ภาค 11 คุนหลุนกลาง กว่างเฉิงบูรพา บทที่ 1101 การต่อสู้ของสองจักรพรรดิ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตอนยังไม่ลืมตา สองจักรพรรดิเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน นอกจากคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีดำ อีกคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีขาวแล้วแล้ว ก็ไม่มีข้อแตกต่างใดอีก

แม้แต่การออกกระบวนท่าสังหารมารของพวกเขา ก็เหมือนกันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน

ทว่าหลังจากลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็เห็นความแตกต่างของคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน

ในสองตาของจักรพรรดิแพรอาภรณ์ขาวแฝงอารมณ์หลากหลาย ความโกรธ ความเจ็บปวด ความยินดี ความอ่อนโยน กล่าวกันไม่หวาดไม่ไหว ผู้คนถึงกับต้องอุทานด้วยความตกใจ ว่าในดวงตาของคนผู้หนึ่งไฉนจึงปรากฏความรู้สึกมากมายขนาดนี้ในเวลาเดียวกันได้

ส่วนจักรพรรดิแพรที่สวมอาภรณ์ดำกลับต่างไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาเฉื่อยชา สัมผัสความปรวนแปรงทางอารมณ์ใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น เขาเหมือนกับไร้ชีวิต ยามมองชีวิตอื่นๆ ก็เหมือนกับมองสิ่งของที่ไม่มีชีวิต ทั้งๆ ที่สายตาไม่ได้น่ากลัว แต่กลับทำให้คนสยิวกาย

หลังจากจักรพรรดิแพรสวมอาภรณ์ขาวลืมตาแล้ว ก็มองไปยังเมิ่งหว่านก่อน ในสายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ “หว่านเอ่อร์อย่ากลัว ไม่เป็นอะไรแล้ว”

ส่วนแววตาตอนที่เขามองเยี่ยนจ้าวเกอนั้น มีความรู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง “สหายน้อยเยี่ยนฝีมือดีจริงๆ”

สายตาของจักรพรรดิแพรอาภรมณ์ดำมองธงจตุกำเนิดที่อยู่ด้านบน จากนั้นก็มองเมิ่งหว่านกับเยี่ยนจ้าวเกออย่างเฉื่อยชา

เยี่ยนจ้าวเกอไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆ จากสายตาของอีกฝ่าย

สุดท้ายธงจตุกำเนิดที่สั่นไหวอยู่ด้านบนก็ส่งเสียงสะท้อนก้อง กลายเป็นลำแสงแล้วพุ่งออกไปไกล

สายตาของจักรพรรดิแพรสวมอาภรณ์มองดำสลับไปมาระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอ เมิ่งหว่าน และจักรพรรดิแพรสวมอาภรณ์ขาว ไม่ได้กล่าววาจา เพียงแต่ขยับตัวไล่ตามธงจตุกำเนิดไป

“หากมีเวลาพวกเราค่อยคุยกัน” จักรพรรดิแพรอาภรณ์ขาวมองเยี่ยนจ้าวเกอกับเมิ่งหว่าน ถอนใจคำหนึ่งก่อนจะติดตามอีกฝ่ายไป

สนามรบที่ตอนแรกสับสนอันตราย ตอนนี้พลันสงบลง

เยี่ยนจ้าวเกอป้องตา มองส่งเงาร่างสองสายนั้นจากไปไกล จากนั้นก็หันไปพูดกับเมิ่งหว่าน “จักรพรรดิแพรที่สวมอาภรณ์ขาวไม่ใช่ไม่คิดปลอบโยนเจ้า แต่ถ้าหากธงจตุกำเนิดตกไปอยู่ในมือของจักรพรรดิแพรสวมอาภรณ์ดำผู้นั้นจะเป็นอันตรายกับเจ้ายิ่ง เพื่อความปลอดภัยของเจ้ากับฟู่ถิง จักรพรรดิสวมอาภรณ์ขาวผู้นี้ได้แต่ต้องถือธงจตุกำเนิดแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมมีความหลังกับอาวุธที่พกติดตัวมาหลายปี ถึงอย่างไรวันเวลาที่ธงจตุกำเนิดอยู่กับเขาก็นานกว่าอายุของเจ้ากับฟู่บัวแดง”

เมิ่งหว่านได้ยินก็ยิ้มอย่างหนักใจ “ศิษย์พี่เยี่ยน ท่านทราบว่าข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ข้าแค่อยากรู้ว่าตอนนี้บิดาของข้า…”

ชายหนุ่มเก็บเศษสายฟ้าอนัตตาที่ลอยล่องอยู่ในมิติ ทางหนึ่งอธิบาย “พูดง่ายๆ ก็คือ จิตของจักรพรรดิแพรแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง อาศัยปราณมารในนพยมโลกแยกร่างออกมา เปลี่ยนหนึ่งกลายเป็นสองแล้ว ความทรงจำในอดีตและทักษะวรยุทธ์ที่มี ไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์ดำหรือขาวล้วนเหมือนกัน ความแตกต่างระหว่างสองฝ่ายอยู่ที่ความคิดกับนิสัย”

เขาแตะนิ้วกับริมฝีปาก “ดูจากตอนนี้แล้ว อาภรณ์ขาวเดินบนเส้นทางมีรัก อารภรณ์ดำเดินบนเส้นทางไร้รัก”

เมิ่งหว่านถามเสียงเบา “ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร”

“ต่อจากนี้ระหว่างพวกเขาต้องตัดสินแพ้ชนะ” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ฝ่ายที่ชนะจึงจะมีโอกาสรุดหน้าขึ้นอีกก้าว ไม่อย่างนั้นระดับจะหยุดลงเท่านี้ ตอนนี้พวกเขาสองคนมีพลังเท่ากัน ถึงแม้ว่ายังคงอยู่ในระดับเซียนจริงแท้ แต่ก็อ่อนแอกว่ากว่าตอนที่ยังไม่แยกจากกัน ทว่าก็ไม่ได้มีช่องโหว่ในจิตใจเหมือนกับก่อนหน้าอีก”

เยี่ยนจ้าวเกอยักไกล่ “แน่นอน ที่บอกว่าอ่อนแอก็คือต้องเทียบเซียนจริงแท้คนอื่นๆ กับตัวจักรพรรดิแพรก่อนหน้านี้ เมื่อสู้กับจอมยุทธ์ที่เป็นมนุษย์ ก็ไม่มีอะไรที่เอามาเปรียบกันได้ ระยะห่างระหว่างมนุษย์และเซียนก็ยังคงเป็นการขวางกั้นระหว่างมนุษย์และเซียนอยู่วันยันค่ำ”

เมิ่งหว่านกะพริบตา ฟังความนัยของเยี่ยนจ้าวเกอออก

การตัดสินผลแพ้ชนะระหว่างจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำและอาภรณ์ขาวเกรงว่าจะไม่ใช่ผลแพ้ชนะอย่างเดียว แต่เป็นทั้งการตัดสินว่าใครเหนือกว่า และตัดสินความเป็นความตายอีกด้วย

ฝ่ายชนะจะมีโอกาสก้าวหน้าอีกขั้น ความจริงหมายถึงผู้รอดชีวิตเท่านั้นที่จะมีโอกาสก้าวหน้าอีกขั้น หรือจะบอกว่ามีแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะรุดหน้าได้อีกขั้นนั่นเอง เป็นเพราะว่าพวกเขาสองคนไม่ใช่ร่างแยกของกันและกัน

“การเอาชนะในการต่อสู้ของพวกเขาสองคนเป็นเพียงก้าวแรก” เยี่ยนจ้าวเกอกดอัดสายฟ้าที่ล่องลอยให้กลายเป็นเมฆสายฟ้าเล็กๆ จากนั้นก็เก็บเอาไว้ ขณะเดียวกันก็พูดว่า “คนที่ชนะจะได้ครอบครองตัวเองโดยสิ้นเชิงเหมือนกับก่อนหน้า ถึงจิตใจจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ว่าอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการถูกธาตุไฟเข้าแทรกเมื่อก่อนหน้านี้ก็ยังคงอยู่ คิดจะพัฒนาต่อจริงๆ ต้องฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ”

เขามองเมิ่งหว่าน “หากคิดจะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เรื่องที่ควรทำก็ยังคงต้องทำ อย่างเช่น…ถ้าหากว่าเป็นจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำชนะ เช่นนั้นเขาก็ยังคงหาวิธีกำจัดพวกเจ้าสองพี่น้องแน่”

นอกจากนี้ยังสังหารเยี่ยนตี๋ เพื่อช่วงชิงและหลอมเปลี่ยนเมฆแปลงกำเนิดด้วย

เมื่อไม่มีเมฆแปลงกำเนิด จักรพรรดิแพรที่เดินบนเส้นทางไร้รักอย่างมากที่สุดก็ไปถึงระดับสูงสุดของขั้นเซียนจริงแท้ นับเป็นจุดหมายปลายทาง

เมื่อมีเมฆแปลงกำเนิด เขาจึงค่อยมีโอกาสก้าวหน้าอีกขั้น เทียบเคียงได้กับสามกษัตริย์

เมิ่งหว่านพยักหน้า แสดงออกว่าตนเข้าใจ จากนั้นนางก็ถามเสียงเบา “ถ้าอาภรณ์ขาวชนะเล่า”

“ถ้าอาภรณ์ขาวชนะ…” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าอย่างตรงไปตรงมายิ่ง “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ยืนยันได้ว่าถ้าหากจักรพรรดิแพรอาภรณ์ขาวชนะในตอนสุดท้าย พวกเจ้าสองพี่น้องอย่างน้อยก็ไร้อันตราย”

บัดนี้เมิ่งหว่านพลันยิ้มขื่นขมอีกครั้ง

“บางทีจักรพรรดิอาภรณ์ขาวก็ยังไม่รู้ว่าจะพัฒนาอย่างไรต่อ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างราบเรียบ “เป็นเพราะว่าความสับสนและความไม่แน่ใจนี้ ดังนั้นก่อนที่จะแยกออกจากกัน ด้านไร้รักในจิตของจักรพรรดิแพรจึงได้เปรียบขึ้นเรื่อยๆ”

สำหรับเส้นทางมีรักแล้ว ไม่ว่าจะยากเย็นขนาดไหน อย่างน้อยอนาคตของเส้นทางไร้รักก็มีทางเดินที่ชัดเจนให้ก้าวเดิน

ส่วนเส้นทางมีรัก กลับเป็นทางตันที่ไม่อาจทำอะไรได้

เยี่ยนจ้าวเกอสงสัยอยู่ลึกๆ ว่าพวกคนระดับสูงของโลกซ้อนโลกถึงแม้ใช่ว่าจะชอบใจ แต่ส่วนใหญ่อยากเห็นจักรพรรดิแพรเดินบนเส้นทางไร้รัก เพราะว่านั่นหมายถึงจักรพรรดิแพรอาจจะได้กลายเป็นกษัตริย์คนใหม่ ถึงขั้นที่ปีนป่ายขึ้นด้านบนได้ต่อ

สำหรับสำนักเต๋าที่รอความรุ่งเรืองหลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ยอดฝีมือระดับสุดยอดย่อมยิ่งมากยิ่งดี กระนั้นก็ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าไม่ดึงเยี่ยนตี๋กับเมฆแปลงกำเนิดมาเกี่ยวข้อง

เมื่อเกี่ยวโยงกับเยี่ยนตี๋ ไม่ใช่แค่กษัตริย์กระบี่จะไม่เห็นด้วย แต่ผู้ทรงอำนาจที่เหลือก็ต้องไตร่ตรองให้ดี ส่วนศักยภาพและพลังของเยี่ยนตี๋ย่อมไม่ต้องอธิบาย

“ถึงแม้จะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็ยังหวังว่าบิดาที่สวมอาภรณ์ขาวจะเอาชนะได้…” เมิ่งหว่านถอนใจ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “เป็นธรรมดาของมนุษย์ เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ เดิมทีไม่ได้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของเจ้า”

เมิ่งหว่านมองเยี่ยนจ้าวเกอ “ศิษย์พี่เยี่ยน ท่านวางแผนเช่นนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ”

“สถานการณ์ในปัจจุบัน จะมากจะน้อยก็เป็นไปดังที่ข้าวางแผนไว้บ้าง” เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ “แต่ไม่ใช่เป้าหมายในตอนแรกของข้า ข้าลงมือเพราะต้องการสะกดด้านไร้รักในใจของจักรพรรดิแพร แต่ดูเหมือนความดุเดือดของการต่อสู้ในใจของจักรพรรดิแพรจะไปอยู่ในขั้นที่สาหัสมากแล้ว จึงปรากฏผลลัพธ์เช่นในตอนนี้”

เขาเก็บสายฟ้าอนัตตาที่ล่องลอยอยู่หมดสิ้น จากนั้นก็พาเมิ่งหว่านผละจากที่เดิม “ถึงแม้จะไม่เป็นตามที่คิดไว้ แต่ผลลัพธ์ในตอนนี้ก็ไม่เลว ถ้าจักรพรรดิอาภรณ์ขาวสะกดจักรพรรดิอาภรณ์ดำได้ ทุกคนจะผ่อนคลายได้มาก ยังมีพื้นที่ให้ปรับเปลี่ยน แต่ก็ไม่อาจอยู่เฉยๆ ไม่อย่างนั้นตอนที่จักรพรรดิแพรสองคนสู้กัน ข้ารู้สึกว่าฝ่ายที่สวมอาภรณ์ดำจะมีโอกาสชนะมากกว่า”

………………..