ภาค 11 คุนหลุนกลาง กว่างเฉิงบูรพา บทที่ 1102 อายุน้อยอาวุโสมาก

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สำหรับจักรพรรดิแพรสวมอาภรณ์ดำที่เยือกเย็น จักรพรรดิแพรอาภรณ์ขาวที่ใช้อารมณ์จะเผยช่องโหว่และถูกอีกฝ่ายเล่นงานได้ง่ายๆ ในระหว่างการต่อสู้

ถึงแม้ว่าจะสนับสนุนจักรพรรดิอาภรณ์ขาว ทว่าโดยส่วนตัวแล้วเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำมีโอกาสชนะมากกว่า

คนที่ตัดความรู้สึกทิ้ง ไม่สนใจอารมณ์ ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะได้ตลอดกาล เป็นเพราะว่าคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้ว จะมากจะน้อยก็ได้รับผลกระทบ

คนที่ใช้แต่เหตุผลไม่ใช้อารมณ์ บางทีอาจได้เปรียบบ้าง แต่ก็อาจจะมีผลเสีย

ไม่พูดถึงความเอนเอียงทางความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ เพียงแค่วิธีการคิด คนที่ใช้เหตุผลไม่ใช้อารมณ์จะไม่อาจใช้จิตใจของตัวเองหยั่งคาดคนอื่นได้ จนอาจจะเกิดการแยกแยะที่ผิดพลาดมากมาย

ตัวเลือกที่ผิดพลาดในสายตาของเขาอาจจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในสายตาของคนส่วนใหญ่

ในทางตรงกันข้าม เรื่องราวที่สมเหตุสมผลในสายตาของเขา กลับอาจถูกคนส่วนใหญ่ปฏิเสธ

หากไม่เข้าใจเรื่องนี้ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็สามารถทำให้เขาศีรษะแตก เลือดอาบได้แล้ว

แต่ถ้าหากเข้าใจเรื่องนี้ เขาก็ไม่ใช่ตัวตนที่ตัดอารมณ์ความรู้สึกทิ้งอีก

กระนั้นนี่หมายถึงปัญหาที่คนอย่างจักรพรรดิแพรสวมอาภรณ์ดำได้ตกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุมไม่ได้

สำหรับการต่อสู้ระหว่างเขากับจักรพรรดิแพรสวมอาภรณ์ขาว เขาไม่อาจเผยช่องโหว่ได้ง่ายๆ และสามารถคว้าหรือแม้แต่สร้างช่องโหว่ของอีกฝ่ายได้

“หากว่ามีพลังจากภายนอกเข้าร่วมด้วย การต่อสู้ของสองคนนี้เกรงว่าจะกินเวลานาน” เยี่ยนจ้าวเกอพาเมิ่งหว่านเคลื่อนไหวในนพยมโลก “เพียงแต่คนที่สนใจเรื่องนี้จะมีแค่หนึ่งหรือสองคนหรือ”

“สำหรับเจ้ากับฟู่บัวแดง แม้นจักรพรรดิแพรสวมอาภรณ์ดำจะคิดลบพวกเจ้าทิ้งตลอดเวลา แต่ก็ยังมีจักรพรรดิแพรอาภรณ์ขาวคนหนึ่งคอยปกป้องพวกเจ้าและขัดขวางอีกฝ่ายอย่างเต็มที่”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “ลองเปลี่ยนมุมมามองปัญหาดู ถ้าพวกเจ้าสองพี่น้องปลอดภัยไร้เรื่องราว จักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำที่สุดแล้วก็ไม่อาจชนะ ดังนั้นในตอนนี้ จุดสำคัญของการต่อสู้อยู่ที่ธงจตุกำเนิดซึ่งเป็นอาวุธเซียน ระหว่างอาภรณ์ดำกับอารภรณ์ขาว ฝ่ายไหนได้อาวุธเซียนไป ก็จะยึดครองความได้เปรียบในการต่อสู้ทันที”

เมิ่งหว่านได้ยินก็พยักหน้าอย่างเงียบงัน

ชายหนุ่มพานางเหาะไปต่อ แม้ว่าตรงหน้าจะมีเหล่ามารจากนพยมโลกขวางทาง แต่ก็ไม่มีจอมมารที่ตึงมือเป็นพิเศษ การเดินทางจึงราบรื่น

เทียบกันแล้ว การจะออกจากนพยมโลกกลับโลกมนุษย์อย่างไร ต้องใช้ความคิดมากกว่า

นพยมโลกกัดกินฟ้าดิน ล้วนเป็นศัตรูกับทุกสิ่ง

ถ้าเกิดร่องแยกนพยมโลกถูกพบ แล้วมีความสามารถผนึก จะต้องผนึกในทันทีแน่

นี่จะเป็นการสะกดไม่ให้นพยมโลกกัดกินโลกมนุษย์ แต่กลับทำให้เยี่ยนจ้าวเกอหมดหนทาง

ก่อนหน้านี้พวกเขาเข้ามาจากชายฝั่งยมโลกผืนนั้น หากสามารถกลับทางเดิมได้ย่อมประเสริฐสุด แต่จำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ยอดฝีมือจากโถงเซียนเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย รออยู่ที่นั่นเพื่อให้เขาส่งตัวเองเข้าตาข่ายด้วย

ขณะเคลื่อนไหวในนพยมโลก เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งแยกแยะทิศทาง ทางหนึ่งคิดถึงจักรพรรดิสรรพสิ่งไร้จำกัดและทวนพระอังคารเมื่อก่อนหน้า ด้วยไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว

ตามเหตุผล หากเป็นไปตามที่จักรพรรดิแพรกล่าว จักรพรรดิไร้จำกัดสมควรไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น

เป้าหมายหลักๆ ของยอดฝีมือจากโถงเซียนอยู่ที่เขาเยี่ยนจ้าวเกอและทวนพระอังคาร

พอคิดถึงทวนพระอังคาร เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อย เขากลับไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อตัวตนที่สมควรนับเป็นอาวุธหรือสมควรนับเป็นยอดฝีมือสำนักเต๋าดีนี้ อีกทั้งยังหวังให้ฟ้าช่วยคุ้มครองอีกฝ่ายหนีรอดไปได้

สถานที่ที่เกิดการต่อสู้ก่อนหน้านี้ได้ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

ในเขตมารมีเส้นทางสีแดงชาดสายหนึ่งเหยียดยื่นออกไปไกล เปลวเพลิงลุกโชนโหมไหม้ แม้ผ่านไปนานก็ไม่ดับลง

ดูจากลักษณะแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยที่ทวนพระอังคารเหลือไว้หลังจากทะลวงวงล้อมหนีไป

แต่ว่าก็มีกลิ่นอายพลังอื่นๆ เหลืออยู่เช่นกัน กลับเป็นของคนอื่นซึ่งไล่ตามร่องรอยของทวนพระอังคาร

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเปลวเพลิงที่เหลือร่องรอย หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็พลันเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปตามเส้นทางสีแดงชาดนั้น

ผ่านไปสักพัก เยี่ยนจ้าวเกอก็จิตใจสั่นไหว

เมื่อมุ่งหน้าไปด้านหน้าต่อ จึงเห็นนพยมโลกเบื้องหน้าปรากฏประตูที่คล้ายมีคล้ายไม่มี

‘เพื่อหนีเอาตัวรอด ทวนพระอังคารต้องการหนีไปยังมิติต่างแดน จึงได้หาชายฝั่งยมโลกอีกแห่งหนึ่งเพื่อใช้เป็นประตูทางออก’

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าอย่างพอใจ นพยมโลกกัดกินทั่วทุกที่ เกิดเป็นชายฝั่งยมโลกในมิตินับไม่ถ้วน เพียงแต่หายากยิ่ง

ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็พาเมิ่งหว่านออกจากเขตมารในนพยมโลก กลับโลกมนุษย์ผ่านชายฝั่งยมโลกได้สำเร็จ

เขาระมัดระวังตัว ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นซุ่มโจมตี แต่ในที่สุดทุกอย่างก็สงบราบคาบ

เพ่งมองไป ด้านในชายฝั่งยมโลกมีเส้นทางเปลวเพลิงที่เด่นชัดกว่าเดิม ยังคงเหยียดยื่นออกไปไกล

ร่องรอยซึ่งคู่ต่อสู้ที่โจมตีเขาเหลือไว้แม้จะชัดเจนมากเหมือนกัน แต่ก็ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ ทั้งสองฝ่ายเดี๋ยวไล่ล่าเดี๋ยวหยุดนิ่ง เคลื่อนไหวห่างออกไปอย่างต่อเนื่อง

เยี่ยนจ้าวเกอใจเย็นลงเล็กน้อย ดูท่าทางทวนพระอังคารยังมีโอกาสหนีรอดได้

ถึงแม้ทางโถงเซียนจะมีกษัตริย์สองคนลงมือพร้อมกัน เป็นอย่างน้อย แต่เมื่อครู่อยู่ในนพยมโลก สภาพแวดล้อมจึงซับซ้อนยิ่ง

นพยมโลกมีแต่เหล่ามาร หากล่อจอมมารระดับสุดยอดมาลงมือ กษัตริย์จากโถงเซียนก็จะได้รับผลกระทบ ไม่อาจทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ

เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่ได้ตามเส้นทางเปลวเพลิงนั้นไปต่อ แต่ว่าออกจากชายฝั่งยมโลกซึ่งอยู่อีกทางหนึ่ง แล้วหลบเข้าไปในมิติไร้สิ้นสุด

ชายฝั่งยมโลกกว้างใหญ่ จะออกจากที่นี่ต้องใช้เวลา รอจนถึงมิติต่างแดนแล้ว ต้องแยกแยะเส้นทางกลับโลกซ้อนโลก และต้องเปลืองเวลาและความพยายามไม่น้อย

นี่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอมีความรู้ในวิถีการเปลี่ยนแปลงของมิติดี หากเป็นคนอื่นเกรงว่าจะหลงอยู่ด้านใน

หลังจากร่อนเร่เป็นเวลาหลายวัน เยี่ยนจ้าวเกอก็ค่อยๆ มั่นใจในทิศทาง กระนั้นเขาในตอนนี้รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า พวกตนสองคนคล้ายกับเข้าใกล้โลกที่กว้างใหญ่ใบหนึ่ง คล้ายๆ โลกซ้อนโลก แต่ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เยี่ยนจ้าวเกอคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ‘มิน่าเล่า…’

ขณะกำลังคิดอยู่ เขาเห็นมีประกายกระบี่หลายสายสว่างขึ้นอยู่ลิบๆ

ประกายกระบี่พอบรรลุเข้ามาใกล้ ถึงค่อยเห็นคนที่เป็นผู้นำก็คือคนหนุ่มที่มีหน้าตาองอาจผู้หนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายแล้ว พลันอดยินดีไม่ได้

ผู้มาเยือนเป็นคนรู้จักเก่า ซุนจ้งต๋า ลูกศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์ที่ก่อนหน้านี้ปลอมตัวเป็นเยี่ยนจ้าวเกอ และเคลื่อนไหวอยู่ในเขตตะวันอาคเนย์บนโลกซ้อนโลกนั่นเอง

พอซุนจ้งต๋าเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ตอนแรกเขารู้สึกงงงวย จากนั้นใบหน้าก็ฉายแววกระอักกระอ่วน

เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายแทบอยากจะหมุนตัวหนีไปโดยสัญชาตญาณ

ซุนจ้งต๋าย่อมไม่คิดจะหนีจริงๆ เขากระเถิบเข้ามาหา คารวะเยี่ยนจ้าวเกอ “อา…อาจารย์อาเยี่ยน”

ลูกศิษย์สายเหนือพิสุทธิ์ที่เหลือซึ่งอยู่ข้างๆ เขา ส่วนใหญ่พิจารณาเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่เสียมารยาท พากันคารวะ “อาจารย์อาเยี่ยนอยู่ตรงหน้า พวกข้าขอคารวะ”

พวกซุนจ้งต๋าเป็นผู้สืบทอดของยอดเขาเรืองรองแห่งเขาแหนเขียวในมรกตท่องฟ้าเหมือนกับเกาฉิง ผู้ปกครองยอดเขาเรืองรองแห่งเขาแหนเขียวก็คือเกาเสวี่ยโพ บุตรคนโตของจักรพรรดิน้ำพุหลงและกษัตริย์ลี้ลับ ปู่ของเกาฉิง

หากลองนับดูแล้ว เกาเสวี่ยโพเป็นคนที่มีศักดิ์เทียบเท่ากับเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ

พวกซุนจ้งต๋าเกอยังมีศักดิ์น้อยกว่าเยี่ยนจ้าวเกอขั้นหนึ่ง

หลังจากพิธีเปิดสำนักของเขากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลก ผู้คนก็ทราบถึงสถานะของเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋สองพ่อลูก

ทางด้านมรกตท่องฟ้าก็ได้ข่าวมาเช่นกัน จักรพรรดิน้ำพุหลงยืนยันด้วยตัวเอง ลูกศิษย์รุ่นเยาว์เช่นพวกเกาฉิงจึงค่อยทราบว่า เยี่ยนจ้าวเกอที่เคยเจอครั้งหนึ่ง มาจากต้นกำเนิดเดียวกันกับพวกตน

ซุนจ้งต๋าย่อมเป็นข้อยกเว้น ดังนั้นตอนเขาเห็นเยี่ยนจ้าวเกอจึงกระอักกระอ่วนจนอยากจะหมุนตัวหนีไป

“ไม่ต้องมากมารยาทถึงเพียงนั้น” เยี่ยนจ้าวเกออดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ข้าล่องลอยอยู่ในมิติ มาถึงที่นี่โดยบังเอิญ ดูท่าทางมาถึงบริเวณใกล้ๆ มรกตท่องฟ้าแล้วกระมัง”

………………..