถูกวางในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว แต่มันก็ยังไม่สามารถจับภาพอิมแพกต์ของการได้เห็นโชว์ด้วยตาตัวเองได้

หลิวเหว่ยไม่สนใจจะดูโชว์ซ้ำอีกรอบ เขาตั้งสมาธิไปกับการดื่มเบียร์และกินบาร์บีคิวบนโต๊ะแทน ในทางกลับกันเพื่อนของเขาก็ไม่ได้ลังเลที่จะพูดชมเขาเลย พวกเขาพูดคำยินดีแล้วยินดีเล่าให้กับหลิวเหว่ย

“ยินดีด้วยนะผู้กำกับหลิว! หลังจากนี้นายก็จะเป็นผู้กำกับในหอเกียรติยศแล้วสิ ใช่ไหม? ”

“ใช่ๆ ! ชื่อของนายจะถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์เลยนะ”

“เฮ้อ ยังหรอก ยังไม่ใช่ตอนนี้สิ” หลิวเหว่ยโบกไม้โบกมือแล้วพูดด้วยความถ่อมตนว่า “นี่ก็แค่โชว์ฉลองนะ ยังไม่มีรางวัลอะไรเสียหน่อย ยังห่างไกลจากการเข้าสู่หอเกียรติยศนะ! ”

ถึงภายนอกจะทำตัวถ่อมตนแค่ไหน แต่บนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มภูมิใจปรากฏอยู่

เวลากำลังเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากเรื่องอาหารและที่อยู่อาศัย ทุกคนเริ่มสนใจเรื่องการค้นหาตัวเองและความพึงพอใจทางจิตวิญญาณแล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วมนุษย์กับปลาจะมีอะไรต่างกันล่ะ?

ต่อให้เป็นคนที่ไม่แยแสชื่อเสียงเงินทองก็ยังต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะยังทำตัวสุขุมนุ่มลึกอยู่ได้เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับหลิวเหว่ยในตอนนี้

“นายทำเกือบเสร็จแล้วใช่ไหม? ภาพยนตร์สารคดีน่ะ”

หลิวเหว่ยส่ายหัวแล้วบอกว่า “การถ่ายทำมันไม่ได้ง่ายน่ะสิ สคริปต์เปลี่ยนมาหลายรอบแล้ว”

“ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็เป็นการฉายภาพโฮโลแกรมเหมือนกันเหรอ?”

“เปล่า มันใช้วิธีถ่ายทำแบบดั้งเดิมน่ะ”

“ก็ฟังดูมีเหตุผลดี อย่างไรมันก็ไม่ต้องใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์อะไรอยู่แล้ว” เพื่อนของเขาที่นั่งตรงข้ามถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าเสียดายนะ ถ้าเกิดนายสามารถตีเหล็กตอนกำลังร้อนด้วยการสร้างหนังทำเงินด้วยเทคโนโลยีโฮโลแกรมขึ้นมาได้ล่ะก็ นายจะกลายเป็นผู้กำกับที่โด่งดังที่สุดในโลกนี้เลยนะ”

หลิวเหว่ยยิ้มแล้วบอกว่า “มันยังเร็วไปนะที่จะพูดถึงเรื่องภาพยนตร์โฮโลแกรม เกรงว่าจะไม่มีโรงภาพยนตร์ไหนในประเทศเราที่มีเทคโนโลยีนั้นน่ะสิ ภาพฉายโฮโลแกรมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างแค่การซื้อโปรเจกเตอร์ฉายภาพมาหรอกนะ เอาจริงๆ มันอธิบายค่อนข้างยากเลยล่ะ เอาเป็นว่าเลิกคุยได้แล้ว อาหารเย็นชืดหมดแล้ว มากินกันดีกว่า”

ในขณะที่ผู้กำกับกำลังกินอาหารกับเพื่อนๆ ไม่กี่คนของเขา ที่สนามกีฬาก็ยังคงวุ่นกับการพาคนออกจากสถานที่

เพราะข้างในยังมีคนเยอะอยู่ ลู่โจวจึงยังไม่อยากออกจากสนามกีฬาในทันที แต่เขากลับเดินไปที่ห้องควบคุมหลังฉากแทน

เมื่อเขาเดินไปหลังเวทีก็พบว่าผู้อำนวยการโอวกำลังสั่งให้เจ้าหน้าที่มาเช็กว่าอุปกรณ์ทุกอย่างปิดเครื่องเรียบร้อยดีแล้ว หลังจากที่ลู่โจวเดินเข้ามาในห้อง ผู้อำนวยการโอวก็ทักทายเขาด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขในทันที

“ฮ่าฮ่า นักวิชาการลู่ ขอบคุณมากนะครับ! โชว์นี้ออกมาสมบูรณ์แบบสุดๆ ไปเลย! ขนาดคนจากสำนักงานกระทรวงความบันเทิงที่เกษียณแล้วยังถึงกับร้องไห้! ”

โชว์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ

ภาพความทรงจำจากช่วงศตวรรษที่ผ่านๆ มาถูกฉายขึ้นตรงหน้าผู้ชมในเวลา 60 นาที สเปเชียลเอฟเฟกต์ที่สุดแสนตระการตาและการนำเสนอที่มีลูกเล่นโดดเด่นยิ่งทำให้โชว์ฉลองทั้งโชว์น่าดูมากขึ้นไปอีก สายตาของทุกคนต่างจับจ้องอยู่ที่เวทีไม่ไปไหน

เมื่อเปรียบเทียบกับการแสดงละครเวทีที่มีการร้องการเต้นแล้ว วิชวลเอฟเฟกต์ระดับยิ่งใหญ่นี้ทำให้สามารถบรรยายจิตวิญญาณทางศิลปะได้ดีกว่ามาก ทั้งด้านคุณค่าทางอารมณ์และคุณค่าทางใจ

ลู่โจวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ด้วยความยินดีครับ ผมค่อนข้างพอใจกับการแสดงมากทีเดียว”

ผู้อำนวยการโอวเอ่ย “ตอนนี้เราได้อีเมลมาหลายฉบับแล้ว คนหลายคนที่ไม่ได้อยู่ดูโชว์ของเราแบบสดๆ ได้ขอให้พวกเราแสดงโชว์นี้เพิ่มอีกสักสองสามรอบ”

“นั่น…ดูไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริงเท่าไรนะครับ ปัญหาการจราจรจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่”

ถ้ามีคนมากกว่าหนึ่งหมื่นคนอยู่ในสนามกีฬาแล้วล่ะก็ สนามกีฬานี้จะมีขนาดพอๆ กับประชากรของประเทศเล็กๆ หลายประเทศเลยทีเดียว แม้แต่ความผิดพลาดเล็กๆ ก็อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาได้ จึงไม่มีใครอยากจะรับผลที่ตามมาหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น

มันจึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะแสดงโชว์นี้ติดกันหลายครั้ง

โอวไห่เฟิงถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ผมก็เลย…อยากจะถามคุณว่าคุณพอมีวิธีอื่นอีกไหมครับ! เพราะถ้าคนอื่นสามารถดูโชว์นี้ซ้ำได้แค่บนจอ 2 มิติแล้วล่ะก็ มันคงน่าเสียดายแย่เลย! ”

ลู่โจวคิดอยู่แป๊บหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “อันที่จริง…ภาพโฮโลแกรมไม่จำเป็นต้องฉายในโลกแห่งความเป็นจริงก็ได้นะครับ มันสามารถนำไปฉายที่ไหนก็ได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง”

“อย่างในโรงภาพยนตร์เหรอ? ”

ลู่โจวส่ายหัวแล้วบอกว่า “กว่าจะทำแบบนั้นในโรงภาพยนตร์ได้ก็ต้องใช้เวลาสักพัก…วิธีที่น่าจะทำได้จริงกว่า คือการย้ายสารคดีเรื่องนี้ลงไปในระบบแฟนท่อม”

“ระบบแฟนท่อม? ” ผู้อำนวยการโอวตกตะลึงไปเล็กน้อย เขาถามย้ำว่า “เจ้า…หมวก VR นั่นน่ะเหรอ? มันทำงานได้จริงเหรอ? ”

“มันก็ไม่ได้ยากในทางเทคนิคอะไรนะครับ เพราะโชว์ฉลองทั้งโชว์ก็ทำขึ้นในระบบโลกเสมือนของพวกเราอยู่แล้ว อีกอย่างจากข้อมูลของเราก็พบว่าจำนวนผู้ใช้ที่ลงทะเบียนระบบแฟนท่อมพุ่งสูงขึ้นถึง 20 ล้าน คนเข้าไปแล้ว ในตัวเลขนี้ 37% ซื้อหมวก VR มาจากบริษัทอย่างหัวเหว่ย เสี่ยวมี่ และอื่นๆ อีก…ในขณะที่ผู้ใช้มากกว่า 60% ลงทะเบียนผ่านร้านสัมผัสประสบการณ์โลกเสมือนของพวกเรา ผู้คนอย่างน้อย 50 ล้านคนสามารถดูโชว์นี้ผ่านระบบแฟนท่อมได้”

ซึ่งหากพวกเขาใช้ความนิยมของโชว์นี้ให้เป็นประโยชน์แล้วล่ะก็ จะสามารถเพิ่มฐานลูกค้าของระบบแฟนท่อมได้อีกด้วย

แต่ลู่โจวก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้โอวไห่เฟิงฟัง

ปกติแล้วต่อให้เป็นการออกอากาศแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้ มันก็ยังจำเป็นต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์การออกอากาศอยู่ดี แต่ผู้อำนวยการโอวไม่ได้พูดเรื่องค่าลิขสิทธิ์การออกอากาศ ลู่โจวจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้เหมือนกัน

อันที่จริงโอวไห่เฟิงไม่ได้คิดเรื่องสิทธิ์ในการออกอากาศเลยแม้แต่น้อย ในความคิดของเขานั้น นักวิชาการลู่ได้ช่วยโชว์ฉลองนี้ไว้มากมายเหลือเกิน ไม่มีทางที่พวกเขาจะเก็บเงินค่าออกอากาศกับนักวิชาการลู่อยู่แล้ว

“ถ้าอย่างนั้น…คุณช่วยทำเรื่องนี้ให้พวกเราได้ไหมครับ? ”

“นี่ไม่ใช่การช่วยเหลือใหญ่โตอะไรเลยครับ!” ลู่โจวยิ้มแล้วบอกอีกฝ่ายว่า “เดี๋ยวผมจะไปคุยกับซีอีโอของผมให้คุณแล้วกันนะ”

โอวไห่เฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมากนะครับ!”