บทที่ 644.1 รอคอยคนคนหนึ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

แถบทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งหยุดเดินในป่ากลางเขาลึก ตรงนั้นมีท้องน้ำที่เหลือแต่กรวดทรายซึ่งถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ร่องรอยของการขุดเจาะเพื่อสกัดเอาหินมีให้เห็นอย่างชัดเจน เพียงแต่ไม่ถือว่าเป็นหินมีชื่อเสียงในหลุมเก่าแก่อะไร สายน้ำแห้งขอดสิ้นแล้ว ชุยตงซานกระโดดลงในท้องน้ำ พยายามแหวกพวกก้อนหินดินโคลนที่ขวางอยู่เบื้องหน้าออกไป สุดท้ายเขาก็ขุดจนเจอกระดานหินแผ่นหนึ่งที่พอจะนำมาทำเป็นแผ่นฝนหมึกได้อย่างถูไถ ดีดนิ้วเคาะเบาๆ เงี่ยหูฟังเสียง คุณภาพน่าจะไม่เลว จึงปาดเอาดินที่ติดเปื้อนออก ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ ของที่ได้เจอโดยบังเอิญมักทำให้คนชื่นชอบเป็นที่สุด จ่ายเงินก็ยังหาซื้อมาไม่ได้ ชุยตงซานเป่าลมหนึ่งที เป่าให้รอยยับ รอยแตกริ้วเล็กๆ บนแผ่นหินราบเรียบ จากนั้นก็ใช้ใบหน้าของตัวเองถูอยู่นานเป็นครึ่งวัน ลวดลายของหินฝนหมึกยิ่งเนียนละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วชุยตงซานก็หิ้วถือไว้ในมือ เด็กชายคนนั้นนั่งยองอยู่ริมฝั่ง สีหน้าทึ่มทื่อคล้ายไม่เข้าใจว่าชุยตงซานกำลังทำอะไร ตอนที่ชุยตงซานปีนขึ้นฝั่งก็เอาแผ่นหินเคาะหัวเด็กน้อย สุดท้ายพอขึ้นฝั่งมาได้แล้วชุยตงซานก็ให้เด็กชายเทินแผ่นหินขึ้นหัวแล้วเดินไป ไม่อนุญาตให้ใช้สองมือจับประคอง

หันกลับไปมองท้องน้ำแวบหนึ่ง ชุยตงซานก็จุ๊ปากพูด “ลงน้ำได้ ขึ้นบกได้ สมกับเป็นผู้มากฝีมือเสียจริง”

เดินเตร็ดเตร่ไปตลอดทาง มาหยุดพักแรมที่สุสานรวมที่ชานป่าเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง ชุยตงซานนอนคว่ำกับพื้น ใช้ต้นหญ้าเล็กบางตนหนึ่งมาแกะสลักแผ่นหิน

จากนั้นบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งก็เผยกาย มานั่งยองอยู่ด้านข้าง ยิ้มเอ่ยว่า “เจอคนผู้นั้นแล้ว ไม่เลว เป็นตัวอ่อนที่ดี ไม่แน่ว่าศิษย์พี่คนนั้นของข้าอาจถูกใจจนรับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเข้าจริงๆ”

ชุยตงซานเพียงแค่ถือหญ้าต้นเล็กไว้ในมือ สายตาจับจ้องแผ่นหิน เอ่ยถามว่า “ช่วยให้เจ้าได้หวนคืนสู่นครจักรพรรดิขาว เจ้าไม่ควรต้องขอบคุณข้าหรอกหรือ?”

บัณฑิตหนุ่มก็คือหลิ่วชื่อเฉิงที่ไปเยือนนครอวิ๋นโหลวของทะเลสาบซูเจี่ยนมารอบหนึ่ง

หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “เดิมทีข้าควรต้องอยู่ที่นี่เพื่อสร้างความวุ่นวายให้แก่สถานการณ์ในแจกันสมบัติทวีป แต่ตอนนี้กลับไม่ทำอะไรทั้งนั้น พวกเราสองคนก็ถือว่าหายกันแล้วหรือเปล่า?”

ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าฝันอยู่หรือไร ถูกขังมาพันปี ฝ่าค่ายกลออกมาได้อย่างไร ในใจเจ้าจะไม่รู้เลยหรือ? เนื้อหนังมังสากายนี้ของเจ้า ไม่ใช่ข้าที่ช่วยเฟ้นหามาให้ จากนั้นก็ช่วยเปิดทางให้เขา ทำให้จับผลัดจับผลูปล่อยเจ้าออกมาได้หรือไร? ยังจะมาบอกว่าหายกัน ถ้าอย่างนั้นไม่สู้ให้ข้าจับเจ้ากลับไปขังแล้วค่อยมาคุยกันใหม่ว่าหายกันหรือไม่ ดีไหมล่ะ?”

หลิ่วชื่อเฉิงนั่งแปะลงบนพื้น ถามอย่างใคร่รู้ “ข้าออกจากนครจักพรรดิขาวมานานเกินไป เจ้าเล่นหมากล้อมกับศิษย์พี่ รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขา เมื่อเทียบกับในอดีต ถือว่าสูงขึ้น หรือว่าต่ำลง?”

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง สะบัดชายแขนเสื้อ ใช้แขนเสื้อเช็ดแผ่นหิน ตัวอักษรที่สลักมีทั้งหมดสิบหกคำ ‘อาบตะวันไล้จันทรา เรือนกายแข็งแกร่ง พลังชีวิตเปี่ยมล้น หันกลับมาช่วยเหลือธรรมชาติ’

ชุยตงซานถาม “ปีนั้นใครบอกให้เจ้ามาหลบภัยที่แจกันสมบัติทวีป?”

หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะร่า “เรื่องนี้บอกไม่ได้หรอก ออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกแบบนี้ คำว่าคุณธรรมต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ ใช้นิ้วปาดตัวอักษทั้งสิบหกตัวที่สลักลงบนแผ่นหิน ทันใดนั้นแต่ละขีดแต่ละเส้นของตัวอักษรก็เหมือนกลายมาเป็นท้องน้ำ ล้วนมีสายธารสีทองไหลรินอยู่ภายใน “นับถือๆ”

หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยทันทีว่า “พระคุณช่วยชีวิต ยิ่งควรต้องมีคุณธรรมมากกว่า ชื่อนั้นจึงพอจะบอกได้”

อยู่ที่แจกันสมบัติทวีป การที่เด็กหนุ่มผู้นี้ไร้ศัตรูเทียมทาน ไม่ได้เกี่ยวกับขอบเขตมากนัก

แต่เกี่ยวกับหัวสมองของเขามากกว่า

……

ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว

วันนี้หลังจากเผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จก็เอาไปใส่ไว้ด้านล่างหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่วางอยู่ข้างเท้า ในกองสมุดปึกใหญ่ที่เต็มไปด้วยตัวอักษรเขียนเรียงกันเป็นพรืด กว่าจะหาสมุดเปล่าสักเล่มเจอไม่ใช่เรื่องง่าย นางสะบัดเบาๆ แล้วคลี่กางลงบนโต๊ะ ทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน เตรียมจะจดบัญชีแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศาลเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ทั้งสิ้น

โจวหมี่ลี่แบกคานหาบสีทองอันเล็กวิ่งปรู๊ดเข้ามาในห้อง เผยเฉียนรีบเอามือบังสมุดบัญชีที่แท้จริงแล้วว่างเปล่าไม่ได้เขียนอะไรลงไปสักคำเอาไว้ ขมวดคิ้วเอ่ย “บังอาจแล้วนะ ที่นี่คือสถานที่สำคัญอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วเรา เจ้าเข้ามาก็ไม่รู้จักเคาะประตูบ้างเลยหรือ?”

โจวหมี่ลี่รีบหมุนตัววิ่งออกไปข้างนอกแล้วเคาะประตูหนึ่งที เผยเฉียนเอ่ยว่าเข้ามาได้ แม่นางน้อยชุดดำถึงได้วิ่งตุปัดตุเป๋ข้ามธรณีประตูมาหยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะหนังสือ แล้วเอ่ยรายงานเสียงเบา “พี่น้องต้าเฟิงของพ่อครัวเฒ่าผู้นั้นไปที่เมืองหงจู๋มารอบหนึ่ง แล้วซื้อหนังสือกลับมาหนึ่งถุงผ้าป่าน ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่นัก!”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “อีกเดี๋ยวพวกเราไปตรวจบัญชีกัน นี่เป็นเรื่องส่วนรวม หากทำให้พ่อครัวเฒ่าเสียใจก็ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ”

โจวหมี่ลี่เขย่งปลายเท้า ยื่นคอยืดยาว หมายจะดูว่าเผยเฉียนทำอะไร “เขียนอะไรน่ะ?”

เผยเฉียนโบกมือ “ไปทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ที่หน้าประตู นอกจากหน่วนซู่ ห้ามใครเข้ามา”

โจวหมี่ลี่ร้องอ้อหนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็หมุนตัวกลับมาฟุบตัวบนโต๊ะ คิ้วเล็กๆ สีเหลืองอ่อนจางขมวดเข้าหากัน ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เผยเฉียนถามอย่างสงสัย “มีอะไร?”

โจวหมี่ลี่กดเสียงลงต่ำ “คนจิ๋วควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัดผู้นั้น พวกเราต่างก็รู้จัก แล้วยังเป็นสหายของพวกเราด้วย ถูกไหม เขาคิดจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งตรอกฉีหลงของข้าก่อนหน้านี้ ได้หรือไม่?”

เผยเฉียนคิดแล้วส่ายหน้า “ได้กะผีอะไรกันล่ะ ไม่ได้ๆ แม้จะบอกว่าข้าคนเดียวก็สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้ใครเข้ารับสองตำแหน่งผู้พิทักษ์ซ้ายขวาของตรอกฉีหลง แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวน้อยนั่นถามแล้วพวกเราจะต้องตอบตกลงทันที ปล่อยเอาไว้ก่อน ให้พิจารณาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

โจวหมี่ลี่หน้าม่อย ก่อนหน้านี้นางยังตบอกรับรองกับอีกฝ่ายอยู่เลยนะ

เผยเฉียนถอนหายใจ “ก็ได้ๆ เจ้าไปบอกกับเขาว่าข้ารับปากแล้ว แต่หน้าที่นี้สำคัญและใหญ่หลวงนัก ไม่อนุญาตให้เขาละเลยต่อหน้าที่ของตัวเอง ทุกเดือนจะต้องมาขานชื่อกับข้าหนึ่งครั้ง ส่วนการแสดงความเคารพกตัญญูอะไรนั่นก็ช่างเถิด เขาเองก็เป็นคนยากจนตัวน้อยคนหนึ่งเหมือนกัน”

โจวหมี่ลี่ยืดอกตั้งหลังตรง “รับทราบ!”

……

ม้าตัวหนึ่งออกจากเมืองหลวงต้าสุยมุ่งหน้าเดินทางลงใต้

หญิงสาวสวมชุดสีแดงคนหนึ่งตรงเอวห้อยดาบแคบหนึ่งเล่มและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินหนึ่งลูก

นางเงยหน้ามองทะเลเมฆบนท้องฟ้า

จำได้ว่าตอนเป็นเด็กแค่มองเห็นก้อนเมฆก็จะต้องรู้สึกว่านั่นคือพวกเทพธิดาที่ชอบแต่งหน้าประทินโฉมซึ่งกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์

ตอนที่นางเป็นเด็ก ดูเหมือนว่าทุกวันจะต้องมีความคิดมากมายวุ่นวายจับกลุ่มกันเล่นเอะอะ เหมือนคนจิ๋วตัวน้อยที่เกเรซุกซนกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่านางจะควบคุมอย่างไรก็ควบคุมไม่อยู่ ขวางอย่างไรก็ขวางไม่ได้

เวลานี้นางปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก

หลี่เป่าผิงรู้สึกเสียใจนิดๆ

อาจารย์อาน้อย นับแต่เติบใหญ่ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีความคิดเหล่านั้นอีกแล้ว ราวกับว่าพวกมันแต่ละคนพากันออกจากบ้านไปโดยไม่เอ่ยคำลา แล้วก็ไม่คิดจะกลับมาหานางอีก

……

หลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ของทั้งสองฝ่ายถามกระบี่กันแล้ว กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจแต่ละกองที่กรีฑาทัพขึ้นเหนือก็ทยอยกันเข้าสู่สนามรบ

ครั้งนี้ปีศาจใหญ่ที่บัญชาการณ์ทัพใหญ่ก็คือเจ้าอารามดอกบัว กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกราะทอง

นี่เป็นครั้งแรกบนสนามรบที่มีปีศาจใหญ่บนแท่นบัลลังก์สองตนร่วมมือกันบัญชาการณ์สนามรบ

เจ้าอารามดอกบัวหล่อหลอมแก่นจิตวิญญาณจันทราครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์ดวงหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บนสนามรบก่อนหน้านี้เคยได้ประมือกับเฉินฉุนอันผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปที่เดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปครั้งหนึ่ง ไม่ถือว่าแพ้หรือชนะ แต่เรื่องที่เจ้าอารามดอกบัวเสียเปรียบเล็กๆ คือเรื่องจริงที่เห็นกันได้อย่างชัดเจน นี่เกี่ยวข้องกับว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้ลงมืออย่างเต็มกำลัง หรือควรจะพูดว่าสถานการณ์การรบซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ไม่เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายลงมืออย่างเต็มที่เลยแม้แต่น้อย

สงครามสี่ครั้งก่อนหน้านี้ล้วนมีปีศาจใหญ่รับผิดชอบแค่ตนเดียว แบ่งออกเป็นป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูก หย่างจื่ออดีตผู้ครองแม่น้ำเย่ลั่ว หวงหลวนผู้ชอบหล่อหลอมสิ่งปลูกสร้างเพื่อสร้างเป็นนครลอยฟ้า รวมไปถึงชายฉกรรจ์เคราดกแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่รับผิดชอบถามกระบี่ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลิวชาจอมยุทธพเนจรสะพายกระบี่พกดาบที่เป็นทั้งมิตรเป็นทั้งศัตรูกับอาเหลียง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับพวกปีศาจใหญ่อย่างพวกป๋ายอิ๋งแล้ว หลิวชาแค่ทำท่าพอเป็นพิธีเท่านั้น ก็แค่มายืนอยู่ด้านหลังสนามรบ มองค่ายกลกระบี่ของทั้งสองฝ่ายไม่นาน และพอศึกใหญ่ปิดฉากลงก็เลือกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยอีกสิบกว่าคนมาเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของตนเท่านั้น

ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของหลิวชา ตอนนี้มีผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียว ผู้ฝึกกระบี่จู๋เชี่ย (ตอนก่อนหน้านี้ผู้แต่งใช้ชื่อ เป้ยเชี่ย 背箧 แต่หลังจากบทนี้ใช้ชื่อว่าจู๋เชี่ย竹箧 จึงคิดว่าผู้แต่งน่าจะตั้งใจเปลี่ยนชื่อตัวละครค่ะ)

ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยเหล่านี้ต่างก็รู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป อันที่จริงยังอยู่ห่างจากการเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวชาอีกสองธรณีประตูใหญ่ๆ ต้องเข้าประตูก่อน แล้วจึงเข้าห้องเรียน

หลังจากได้รับการบันทึกชื่อ หากลูกศิษย์ประสบความสำเร็จในการศึกษาหาความรู้ ผ่านการทดสอบ ก็จะสามารถผ่านเข้าประตูสำนัก จากนั้นถึงจะเข้าสู่ห้องเรียน กลายมาเป็นศิษย์ที่อาจารย์ถ่ายทอดความรู้ให้ด้วยตัวเอง จากนั้นจึงกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด และจะได้รับการสืบทอดวิชาดั้งเดิม ระบบดั้งเดิมจากอาจารย์ผู้มีพระคุณ

ต่อให้มหามรรคาจะยังคงยาวไกลอยู่ดังเดิม แต่คนสิบกว่าคนนี้ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิม พวกเขาจึงรวมตัวกันขึ้นมาเป็นภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งในทันที

เพราะถึงอย่างไรมือกระบี่หลิวชาที่เป็นอาจารย์ครึ่งตัวก็คือคนที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดของวิถีกระบี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง การที่ได้เป็นลูกศิษย์ของเขา ต่อให้จะแค่ได้รับการบันทึกชื่อไว้ชั่วคราว ก็มากพอให้ภาคภูมิใจได้แล้ว

ส่วนลูกศิษย์คนสุดท้ายก็ไม่ได้ธรรมดาไปกว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาเลย เพราะผู้ที่ถ่ายทอดมรรคาส่วนใหญ่จะคิดฝากฝังฝีมือและความรู้ของทั้งชีวิตนี้ไว้ที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างไร้กังวล หลังจากนี้ก็จะสามารถหยุดพักผ่อน คำว่าลูกศิษย์ปิดประตู ก็คือคนนอกต้องหยุดอยู่ภายนอก นั่นจึงเรียกว่าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย (คำว่าศิษย์คนสุดท้ายภาษาจีนคือคำว่า 关门弟子กวานเหมินแปลว่าปิดประตู การรับลูกศิษย์ของคนจีนหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างเป็นขั้นตอนก็คือ เข้าประตู 入门เข้าห้องเรียน 入室 และปิดประตู关门)

ฝากฝังตัวกับอาจารย์ก็เหมือนการเลือกไปเกิดในครรภ์ เลือกลูกศิษย์ก็เหมือนการให้กำเนิดบุตร สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วล้วนถือเป็นเรื่องใหญ่

ก่อนที่ศึกใหญ่จะเปิดฉากขึ้น ฉีโซ่วก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว ตอนนี้คอขวดของเกาเหย่โหวก็เริ่มคลายตัว กำลังจะกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งเช่นกัน ผังหยวนจี้ที่คุณสมบัติดีกว่าเกาเหย่โหว และถูกมองว่าความสำเร็จบนมหามรรคาในท้ายที่สุดจะเหนือกว่าฉีโซ่ว กลับกลายเป็นว่าจิตแห่งกระบี่ถูกฝุ่นบดบัง ขอบเขตไม่มั่นคง นี่คงจะเป็นดั่งคำที่บอกว่ามหามรรคาแปรปรวนไม่แน่นอนกระมัง

สงครามใหญ่ที่คลื่นโหมซัดขยายออกเป็นวงกว้าง ฟ่านต้าเช่อที่เป็นขอบเขตประตูมังกรเล็กๆ พัฒนาไปได้อีกขั้น ได้เลื่อนเป็นโอสถทอง อันที่จริงนี่เป็นแค่เรื่องเล็ก ก็แค่ว่าช่วงเวลาหยุดพักจากสงครามใหญ่ เตี๋ยจ้างกับสหายของนางได้ดื่มเหล้าคนละกาฉลองให้กับฟ่านต้าเช่อ

ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มนั้นกระโจนกลับลงสู่สนามรบอีกครั้ง ทยอยใช้กระแสคลื่นสมบัติอาคมมาพุ่งชนค่ายกลกระบี่ต่อไป

ทว่าผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจกลับไม่ได้เข้าร่วมด้วย นั่นเป็นเพราะพวกเขาล้ำค่าเกินไป ทางฝั่งของเผ่าปีศาจจึงไม่ยินดีที่จะให้พวกเขามาตายอยู่ในสงครามโจมตีและป้องกันครั้งนี้อย่างเสียเปล่า

หากจะบอกว่าเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ยังไม่อาจจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ได้ก็คือเงินเหรียญทองแดงของชาวบ้านที่ชีวิตไร้ค่ามากที่สุด ถ้าอย่างนั้นผู้ตนอิสระเผ่าปีศาจที่มีสติปัญญาเริ่มฝึกตนบนมรรคาก็คือเงินเกล็ดหิมะ หากฝึกจิตใจประสบผล ก็คือเงินร้อนน้อยที่ได้ครอบครองอาวุธวิเศษและสมบัติอาคม ส่วนผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจจึงจะเป็นเงินฝนธัญพืชที่ได้รับการปกป้องมากที่สุด ไม่ได้บอกว่าการถามกระบี่กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่อไปเป็นการกระทำที่ไร้ความหมาย แต่เป็นเพราะในเมื่อสามารถใช้เหรียญทองแดงที่มีมากมายมาสะสมรวมกันจนได้ผลการศึกที่เหมือนกัน แล้วเหตุใดจึงต้องเผาผลาญเงินฝนธัญพืชผู้ฝึกกระบี่ที่ยากนักกว่าจะมีเหรียญที่สองปรากฏขึ้นมาไปเหรียญหนึ่งด้วย?

หากใช้วิธีการโจมตีเมืองเช่นนี้ในใต้หล้าไพศาล กระโจมแม่ทัพกล้าบัญชาการณ์โยกย้ายกองกำลัง มองข้ามชีวิตของพวกมดตัวน้อย ให้พวกมันหลายล้านตนพาตัวไปตาย กองกระดูกทับถมกันอยู่บนสนามรบด้านล่างกำแพงเมืองเช่นนี้ ย่อมต้องทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปนานนับหมื่นปีอย่างแน่นอน แต่เมื่ออยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลับไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย

ในที่สุดก็เกิดภาพฝูงมดโจมตีเมืองเป็นครั้งแรกในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

ด้วยศึกนี้พวกเขายังตั้งใจเป่าแตรสัญญาณดังยาวเหยียด สะท้อนก้องไปทั้งชั้นเมฆ ปลุกระดมขวัญกำลังใจของกองทัพใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้ฮึกเหิม

อวี้เจวี้ยนฟูผู้ฝึกยุทธเต็มตัวรอคอยอย่างยากลำบากมานาน ในที่สุดก็สามารถปล่อยปณิธานหมัดที่มีเอ่อล้นทั่วร่างสังหารเผ่าปีศาจได้อย่างเต็มคราบแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานยังคงผลัดกันลงสนามรบ ไปออกกระบี่ที่หัวกำแพงกลุ่มละสามคนอยู่ดังเดิม

ความเสียหายของทั้งสองฝ่ายในแต่ละวันล้วนมีจดลงบันทึกอย่างละเอียด กวอจู๋จิ่วรับผิดชอบสรุปรวมรายงาน ยิ่งนานวันบรรยากาศในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนก็ยิ่งเคร่งเครียด แต่ละคนยุ่งจนหัวหูไหม้ ต่อให้เป็นกวอจู๋จิ่วก็ยังต้องนั่งเฝ้าโต๊ะหนังสือตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

ทางฝั่งของภูเขาห้อยหัว ผู้ดูแลเรือของแปดทวีปแทบทั้งหมดที่ทำการค้ากับภูเขาห้อยหัวต่างก็ได้ไปเยือนเรือนชุนฟานกันมาแล้วครั้งหนึ่ง

เยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วนและหมี่อวี้ รวมกับเส้าอวิ๋นเหยียนและเหวยเหวินหลงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาต่างก็ไม่มีใครได้อยู่ว่างงาน

เรื่องของการทำสงครามนั้น นอกจากในสนามรบที่เข่นฆ่าเอาชีวิตกันแล้ว อันที่จริงสนามรบก็อยู่บนสมุดบัญชีด้วยเช่นกัน

นี่คือรูปแบบการทำการค้าใหม่เอี่ยมที่ทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และเรือข้ามฟากแปดทวีปต่างก็ทดลองทำกัน ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ จึงมีเยอะมาก อีกทั้งเรื่องที่เรือข้ามทวีปของธวัลทวีปต้องรวบรวมเงินเกล็ดหิมะก็ไม่ได้ราบรื่นนัก หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะสกุลหลิวของธวัลทวีปไม่เคยแสดงท่าทีต่อเรื่องนี้ ทว่าสกุลหลิวกลับเป็นผู้ครอบครองสายแร่และการจัดสรรส่วนแบ่งทั้งหมดของเงินเกล็ดหิมะในใต้หล้า สกุลหลิวไม่เปิดปาก ไม่ยินดีจะลดราคาให้ บวกกับที่อาศัยแค่เรือข้ามทวีปแค่ไม่กี่ลำนั้น ต่อให้ได้รับเงินเกล็ดหิมะมาก็ไม่กล้าเดินทางอาดๆ ข้ามทวีปใหญ่ เงินเกล็ดหิมะเต็มลำเรือ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ยังต้องตาร้อนจิตใจหวั่นไหว แค่เรียกสหายมาสักสามคนห้าคน ซ่อนตัวอยู่บนมหาสมุทร ดักฆ่าเรือข้ามทวีปกลางทาง นั่นก็จะกลายเป็นหายนะใหญ่เทียมฟ้า เรือข้ามทวีปของธวัลทวีปไม่กล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนนี้ และกำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็ไม่ยินดีจะเห็นผลลัพธ์แบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นทางฝั่งของเรือข้ามทวีปจากธวัลทวีป พอกลับไปถึงครั้งแรกและย้อนกลับมาภูเขาห้อยหัวอีกครั้งจึงไม่ได้นำเงินเกล็ดหิมะมาด้วย เพียงแต่ว่าทรัพยากรอย่างอื่นที่เขียนอยู่บนสมุดของเรือนชุนฟานในการประชุมครั้งนั้น เจ้าของเรือของธวัลทวีปซึ่งรวมถึงเจียงเกาไถเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ยื่นข้อเสนออย่างหนึ่งให้แก่เรือนชุนฟาน โดยหวังว่าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะหาเซียนกระบี่ท่านหนึ่งให้มาช่วยคุ้มกันเส้นทางการเดินเรือของพวกเขา อีกทั้งไม่ว่าจะขาไปหรือขากลับก็ล้วนต้องมีเซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์เรือให้ด้วย

เยี่ยนหมิงกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนต่างก็รู้สึกว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้ จึงหวังว่าทางเรือข้ามฟากจะออกเงินจ้างผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสักคนสองคนเอาเอง เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการค้าเงินเกล็ดหิมะนี้ ขอแค่ทำสำเร็จครั้งหนึ่ง เรือข้ามฟากของธวัลทวีปก็มีแต่จะได้กำไร ไม่ควรคาดหวังให้ทางเรือนชุนฟานดึงตัวเซียนกระบี่มาช่วยคุ้มกันให้ ไม่อย่างนั้นการไปกลับหนึ่งครั้ง บวกกับการหยุดพักระหว่างทางที่ธวัลทวีป ส่วนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาเกินครึ่งปีหรือถึงหนึ่งปี เซียนกระบี่คนหนึ่งก็ต้องออกห่างไกลจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งอย่างนี้

เส้าอวิ๋นเหยียนให้ข้อเสนอที่เป็นการพบกันครึ่งทาง เรือข้ามฟากทุกลำไม่จำเป็นต้องลงเดิมพันกับการซื้อขายเงินเกล็ดหิมะทั้งหมด ธวัลทวีปมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีประโยชน์มากมายให้ฉกฉวย

เรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ ของการทำการค้าใหญ่พวกนี้ล้วนจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายไปคิดพิจารณากันเอาเอง ขอแค่มีขั้นตอนหนึ่งเกิดผิดพลาด อันที่จริงการค้าขายครั้งหนึ่งก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว

ทางฝั่งของเรือนชุนฟานคืออากาศร้อนระอุ ฟ้าดินเหมือนเตาเผาขนาดใหญ่ที่หลอมหมื่นสรรพสิ่ง ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับเป็นฤดูหนาวที่ไร้หิมะ

นี่ทำให้กวอจู๋จิ่วรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เดิมทีนางตกลงกับอาจารย์ไว้อย่างดิบดีแล้วว่า ช่วงเวลาที่หิมะใหญ่ตกลงมาจะปั้นตุ๊กตาหิมะสักสิบเจ็ดสิบแปดตัว ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทุกคนล้วนมีส่วนทั้งสิ้น

เรื่องเดียวที่พอจะทำให้ในใจผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานรู้สึกดีขึ้นได้บ้างก็คือคำวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงที่มาจากการที่อิ่นกวานหนุ่มใช้กระบี่บิน ‘อิ่นกวาน’ ส่งข่าวไปยังหัวกำแพงเมืองในครานั้น ได้ค่อยๆ จางหายไปด้วยตัวเองแล้ว หรือบางทีคำวิจารณ์อาจจะยังติดค้างอยู่ในใจคน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่มีเวลามาพูดมากก็เท่านั้น

สงครามใหญ่ดุเดือดโหดร้าย คนตายมีมากเกินไป

เป็นเหตุให้เซียนกระบี่โฉวเหมียว ผังหยวนจี้และหลินจวินปี้ได้แต่ลากเอาร่างจริงของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานไปตามหัวกำแพงเมืองโดยเลือกช่วงเวลาที่หยุดพักจากการทำสงคราม แล้วบอกกับทุกคนว่าปีศาจใหญ่ตนนี้ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาห้อยหัว พยายามจะสร้างความวุ่นวาย แต่พวกเขาสามคนเจอเบาะแสจนสาวไปถึงต้นตออีกฝ่าย จากนั้นก็ตัดสินใจเด็ดขาดร่วมมือกับเซียนกระบี่หลายทั้งซึ่งมีลู่จือเป็นหนึ่งในนั้นล้อมสังหารอีกฝ่ายบนมหาสมุทร

สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน

เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ เสียงฮือฮาดังระงมอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีคนนับไม่ถ้วนส่งเสียงตะโกนไชโยโห่ร้องว่าดี

ถึงท้ายที่สุดหลินจวินปี้ก็ตัดใจตัดหัวของปีศาจใหญ่โยนเป็นของขวัญกลับคืนไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ลง จึงแข็งใจตัดสินใจเองโดยพลการเก็บร่างจริงของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานนี้ไว้ให้ครบถ้วน แล้วลากกลับคฤหาสน์หลบร้อน

พอกลับไปถึง อิ่นกวานหนุ่มเห็นว่าร่างจริงของปีศาจใหญ่ยังเหลือศีรษะอยู่ก็ยิ้มจนหุบปากไม่ลง แม้ปากจะด่าหลินจวินปี้ว่าไม่ใจกว้าง ตระหนี่ขี้เหนียว ทำให้ชื่อเสียงของสายอิ่นกวานต้องลดต่ำลงไปอีก แต่กลับเก็บร่างจริงนั้นเข้าไว้ในวัตถุจื่อชื่อทันใด ตบไหล่ของหลินจวินปี้หนักๆ ยิ้มกว้างเหมือนเด็กน้อยเจ้าเล่ห์ที่เก็บเงินจากบนถนนได้แล้วรีบยัดใส่กระเป๋าตัวเอง

กู้เจี้ยนหลงมองสบตากับหวังซินสุ่ย รู้ดีว่าเจ้าลูกสมุนน้อยอย่างหลินจวินปี้ผู้นี้ต้องถูกใต้เท้าอิ่นกวานบันทึกความดีความชอบให้ครั้งหนึ่งแน่นอน