ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 140-1 การเดินทางไปดินแดนเซิ่งกวง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

​พอก​ลับ​ถึง​พระราชวัง​หลี​ ​แล้ว​พูดคุย​กัน​เรื่อง​การ​จากไป​ของ​หวังผ​้​ออี​กค​รั้ง​ ​สวี​โหย​่ว​หร​งก​็​พูด​คำพูด​ที่​คล้ายคลึง​กัน​ออกมา​คำ​หนึ่ง

​“​ร้ายกาจ​ยิ่ง​”

​หวังผ​้​อละ​ทิ้ง​แนวคิด​ที่จะ​ขอความเป็นธรรม​จาก​ราชวงศ์​ต้า​โจว​ ​ละทิ้ง​ความแค้น​ที่​มีต​่อ​เชื้อพระวงศ์​สกุล​เฉิน​ ​นี่​เป็นเรื่อง​ที่​ยากเย็น​มาก

​ใน​ระดับ​จิตวิญญาณ​ ​ก็​ไม่​ต่าง​จาก​การ​เสียสละ​เพื่อ​ชาติ​บ้านเมือง

​เฉิน​ฉาง​เซิง​คิด​เอง​เออ​เอง​ ​จากนั้น​ก็​นึกถึง​คำพูด​ประโยค​สุดท้าย​ที่​ศิษย์​พี่​พูด

​‘​การ​จากไป​ใน​เวลา​อัน​เหมาะสม​ ​เป็นเรื่อง​ที่​งดงาม​ยิ่ง​’

​เป็น​ใคร​ก็​ดูออก​ว่า​ ​ประโยค​นี้​พูดถึง​ซาง​สิง​โจว

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ก็​ไม่​ปฏิเสธ​ใน​จุด​นี้​ ​กลับ​มัก​รู้สึก​ว่า​ประโยค​นี้​เกี่ยวข้อง​กับ​ตนเอง

​“​ข้า​อาจจะ​…​จากไป​สัก​ระยะ​หนึ่ง​”

​เขา​พูด​อย่าง​ลังเลใจ​อยู่​บ้าง

​สวี​โหย​่ว​หรง​ว่า​ ​“​เหตุผล​?​”

​เหตุผล​มีมาก​มาย​ ​เช่น​ประโยค​เมื่อ​ครู่​

​เช่น​เวลา​ศิษย์​พี่​สอน​ศิษย์​น้อง​ฝึก​เขียน​พู่กัน​อย่างเข้มงวด​ ​ทำให้​เขา​นึกถึง​อาจารย์​

​เช่น​ขุนนาง​ใหญ่​หลาย​คน​และ​ประชาชน​ล้วน​ยกย่อง​เทิดทูน​ศิษย์​พี่​ว่า​ ​ยิ่ง​มาก​็​ยิ่ง​เหมือน​จักรพรรดิ​ไท่​จง

​แต่​เหตุผล​เหล่านี้​เขา​พูดไม่ออก​ ​เพราะ​เป็นการ​คาดเดา​เอา​เอง​ทั้งสิ้น​ ​ไม่มี​หลักฐาน​ใดๆ​ ​มา​พิสูจน์​ ​และ​การคาด​เดา​เช่นนี้​ ​ก็​ไร้​ซึ่ง​ความรับผิดชอบ​จริงๆ​

​เขา​มิได้​พูด​ ​ทว่า​สวี​โหย​่ว​หรง​รู้

​นาง​จึง​ว่า​ ​“​เจ้า​อาจ​คิดมาก​ไป​”

​“​ก็​ใช่​”​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​จ้องมอง​นาง​พลาง​พูด​จริงจัง​ ​“​แต่ก่อน​ที่​จักรพรรดิ​ไท่​จง​จะ​กระทำ​เรื่อง​เหล่านั้น​ ​ก็​ไม่เห็น​ต้อง​เป็น​จักรพรรดิ​ไท่​จง​ที่​เรา​รู้จัก​ ​เขา​คือ​ฉี​อ๋อง​ที่​ทุกคน​ล้วน​ยกย่อง​ ​การสังหาร​พี่น้อง​และ​คุมขัง​บิดา​หลังจากนั้น​ ​อาจ​เป็น​เพราะ​ถูก​บีบ​ให้​ต้อง​เลือก​เพราะ​ทำ​อะไร​ไม่ได้​”

​สวี​โหย​่ว​หรง​ ​“​ดังนั้น​?​”​

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​“​ข้า​ไม่​อยาก​ให้​เขา​กลายเป็น​จักรพรรดิ​ไท่​จง​คนที​่​สอง​ ​ข้า​จึง​…​อยาก​จากไป​”

​“​ถ้า​เป็น​เพราะ​เหตุผล​เพียงเท่านี้​ ​ข้า​ไม่สนั​บส​นุน​ ​เพราะ​นี่​ล้วน​เป็น​ข้อแก้ตัว​ของ​ผู้ถูกกระทำ​”

​สวี​โหย​่ว​หรง​ว่า​ ​“​การ​มีชีวิต​อยู่​ ​ควร​มีพฤ​ติกร​รม​ของ​ผู้กระทำ​รวมกัน​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​คิด​ๆ​ ​ดู​ ​ค่อย​ว่า​ ​“​ตัว​ข้า​เอง​ก็​อยาก​จากไป​”

​สวี​โหย​่ว​หรง​ถาม​สอง​คำ​นั้น​อีกครั้ง​ ​“​เหตุผล​?​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ตอบ​ ​“​ข้า​อยากรู้​ว่า​ ​ตัวเอง​มาจาก​ไหน​”

​เขา​มีชีวิต​อยู่​ใต้​เงา​มรณะ​ ​ตั้งแต่​อายุ​สิบ​ขวบ

​คืน​นั้น​ที่​สุสาน​เทียน​ซู​ ​จักรพรรดินี​เทียน​ไห่​ได้​ช่วย​เขา​ท้า​ลิขิต​พลิก​โชคชะตา​ ​ซึ่ง​สุดท้าย​ ​เขา​ก็​ไม่ต้อง​ครุ่นคิด​ถึง​ปัญหา​เรื่อง​ความตาย​ใน​ทุกๆ​ ​วัน​อีก​ ​มีสิทธิ์​ครุ่นคิด​ถึง​ปัญหา​อื่นๆ​ ​บ้าง

​ซึ่ง​นอกจาก​ปัญหา​ชีวิต​กับ​ความตาย​แล้ว​ ​ปัญหา​สำคัญ​ที่สุด​ของ​มนุษย์​คือ​สาม​ข้อนี​้

​เจ้า​เป็น​ใคร

​เจ้า​มาจาก​ไหน

​เจ้า​อยาก​ไป​ที่ใด

​คิด​ไขคำ​ตอบ​ของ​ปัญหา​สาม​ข้อนี​้​ ​ก่อนอื่น​ต้อง​ตอบ​ปัญหา​สอง​ข้อ​แรก​ให้​ชัดเจน​ก่อน

​แม้​การ​ทำสงคราม​กับ​เผ่า​มาร​ยัง​ไม่​จบสิ้น​ไป​เสีย​ทั้งหมด​ ​แต่​เขา​ก็​ไม่ต้อง​ทำ​อะไร​แล้ว

​ซาง​สิง​โจว​ ​กับ​คน​ชุด​ดำ​บอกว่า​ ​เขา​มาจาก​ดินแดน​เซิ​่​งก​วง​ ​เขา​จึง​อยาก​ไป​ที่นั่น​ดู

​“​ข้า​ยอมรับ​เหตุผล​นี้​”​

​สวี​โหย​่ว​หรง​พูด​ ​“​แต่​ต้อง​ไม่นาน​จน​เกินไป​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​รู้สึก​ผิดคาด​อยู่​บ้าง​ ​“​เจ้า​ไม่​คิด​จะ​ไป​กับ​ข้า​หรือ​”

​สวี​โหย​่ว​หรง​พูด​อย่างจริงจัง​ ​“​ข้า​เกิด​ใน​เมืองหลวง​”

​……

​……

​เฉิน​ฉาง​เซิง​กลับ​ถึง​เมือง​ซี​หนิง​ ​จนถึง​เวลานี้​ ​เขา​ก็​ยัง​นึกถึง​คำพูด​สุดท้าย​ของ​สวี​โหย​่ว​หรง​ ​จากนั้น​ก็​นึกถึง​เรื่อง​เมื่อ​หลาย​ปีก่อน​ ​ตอน​อยู่​ที่​โรง​เตี​๊​ยม​ใน​สวน​หลี​จื่อ​ ​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​วิจารณ์​สวี​โหย​่ว​หรง​ว่า​ ​เป็น​สตรีที​่​ทำให้​ผู้คน​พูดไม่ออก

​คำตอบ​นี้​ทำให้​เฉิน​ฉาง​เซิง​โล่งใจ​ลง​บ้าง​ ​แต่กลับ​ลืม​ไป​ว่า​ ​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​ก็​วิจารณ์​เขา​แบบนี้​เช่นเดียวกัน

​การ​ที่​เขา​ซึ่ง​เป็น​สังฆราช​จากไป​อย่างกะทันหัน​นั้น​ ​ก็​ทำให้​ผู้คน​พูดไม่ออก​จริงๆ​ ​นี่​ยัง​ไม่ต้อง​พูดถึง​เรื่อง​ที่ว่า​ ​ไม่มี​ความรับผิดชอบ​ต่อหน้า​ที่

​ปลาย​ฤดูหนาว​ ​ต้นไม้​ดอกไม้​ริม​ลำธาร​แปรสภาพ​เป็นต้น​ไม้ดอก​ใบ​โกร๋น​

​บน​ผิวน้ำ​ไร้​กลีบดอกไม้​ ​ใน​วัด​เก่าแก่​ก็​ไร้​หนังสือ​แล้ว​เหมือนกัน

​เฉิน​ฉาง​เซิง​นอน​ใน​วัด​เก่า​คืนหนึ่ง​ ​แล้ว​ตื่นนอน​ตอน​ตีห้า​ของ​เช้า​วันรุ่งขึ้น​ ​เขา​ใช้​น้ำ​ใน​ลำธาร​ล้างหน้า​ ​แล้ว​เดิน​ไป​ทาง​นั้น​ ​ยิ่ง​เดิน​หมอก​ก็​ยิ่ง​หนา​ขึ้น​เรื่อยๆ​ ​พอ​ถึง​ช่วง​ที่​หนา​ที่สุด​ ​ก็​กลายเป็น​เมฆ​ ​ใน​เมฆ​มีสา​ยน​้ำ​ ​มี​เถาวัลย์​ ​มี​กวาง​น้อย​ขี้​ตกใจ​ ​อีกทั้ง​เงา​ตะคุ่ม​ของ​สัตว์ป่า​ที่​ไม่รู้​จัก​มากมาย

​เหล่านี้​ล้วน​เป็น​สิ่งแวดล้อม​ที่​เขา​คุ้นเคย​ ​จึง​ไม่​สามารถ​ทำให้​เขา​หยุด​ฝีเท้า​ลง​ได้​แต่อย่างใด​ ​จวบจน​เดิน​มาถึง​เชิงเขา​ของ​ยอดเขา​สูง​เดียวดาย

​อาชา​เขา​เดี่ยว​ตัว​หนึ่ง​ปรากฏ​ขึ้น​ ​เนื้อตัว​ขาวโพลน​ ​ราวกับ​สัตว์​วิญญาณ

​เฉิน​ฉาง​เซิง​สบตา​มัน​เงียบๆ

​เขา​รู้​ว่า​อาชา​เขา​เดี่ยว​รอ​เขา​เสมอ​ ​และ​รอมา​หลาย​ปี​แล้ว

​“​ไม่จำเป็น​ต้อง​อยู่​กับ​ใคร​ ​อยู่ตัว​คนเดียว​ก็​สบายดี​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​จ้องมอง​มัน​พลาง​สั่น​ศีรษะ​ ​ยิ้ม​เล็กน้อย​แล้ว​ว่า​ ​“​ไป​เถิด​”

​อาชา​เขา​เดี่ยว​จากไป​อย่าง​ไม่เต็มใจ​นัก​ ​ก้าว​ไป​สิบ​กว่า​ก้าว​ก็​หันกลับ​มาม​อง​เขา

​เฉิน​ฉาง​เซิง​จ้องมอง​มัน​เงียบๆ​ ​โดย​มิได้​หัน​กาย​จากไป​ ​จวบจน​มัน​หาย​ไป​ใน​ส่วนลึก​ของ​เมฆหมอก​อัน​หนา​ทึบ​ ​จึง​ค่อย​เดิน​ต่อไป​บน​ทาง​ของ​ตนเอง

​ยอดเขา​เดียวดาย​ถูก​ห้อมล้อม​ด้วย​เมฆหมอก​ตลอดปี​ ​พื้นผิว​จึง​ชื้น​มาก​ ​ทุกแห่ง​หนมี​แต่​ตะไคร่น้ำ​ ​และ​สายน้ำ​ที่​ไหล​ไม่รู้จบ

​ทว่า​สำหรับ​ผู้​แข็งแกร่ง​ขั้น​อาณาเขต​ศักดิ์สิทธิ์​แล้ว​ ​เหล่านี้​ไม่​ถือว่า​ยากลำบาก​ ​เหมือน​เดิน​อยู่​บน​ที่ราบ​ก็​มิ​ปาน

​……

​……

​เมื่อ​เก้า​วันก่อน​ ​ดวงอาทิตย์​ตกลง​ไป​ใน​สุสาน​เมฆ​ ​แล้ว​ไม่​ปรากฏ​ขึ้น​อีก

​พอ​วันที่​สิบ​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ก็​มาถึง​บน​ยอดเขา​เดียวดาย

​นอกจาก​ทะเล​หมอก​แล้ว​ ​ที่นี่​ไม่มี​อะไร​เลย​ ​หนาวเย็น​เป็นพิเศษ​ ​ทำให้เกิด​ความรู้สึก​เปลี่ยวเหงา

​เขา​นั่ง​บน​ก้อนหิน​ที่อยู่​บน​ยอด​สูงสุด​ ​หยิบ​ผลไม้​ขึ้น​มา​ผล​หนึ่ง​ ​ค่อยๆ​ ​กัด​กิน​อย่างจริงจัง

​ใน​ฝัก​กระบี่​มี​ของ​หลายอย่าง​ ​รวมทั้ง​อาหาร​ ​นั่น​เป็น​ของ​จำนวนมาก​ที่​จี๊ด​จี๊ด​ตระเตรียม​ให้​ด้วยตัวเอง​ ​แต่​เขา​ไม่เอา​อะไร​เลย​ ​กิน​ผลไม้​เพียง​ผล​เดียว​เท่านั้น

​ก็​คล้าย​กับ​ที่​เขา​เลือก​ปีน​เขา​ ​แทนที่จะ​เลือก​ไป​ถึง​ยอดเขา​ด้วย​วิธีการ​อื่น​ ​นี่​อาจ​เป็น​เพราะ​เขา​ต้องการ​ความรู้สึก​ที่​แตกต่าง​จาก​ชีวิต​ที่ผ่านมา

​หลังจาก​กิน​ผลไม้​ ​เขา​ก็​แหงนหน้า​มอง​ท้องฟ้า​ ​ปรากฏ​ว่า​ท้องฟ้า​อยู่​ตรงหน้า​นี้​เอง

​เขา​ยื่นมือ​ออก​ไป​ลูบ​เบา​ๆ​ ​พบ​ว่าความ​รู้สึก​ของ​การสัมผัส​ท้องฟ้า​นั้น​ไม่เลว​ทีเดียว​ ​ไม่​แข็ง​อย่างที่​คิด​ ​ลื่น​มาก​และ​ค่อนข้าง​ยืดหยุ่น​ ​คล้าย​กับ​ใบหน้า​ของ​โหย​่ว​หรง

​เขา​หลับตา​ลง

​กระบี่​สาม​พัน​เล่ม​ส่งเสียง​คำราม​ ​แล้ว​ร่อน​ไปมา​เหนือ​ทะเล​เมฆ​ ​ดู​มีความสุข​มาก​ ​พวก​มัน​น่าจะ​รู้​แล้ว​ว่า​ ​กำลังจะ​ได้​ท่อง​โลก​อีก​โลก​หนึ่ง

​……

​……

​เฉิน​ฉาง​เซิง​มาถึง​ท้องฟ้า​ฝั่ง​นั้น​ ​จากนั้น​ก็​ล้ม​ลง​กับ​พื้น

​แต่​ไม่​เจ็บ​มาก​ ​เพราะ​พื้น​คล้าย​ปูด​้วย​หญ้า​เขียว​อย่างไร​อย่างนั้น​ ​นุ่มนิ่ม​มาก

​นี่​คือ​ทุ่งหญ้า​ที่​มี​รัศมี​หลาย​ร้อย​จั้ง

​เฉิน​ฉาง​เซิง​หัน​มอง​กลับ​ไป​ ​เห็น​เพียง​กำแพง​ผลึก​มิติ​ที่​เปิด​ออกกำลัง​ค่อยๆ​ ​ปิด​ลง​ ​สี​ของ​ท้องฟ้า​จาง​ลง​เรื่อยๆ​ ​จวบจน​หาย​ไป​อย่างไร​้​ร่องรอย

​เขา​เห็น​ได้​อย่างชัดเจน​ ​ใน​ดินแดน​ต้า​ลู่​ ​ยอดเขา​เดียวดาย​ค้ำจุน​ท้องฟ้า​ ​ส่วน​ที่นี่​ดู​ไป​แล้ว​ ​กลับ​กำลัง​เผชิญหน้า​กับ​เขา

​ที่แท้​ดินแดน​ทั้งสอง​มิได้​ขนาน​กัน​ใน​แนวนอน​ ​แต่​ขนาน​กัน​ใน​แนวตั้ง

​ดินแดน​ต้า​ลู่​สำหรับ​ที่นี่​ก็​เหมือน​กำแพง​แถว​หนึ่ง

​ทุ่งหญ้า​นี้​เล็ก​มาก​จริงๆ​ ​เดิน​ไป​สักพัก​ก็​ออกมา​แล้ว

​นอก​ทุ่งหญ้า​เป็น​ทะเลทราย​ ​เม็ดทราย​และ​ก้อนหิน​สีขาว​รังสรรค์​ให้​โลก​ใบ​นี้​เสมือนหนึ่ง​ทะเล​สีขาว​

​ดวงอาทิตย์​ทั้ง​เก้า​ส่องแสง​สว่าง​พร่างพราว​ตา

​เฉิน​ฉาง​เซิง​สุ่ม​เดิน​ไป​ทาง​หนึ่ง

​เพียง​ก้าว​แรก​ก็​กลายเป็น​หลาย​ลี้

​ไม่นาน​นัก​ ​เขา​ก็​พบ​กับ​ชนพื้นเมือง​ใน​ดินแดน​แห่ง​นี้

​ยิ่ง​เดิน​ก็​ยิ่ง​พบ​ชนพื้นเมือง​มากขึ้น​เรื่อยๆ

​ไม่มีใคร​เข้ามา​ถาม​ว่า​เขา​มาจาก​ไหน​ ​ยิ่ง​ไม่มีใคร​กล้า​ขวางทาง​เขา

​ชนพื้นเมือง​มอง​เขา​อย่าง​เกรงกลัว​ ​ดุจ​กระแสน้ำ​ที่​แยก​ออกจาก​กัน​ ​จวบจน​แท่นบูชา​เผยอ​อก​มา​ให้​เห็น

​อากาศ​ร้อน​มาก​ ​ทว่า​นักบวช​ชุด​ขาว​กลับ​นั่ง​อยู่​บน​แท่นบูชา​ ​ปล่อย​ให้​แสงแดด​แผดเผา

​ใน​อดีต​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​เคย​ติดตาม​วิญญาณ​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​จักรพรรดินี​เทียน​ไห่​ ​และ​เห็น​เขา​ข้าง​ริม​ลำธาร​ใน​เมือง​ซี​หนิง

​“​ข้า​กำลังจะ​ตาย​ ​โลหิต​เหือดแห้ง​ ​หมด​พลัง​ ​เลย​ค่อนข้าง​หนาว​”

​นักบวช​ชุด​ขาว​อธิบาย​ให้​เขา​ฟัง

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​“​ที่นี่​ค่อนข้าง​หนาว​จริงๆ​”

​ที่​นักบวช​ชุด​ขาว​พูดว่า​หนาว​นั้น​มีเหตุผล​ ​แต่​เหตุใด​เขา​ก็​รู้สึก​ว่าที่​นี่​หนาว​ด้วย​เล่า​ ​

​ต้อง​รู้​ว่า​ดวงอาทิตย์​ทั้ง​เก้า​บน​ท้องฟ้า​ล้วน​เป็น​ของจริง

​“​เจ้า​ใช่​มารับ​พวกเรา​กลับบ้าน​หรือเปล่า​”​

​นักบวช​ชุด​ขาว​ถาม