บทที่ 2109 จะแลกเปลี่ยนอย่างไร

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

จวนอ๋องสวรรค์หนิว ทหารยามของเรือนชั้นในไม่ได้ขวาง ปล่อยให้หยางชิ่งเข้ามาแล้ว

ตอนที่เข้าใกล้เรือนหลัก หยางเจาชิงที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกกลับห้ามไว้ หยางชิ่งจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ได้ยินว่าโกวเยว่พาก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ข้าจะไปพบท่านอ๋องสักหน่อย”

หยางเจาชิงส่ายหน้า “กลับไปเถอะ ท่านอ๋องกำลังพบแขก”

“พบแขก?” หยางชิ่งมองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างแปลกใจ “แขกอะไร ต้องให้เจ้าหลบเลี่ยงด้วยเหรอ?”

“ก็ไม่นับว่าหลบเลี่ยงหรอก จอมพลสายวอกลั่วหม่างกับถงเหลียนซีมาแล้ว” หยางเจาชิงตอบ

“อ้อ!” หยางชิ่งขานรับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายล้ำลึก เข้าใจแล้ว สงสัยจะถึงเวลาแบไพ่แล้ว จะบอกว่าท่านอ๋องต้องการหลบเลี่ยงหยางเจาชิงก็ไม่ได้ แต่กลัวว่าแขกจะไม่กล้าพูดอะไรบางอย่างยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น

ในโถงหลัก เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ถอยออกไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว ลั่วหม่างกับถงเหลียนซี

การที่ลั่วหม่างมาครั้งนี้ ย่อมเป็นผลงานของถงเหลียนซีเช่นกัน พวกเขาเที่ยวเล่นมาถึงฝั่งนี้ เลยถือโอกาสมาเยี่ยมคำนับอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้สักหน่อย

แต่ถงเหลียนซีในตอนนี้กลับน้ำตานองหน้า คุกเข่าตรงหน้าลั่วหม่าง เล่าต้นสายปลายเหตุที่ตัวเองเป็นสายลับออกมาหมด

เหมียวอี้แอบทอดถอนใจเงียบๆ อวิ๋นจือชิวยืนอยู่ข้างถงเหลียนซี ป้องกันไม่ให้ลั่วหม่างลงมือกับถงเหลียนซี

หลังจากอธิบายจบ ถงเหลียนซีก็สะอึกสะอื้น ร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษา หมอบศีรษะกับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา

ลั่วหม่างนั่งสง่าอย่างไม่สะทกสะท้าน มองสีหน้าไม่ออกเลยสักนิด จ้องถงเหลียนซีที่กำลังคุกเข่าด้วยสายตาสงบนิ่ง

ปฏิกิริยาของเขาทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแอบแปลกใจ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นลั่วหม่างแสดงความผิดปกติเลยสักนิด ได้ฟังเรื่องแบบนี้แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย หรือว่าเล่ห์เหลี่ยมของเขาล้ำลึกจนถึงขั้นน่ากลัว? ที่ว่ากันว่าสุขทุกข์ล้วนไม่แสดงออกทางสีหน้าเป็นแค่คำพูดเหลวไหล คนเราล้วนมีอารมณ์ความรู้สึก สุขทุกข์ล้วนไม่แสดงออกทางสีหน้าจริงๆ มีเสียที่ไหนกัน ถ้าได้ยินเรื่องที่ทำให้โกรธจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีปฏิกิริยาบ้าง ถ้าไม่มีปฏิกิริยาก็แสดงว่าไม่ได้สะเทือนใจอีกฝ่ายเลย

ดันเป็นในเวลานี้ เหมียวอี้กับลั่วหม่างแทบจะหยิบระฆังดาราขึ้นมาพร้อมกัน ได้รับข่าวสถานการณ์ที่ผิดปกติทางฝั่งพระตำหนักอุทยานพร้อมกัน

ทั้งสองต่างมองประเมินระฆังดาราในเมื่ออีกฝ่ายแวบหนึ่งเช่นกัน ลั่วหม่างยังดีหน่อย แต่เหมียวอี้กลับเกิดความคิดบางอย่างในใจ เกิดเรื่องที่พระตำหนักอุทยานแล้ว อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของพระปีศาจ?

ทั้งสองล้วนไม่เปิดเผยความคิดออกมา เพียงเก็บระฆังดาราเงียบๆ

เมื่อเห็นว่าถ้าให้ถงเหลียนซีคุกเข่าอยู่อย่างนี้ไปตลอดไม่ใช่วิธีการที่ดี ลั่วหม่างก็ไม่แสดงท่าทีเช่นกัน ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็ช่วยพูดแทรก “จอมพลลั่ว คืออย่างนี้นะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ต้องเริ่มพูดตั้งแต่งานเลี้ยงอุทยานหลวงครั้งก่อน…” นางเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้ฟังทันที และเน้นย้ำว่าการที่ถงเหลียนซีถือโอกาสพาลั่วหม่างมาที่นี่ไม่ใช่ความคิดของถงเหลียนซี บอกถึงความคิดของถงเหลียนซีในตอนนั้น เป็นอวิ๋นจือชิวที่อยากทำตามคำขอของเจียงอีอีให้สำเร็จ ถึงได้บีบถงเหลียนซีให้ทำอย่างนี้

เท่ากับเปิดเผยต่อหน้าลั่วหม่างแล้ว อยากจะปกป้องชีวิตของถงเหลียนซี

หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ลั่วหม่างรอคอยก็อยู่ตรงนี้ แค่อยากจะรู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวคืออะไร เหตุใดจึงเข้ามาแทรกแซงเรื่อง

“ชื่อเดิมของเจ้าคือเจียงอวิ๋นเหรอ?” ลั่วหม่างจ้องถงเหลียนซี

“ค่ะ!” ถงเหลียนซีพยักหน้าขณะร้องไห้สะอื้น

ลั่วหม่างถอนหายใจเบาๆ “เรียกจนชินแล้ว ให้เขาเรียกเจ้าว่าเหลียนซีดีกว่า ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ”

ถงเหลียนซีส่ายหน้า ตอนนี้สภาพจิตใจที่อยากชดเชยความผิดนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ทำได้เพียงคุกเข่าแสดงความรู้สึก

ลั่วหม่างถอนหายใจอีกครั้ง “เหลียนซี ลุกขึ้นเถอะ ที่จริงข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าคือสายลับที่คนอื่นแทรกเอาไว้ข้างกายข้า ในปีนั้นหลังจากโดนลอบสังหาร  หนึ่งปีหลังจากนั้นหนึ่งในมือสังหารตกอยู่ในมือข้า ข้าสืบจนเจอเบาะแสแล้ว!”

“…” ถงเหลียนซีพลันเงยหน้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มองเขาด้วยแววตาเหลือเชื่อ

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวตะลึงค้าง มิน่าล่ะเจ้าหมอนี่ถึงไม่มีท่าทางแปลกใจเลยสักนิด ที่แท้ก็รู้ตั้งนานแล้วนี่เอง

เหมียวอี้ลองถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ารู้ตั้งนานแล้วเหรอว่านางเป็นสายลับ แล้วทำไมยังเก็บนางไว้ข้างกายอีก?”

ลั่วหม่างลุกขึ้นแล้วก้าวเข้ามาประคองถงเหลียนซี “เก็บสายลับสักคนไว้ข้างกาย ก็อาจไม่ใช่เรื่องแย่ ไล่คนเก่าออกไปก็ยังมีคนใหม่มาอีก ดีกว่าแยกไม่ออกว่าใครคือสายลับ เมื่อมีเป้าหมายให้รับมือแล้ว ก็ลดเรื่องยุ่งยากได้เยอะ หลายปีมานี้ที่ข้าไม่มีปัญหายุ่งยากอะไร ก็เป็นผลงานของเจ้าเช่นกัน” ขณะที่พูดก็ยกมือปาดน้ำตาให้ถงเหลียนซี

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก พอจะเข้าใจแล้ว ที่จริงแล้วความหมายเดียวกับที่ฝั่งนี้เก็บเฟยหงไว้ข้างกาย

ถงเหลียนซีตะลึงค้าง จ้องลั่วหม่างด้วยอารมณ์เหมือนลอยนานมาก

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน “พอเป็นแบบนี้ จอมพลลั่วก็ไม่คิดจะถือสาเอาความเรื่องนี้ใช่ไหม?” เขากำลังสื่อว่าจะปล่อยถงเหลียนซีไปได้หรือเปล่า

ลั่วหม่างประคองให้ถงเหลียนซีนั่งลงข้างกาย ผันตัวมาเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ “ท่านอ๋องกับฮูหยินออกหน้าตัดสินใจให้ ข้าก็ไม่ถึงขั้นไม่รู้กาละเทศะ”

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “ข้าไปควบคุมจอมพลลั่วไม่ได้หรอก”

ลั่วหม่างส่ายหน้าถอนหายใจ “แต่ถ้าอยากจะคบหาเป็นสหายกับท่านอ๋อง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอาจเอื้อมได้หรือเปล่า”

เหมียวอี้กับฮูหยินสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าลั่วหม่างจะพูดอะไรอย่างนี้ออกมา เหมียวอี้กล่าวด้วยความสงสัย “ไม่มีคำว่าอาจเอื้อมหรือไม่อาจเอื้อมหรอก เพียงแต่ถ้าให้ก่วงลิ่งกงรู้เข้า เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า!”

ลั่วหม่างเดินไปเดินมาอยู่ในโถงอย่างช้าๆ แล้วพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ใต้หล้านี้เกิดความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เหมือนจะไม่สงบสุขอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว อิ๋งจิ่วกวงล้มแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางก็ล้มแล้วเช่นกัน พระปีศาจหนานโปกลับมาแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเกิดความวุ่นวาย ทั้งยังมีเรื่องวุ่นวายไร้ระเบียบเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน คาดว่าท่านอ๋องก็คงได้ข่าวมาแล้วเช่นกัน ทางวังสวรรค์โดนลอบจู่โจมสองครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น! ใต้หล้านี้เหมือนยิ่งนับวันจะยิ่งผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ ความผันผวนที่ซ่อนอยู่ในนั้น ข้าไม่รู้เลยสักนิดว่ามันคืออะไรกันแน่ ข้ากังวลนิดหน่อย…พอคิดไปคิดมา ผูกมิตรกับสหายไว้เยอะๆ ก็ไม่เลวเหมือนกัน”

เดินไปเดินมาแล้วก็มาหยุดตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวด้วยแววตาล้ำลึกว่า “ท่านอ๋องผงาดขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวาย อย่างอื่นข้าไม่รู้หรอก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ามองออก แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังทุ่มแรงช่วยเหลือ ท่านอ๋องมีช่องทางกว้างขวางมาก! ในปีแรกๆ ท่านอ๋องใจกว้างเมตตาลูกชายข้า ตอนนี้ก็เป็นห่วงเหลียนซีเพราะคำสัญญาคำเดียวอีก เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร มีหรือที่จะแอบเปิดเผยเรื่องผูกมิตรให้ก่วงลิ่งกงรู้? จอมพลผู้นี้เชื่อใจท่านอ๋อง! ถ้าท่านอ๋องเชื่อใจข้า ในภายหลังถ้ามีอะไรจะกำชับก็มาปรึกษากันได้เลย…”

ลั่วหม่างกับถงเหลียนซีไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ถือโอกาสแวะมาตอนผ่านทาง เมื่อถึงเวลาต้องกลับก็กลับแล้ว

เมื่อแขกไปแล้ว หยางชิ่งก็เข้ามาอีก เล่าเรื่องที่โกวเยว่พาตัวก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลให้ฟัง ความคิดนั้นของก่วงลิ่งกง ไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้น ฝั่งเหมียวอี้ไม่ยินดีที่จะเห็นชิงหยวนจุนกับก่วงเม่ยเอ๋อร์สมหวังกัน ถ้าหากประมุขชิงถอดอำนาจทางทหารของชิงหยวนจุนเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นในภายหลังเขาก็ไม่ต้องเล่นอะไรแล้ว เขาให้คนฝั่งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจับตาดูอย่างเข้มงวด เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็น เขาก็จะติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทันที คิดหาทางหยุดยั้งไว!

สรุปก็คือก่วงเม่ยเอ๋อร์จะแต่งงานกับใครก็ได้ จะรักใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ชิงหยวนจุน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ชิงหยวนจุนจะแต่งงานกับก่วงเม่ยเอ๋อร์!

จากนั้นก็คุยกันเรื่องที่วังสวรรค์โดนลอบจู่โจม พวกเขาสงสัยว่าเป็นฝีมือของพระปีศาจหนานโป เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย เพราะบ่าวไพร่ที่โจมตีพระตำหนักอุทยาน ถ้าไม่ได้เป็นบ้าก็ต้องเป็นหน่วยกล้าตายของใครสักคน ไม่อย่างนั้นบ่าวไพร่คนหนึ่งจะถ่อไปลอบโจมตีพระตำหนักอุทยานทำไม แบบนั้นไม่ใช่การนหาที่ตายหรอกหรือ? ดูจากอาการแล้วเหมือนจะโดนพระปีศาจควบคุม บวกกับสถานที่เกิดเรื่องก็คือพระตำหนักอุทยาน ซึ่งซ่อนสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เอาไว้  เมื่อคิดถึงสองปัจจัยนี้รวมกัน จะไม่ให้สงสัยพระปีศาจก็คงยาก

เพียงแต่ไม่รู้ว่าพระปีศาจทำสำเร็จหรือเปล่า ข่าวจากฝั่งวังสวรรค์ไม่ได้บอกชัดเจน

หยางชิ่งบอกว่า “ถ้าพระปีศาจทำสำเร็จแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงติดต่อมาหาท่านอ๋องแน่ และถ้าหลินอ้าวเสวี่ยถูกพาตัวไปได้แล้วจริงๆ เกรงว่าวังสวรรค์จะต้องสงสัยท่านอ๋องก่อนคนแรก เฟยหงฮูหยินก็ถูกเปิดโปงแล้วเช่นกัน!”

เหมียวอี้ยิ้มเหยียด “สงสัยข้าแล้วยังไงล่ะ มาแทรกสายลับไว้ข้างกายข้า พวกเขามีเหตุผลแล้วหรือไง? ประมุขชิงกล้าประกาศหรือเปล่า? ถ้าช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาแล้วจริงๆ วันหลังจะให้เฟยหงไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงอีก ข้าอยากจะเห็นนักว่าใครจะกล้าแตะต้อง!”

“ถ้าพระปีศาจทำสำเร็จแล้วจริงๆ อาศัยพลังอภินิหารของพระปีศาจ เกรงว่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลินอ้าวเสวี่ยกับเฟยหง ถ้าอีกฝ่ายจับหลินอ้าวเสวี่ยเป็นตัวประกัน แล้วท่านอ๋องจะให้สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นหรือเปล่า?” หยางชิ่งถาม

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ตกอยู่ในความเงียบแล้ว

เห็นเขามีท่าทางลังเลตัดสินใจไม่ได้ หยางชิ่งก็เหมือนจะเดาผลลัพธ์ออกแล้ว ได้แต่แอบถอนหายใจ

จากนั้นฝั่งนี้ก็เฝ้ารอ รอให้พระปีศาจติดต่อมา ไม่สะดวกจะเป็นฝ่ายถามก่อน ถ้าเขาถามไปแบบนี้ เผื่อไม่ใช่ฝีมืออีกฝ่ายขึ้นมา อีกฝ่ายก็จะเล่นไปตามน้ำว่าเป็นฝีมือตัวเอง แบบนั้นเขาก็จะเป็นฝ่ายถูกกระทำแล้ว

รออยู่ครึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดเหยียนซิวก็นำตัวจางผิงมาแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่ในห้องหนังสือลืมตาขึ้น หยางชิ่งกับหยางเจาชิงสบตากันแวบหนึ่ง พอเห็นจางผิง ก็ย่อมเข้าใจแล้ว ว่าเรื่องที่พระตำหนักอุทยานเป็นฝึมือของพระปีศาจจริงอย่างที่คาดไว้

จางผิงยังคงมีท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่หวาดกลัว กุมหมัดคารวะอย่างสุภาพ “ท่านผู้สูงศักดิ์ให้มาบอกนายท่าน ว่าหลินอ้าวเสวี่ยอยู่ในมือท่านผู้สูงศักดิ์แล้ว”

ว่ากันตามจริง แม่จะเดาออกแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ยังตกใจไม่เบา พระปีศาจช่างมีความสามารถจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยคนออกมาจากพระตำหนักอุทยานได้ นึกไม่ถึงว่าการป้องกันที่เข้มงวดของวังสวรรค์จะถูกพระปีศาจเจาะช่องโหว่แล้ว เหตุการณ์นี้ได้เตือนเขา ว่าต้องเสริมการป้องกันฝั่งนี้ให้ดีกว่าเดิม

“เขาบอกว่าอยู่ในมือเขาก็แปลว่าอยู่ในมือเขาเหรอ?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

“ยอมต้องเจรจากับนายท่านว่าจะแลกเปลี่ยนกันอย่างไร” จางผิงยิ้ม

เหมียวอี้ตอบว่า “ยังจะแลกเปลี่ยนยังไงได้อีก ก็ย่อมต้องมือหนึ่งแรกของ มือหนึ่งและคนสิ แบบนี้ยุติธรรมที่สุด! ให้คนที่อยู่เบื้องหลังเจ้ากำหนดเวลาและสถานที่ ข้าจะทำการแลกเปลี่ยนต่อหน้าเขา!”

จางผิงบอกว่า “ทำผู้สูงศักดิ์บอกแล้ว ว่านายท่านมีกำลังทหารแข็งแกร่ง ถ้ากลับคำพูดขึ้นมา ท่านผู้สูงศักดิ์ก็จะเสี่ยงอันตรายเกินไป จะไม่เจอกับนายท่านซึ่งๆ หน้าแล้ว แค่นายท่านให้ข้านำของออกไปก็พอ จากนั้นก็จะนำคนส่งกลับมาให้ ไม่ผิดคำพูดแน่นอน”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “แล้วทำไมเขาไม่ส่งคนมาก่อนล่ะ? หลังจากข้าแน่ใจแล้วว่าคนอย่างปลอดภัย ก็ยอมให้เจ้านำของกลับไปเอง”

ตอนนี้เขาบีบตระกูลเซี่ยโห้วแหวนนิ้วมือได้แล้ว ไม่ค่อยอยากแสจุดอ่อนที่อยู่ในมือพระปีศาจแล้ว ถ้าได้หลินอ้าวเสวี่ยมาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรคุยกับพระปีศาจอีก

“แบบนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าในายท่านได้คนไปแล้วไม่ยอมส่งของมา เกรงว่าท่านผู้สูงศักดิ์คงไม่รู้จะไปทวงความยุติธรรมที่ไหนด้วยซ้ำ” จางผิงตอบ

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ก็เหตุผลเดียวกันนั่นแหละ ข้าจะอาศัยอะไรไปเชื่อเขาล่ะ? ข้าพูดแค่คำเดียว  ให้เขาส่งคนมา แล้วข้าค่อยส่งของไปให้เขา ถ้าเขาไม่ทำตาม  เช่นนั้นก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว!”

จางผิงทำได้เพียงเขย่าระฆังดาราติดต่อพระปีศาจ สักครู่ก็ตอบว่า “ท่านผู้สูงศักดิ์ให้ข้าเตือนในท่าน ว่ารู้ความสัมพันธ์ระหว่างหลินอ้าวเสวี่ยกับเฟยหงชัดเจนแล้ว เหตุใดต้องอวดดี?”

เหมียวอี้เอนกายบนเก้าอี้ แล้วกล่าวอย่างสบายๆ “รู้แล้วยังไงล่ะ? ก็บอกเขาไปตอนนี้เลย ว่าถ้าเก่งนักก็ให้เขาฆ่าหลินอ้าวเสวี่ยไปซะ!”

……………