เสียงของคนผู้นั้นเบาและแหบมาก เนื่องจากไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน
“ข้าชื่อเจ๋อซิ่ว”
คนชุดดำรู้ว่าเจ๋อซิ่วคือใคร จึงเงียบไม่พูดอีก
ลมหนาวพัดผ่านเนินหิมะเสียงดังหวีดหวิว ไกลออกไปมีทหารม้าขี่ม้าผ่านมา แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบนเนินหิมะมีคนสองคนนอนนิ่งๆ เรียงกันอยู่
ถ้ามีคนมองลงมาจากด้านบน อาจรู้สึกว่าภาพนี้สวยงามในเชิงสุนทรียภาพ พวกเขาเหมือนคู่รักที่ยอมตายเพื่อความรัก
แต่น่าเสียดาย นี่ไม่เป็นความจริง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด คนชุดดำจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
คำถามนี้ย่อมหมายถึง เจ๋อซิ่วเดาได้อย่างไรว่านางใช้ศพในสุสานแห่งนี้กระทำการฟื้นคืนชีพ
เจ๋อซิ่วว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดทำอะไร เพียงแต่ตอนที่ข้ามาถึงสุสานแห่งนี้ พอดีเห็นเจ้าอยู่ที่นี่ด้วย”
ตอนนั้นกองทัพเผ่ามนุษย์ใกล้ตีเมืองเสวี่ยเหล่าแตกอยู่รอมร่อ ในเวลาคับขันเช่นนี้ คนชุดดำที่บาดเจ็บยังจะมีกะใจมายังสุสานแห่งนี้ นี่บ่งบอกว่าสุสานแห่งนี้สำคัญกับนางมาก
คนชุดดำ “ดังนั้นเจ้าจึงอยู่ที่นี่ตลอด เพื่อรอข้ากลับมา”
เจ๋อซิ่ว “ใช่”
คนชุดดำ “แล้วเจ้าไม่เคยคิดหรืออย่างไรว่า ความคิดของเจ้าอาจผิด”
คืนนั้นในตำหนักมารที่นางถูกหลิวชิงสังหาร วิญญาณเทพได้หยิบยืมพลังของแท่นบูชายัญหนีออก แต่นางมิได้รีบจากไป ซ่อนตัวอยู่ในหลุมฝังศพหลายสิบวันอย่างระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง นางนึกไม่ออกว่า ยังมีใครอึดกว่าตนเองอีก
ยิ่งไปกว่านั้น เจ๋อซิ่วไม่มีเหตุผลที่จะทนอยู่ในหลุมฝังศพนานเช่นนี้ เพราะข้อสันนิษฐานเพียงข้อเดียว
เจ๋อซิ่ว “เพราะที่อื่นไม่ต้องการข้า ข้าจึงเหมาะที่จะทำเรื่องเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปเหล่านี้”
คนชุดดำ “แล้วถ้าจนแล้วจนเล่าข้าไม่ออกมา หรือเจ้าจะรอไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นผีดิบไปจริงๆ”
เจ๋อซิ่ว “ไม่มีทาง ถ้าข้าแน่ใจแล้วว่าเจ้าจะไม่กลับมาที่นี่ ข้าก็จะจากไปเอง”
คนชุดดำ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไร”
เจ๋อซิ่ว “ขณะล่าสัตว์ สิ่งสำคัญที่สุดมิใช่ประสบการณ์ แต่เป็นสัญชาติญาณ”
คนชุดดำ “ถ้าสัญชาติญาณของเจ้าผิดล่ะ”
เจ๋อซิ่ว “ไม่ใช่ทุกครั้งที่ออกล่า จะต้องจับเหยื่อได้ ครั้งต่อไปค่อยมาใหม่ยังได้”
คนชุดดำคิดๆ ดู “มีเหตุผล”
……
……
ข่าวการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของเจ๋อซิ่ว แพร่กระจายมาถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว และที่มาพร้อมกัน ยังมีข่าวลับเฉพาะนั่นด้วย
จวบจนอ่านเนื้อความในจดหมาย เฉินฉางเซิงถึงได้รู้ว่า ที่แท้คนชุดดำยังไม่ตาย แต่ตายในเวลาต่อมาด้วยน้ำมือของเจ๋อซิ่ว…เรื่องนี้มิได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ เนื่องจากเจ๋อซิ่วเขียนไว้ในจดหมายอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเกียรติยศเช่นนี้ เพราะพิจารณาในแต่ละด้านแล้ว บทเพลงสอดแทรกท่อนนี้ ให้คิดเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้นจะดีกว่า
ดังนั้น หลิวชิงจึงยังคงคิดว่า คนชุดดำตายภายใต้คมกระบี่ของตน และรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ต้องแสวงหาในอาชีพการงานอีก หลังจากแน่ใจแล้วว่าราชสำนักกับพระราชวังหลีไม่ต้องการให้เขาไปสืบข่าวของเฉาอวิ๋นผิง เขาก็ได้ยุติอาชีพการเป็นนักฆ่าของตนเอง แล้วเริ่มใช้ชีวิตหลังเกษียณด้วยใจที่สงบเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเรื่องนี้มีสวีโหย่วหรงกับมุขนายกใหญ่อันหลินเป็นพยาน
เฉินฉางเซิงไปพบเฉินหลิวอ๋องที่ตรอกทหารม้ากองทัพเหนือ
มาถึงเวลานี้ เฉินหลิวอ๋องย่อมไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก เขามีความหยิ่งยโสในความเงียบอยู่บ้าง มิได้ตระหนักถึงการเป็นผู้ต้องขังแต่อย่างใด พอเห็นสหายที่เคยสนิทกันมาก่อนท่านนี้ มีท่าทีเหมือนคนไม่รู้จักกัน เฉินฉางเซิงก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดถังซานสือลิ่วถึงได้ไม่ชอบเขามาตลอด
…เฉินหลิวอ๋องเป็นคนที่เยือกเย็นและมีสติมากคนหนึ่ง ชีวิตของเขาชัดเจนมาก รู้ว่าตนเองอยากแสวงหาอะไรในชีวิต ความปรารถนาของเขาก็ตรงไปตรงมายิ่ง เข้าใจได้ว่าเปลือยให้เห็นกันทีเดียว แต่สุดท้าย สิ่งที่ปรากฏคือความเงียบ และนี่คือความดัดจริตที่ถังซานสือลิ่วไม่ชอบเป็นที่สุด
เฉินหลิวอ๋องมองตาเฉินฉางเซินพลางว่า “ในประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง เป็นไปได้ว่าสุดท้ายข้าคือผู้ชนะ”
เฉินฉางเซิงว่า “เป็นไปได้ เพราะประวัติศาสตร์หน้านั้นไม่มีข้า”
……
……
เมื่อสี่ปีก่อน ในตรอกทหารม้ากองทัพเหนือ ลานเล็กๆ นั่นมีต้นมะตูมจีนที่ปลูกขึ้นใหม่ต้นหนึ่ง
เมื่อสองปีก่อน โครงการฟื้นฟูสุสานเทียนซูเสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ
ในสงครามเมื่อสิบกว่าปีก่อนและความขัดแย้งเมื่อสิบปีที่แล้ว พนังกั้นน้ำและถนนปูกระเบื้องหินที่ถูกทำลายได้รับการซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยด้วยความเอาใจใส่ของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ โดยมิได้ให้ความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์ใหม่ๆ แต่เป็นการซ่อมแซมเชิงอนุรักษ์ที่แฝงความหมายบางอย่าง
ขณะมองดูแนวต้นไม้สีเขียว หวังผ้อก็นึกถึงสวินเหมยขึ้นมา
ตอนที่เขาก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเทพ ไม่มีใครมาหยุดยั้งเขา
ศาลาริมทางพังไปแล้ว แต่มิได้ถูกซ่อมแซม ฮั่นชิงตายไปแล้ว ที่นี่ไม่มีคนเฝ้าหลุมฝังศพอีก
เขาเดินไปจนสุดถนน มองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่ไร้ตัวอักษรนั่น แล้วนิ่งเงียบอยู่นาน
ค่อยหันกาย มองไปยังเมืองหลวงที่อยู่ด้านล่างของหลุมฝังศพ สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่พระราชวัง
เป็นอีกหนึ่งฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย
เขาหันกายจากไป
และมิได้มาเมืองหลวงอีก
……
……
เฉินฉางเซิงมาถึงพระราชวัง บอกข่าวการจากไปของหวังผ้อให้อวี๋เหรินรู้
อวี๋เหรินไม่เปลี่ยนท่าที แต่ขุนพลเทพเฮ่อหมิงและเหล่าขุนนางใหญ่มีท่าทีโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ผู้คนถอยออกไป อวี๋เหรินค่อยแสดงความคิดเห็นของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือเกี่ยวกับหวังผ้อก็ว่าได้
“คำนึงถึงประชาชน คือปราชญ์ที่แท้จริง”
จิตใจของเฉินฉางเซิงค่อนข้างหนักอึ้ง การจากไปของหวังผ้อทำให้เขานึกถึงชีวิตของซางสิงโจวขึ้นมา
“ตลอดทั้งชีวิตของอาจารย์ก็อยากทำเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกัน ตอนนี้ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ต้องมีความสุขมากแน่ๆ แต่บางที…ก็รู้สึกไร้สาระมากเช่นกัน”
“เป็นไปได้”
อวี๋เหรินมิได้พูดจบประโยค มองดูกระดาษบนโต๊ะแผ่นนั้น แล้วจึงส่ายหน้า “ใช้พู่กันไม่ถูก เขียนใหม่หนึ่งร้อยครั้ง”
นักพรตน้อยผู้ไม่ถูกโรคอย่างแรงกับวิชาเขียนพู่กันอยู่เป็นทุนเดิม ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา หันมองเฉินฉางเซิงอย่างน่าสงสาร พลางเรียก “ศิษย์พี่…”
ตอนอยู่ที่วัดเก่าเมืองซีหนิง ถ้าอวี๋เหรินกับเฉินฉางเซิงปิดหนังสือเขียน แล้วเขียนออกมาผิด ก็ต้องถูกลงโทษ
ภาพนี้ เฉินฉางเซิงเห็นมามากแล้ว จึงยื่นมืออกไปลูบศีรษะนักพรตน้อย แล้วยิ้มพลางว่า “เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ข้าก็ต้องฟังเขาเหมือนกัน”
อวี๋เหรินจึงว่า “ดังนั้น การจากไปในเวลาอันเหมาะสม เป็นเรื่องที่งดงามยิ่ง”
นี่คือคำตอบสำหรับคำพูดเมื่อครู่ของเฉินฉางเซิง
เนื่องจากค่อนข้างกะทันหัน เฉินฉางเซิงจึงอึ้งไปสักพัก ก่อนตอบ
“ขอรับ”