บทที่ 644.2 รอคอยคนคนหนึ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

วันนี้เฉินผิงอันออกจากตำหนักใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน ยามที่ออกมาเดินเล่นนี้ หลินจวินปี้ได้ติดตามมาด้วย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีความคิดหรือ?”

หลินจวินปี้เอ่ย “เรื่องของเรือข้ามฟากแปดทวี ตอนนี้พัฒนาไปได้ไม่ราบรื่นนัก แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้อยู่ที่สองฝ่ายซึ่งทำการค้ากัน อยู่แค่ที่ความคิดเห็นของสำนักศึกษาและสถานศึกษาของใต้หล้าไพศาล”

เฉินผิงอันคล้ายจะประหลาดใจ “ไหนลองว่ามาสิ”

หลินจวินปี้กล่าวอย่างเป็นกังวล “หากก่อนหน้านี้เรือข้ามฟากแปดทวีปไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการซื้อขายกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังคงกระจัดกระจาย ต่างคนต่างทำการค้ากันไป บางทีศาลบุ๋นอาจไม่คิดจะเข้ามาก้าวก่าย เพียงแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ถูกพวกเราทำให้เปลี่ยนแปลง ไม่แน่ว่าศาลบุ๋นอาจมีการตอบโต้บางอย่างกลับมา บอกตามตรง พวกเราไปยุ่งกับผลประโยชน์ที่เป็นรากฐานจำนวนไม่น้อยของใต้หล้าไพศาล ทรัพยากรทุกส่วนที่ถูกขนส่งมายังภูเขาห้อยหัว ย่อมทำให้ทรัพยากรของใต้หล้าไพศาลลดน้อยไปส่วนหนึ่ง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คือเหตุผลข้อนี้”

หลินจวินปี้ถาม “หากศาลบุ๋นออกคำสั่งห้ามไม่ให้เรือข้ามฟากแปดทวีปเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัว อนุญาตให้แค่ขนส่งทรัพยากรอยู่ในใต้หล้าไพศาลเท่านั้น พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”

แม้ว่าหลินจวินปี้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วเขาเรียนวิชาหลากหลาย สองนิ้วของเขาทำมุทรา ใช้วิชาสายยันต์ขยุ้มดินกลายเป็นภูเขา สร้างภาพสถานการณ์ของใต้หล้าขึ้นมากลางอากาศ มันขยับหมุนไปตามคนทั้งสอง หลินจวินปี้ชี้ไปที่แผนที่ รวมลมปราณให้กลายเป็นน้ำ วาดเส้นทางการเดินเรือใหม่เอี่ยมขึ้นมาหลายเส้น เป็นเส้นทางที่ไปกลับระหว่างทวีปต่างๆ “ทรัพยากรของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีป อนุญาตแค่ให้ขนส่งไปที่ทักษินาตยทวีป หลิวเสียทวีป ส่วนเกราะทองทวีปก็ให้ช่วยเหลือหรดีฝูเหยาทวีป เรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปกับแจกันสมบัติทวีปไปเยือนได้แค่อาคเนย์ใบถงทวีป แค่สร้างเส้นแนวป้องกันเลียบมหาสมุทรสามเส้นนี้ขึ้นมาและทำให้มันมั่นคง ราคาก็จะถูกกว่าการขนส่งทรัพยากรมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หนึ่งถึงสองส่วน หรืออาจมากถึงสามส่วน ข้าเชื่อว่าเรือข้ามฟากแปดทวีปที่ไม่อาจตัดสินใจได้เองย่อมต้องทำตามแต่โดยดี ส่วนเรือข้ามทวีปแต่เดิมทั้งหมดของสามทวีปซึ่งมีทักษินาตยทวีปเป็นหนึ่งในนั้น ก็ยิ่งไม่มีทางมาเยือนภูเขาห้อยหัว”

เฉินผิงอันพาหลินจวินปี้เดินเล่นไปด้วยกัน “เกี่ยวกับเรื่องของเรือข้ามฟากแปดทวีป ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดซึ่งเจ้าพูดมานี้ อันที่จริงเซียนกระบี่โฉวเหมียวได้เตือนข้ามานานแล้ว เพียงแต่ว่าช่วยไม่ได้ จะเอาแต่กลัวว่าผลลัพธ์นี้จะเกิดขึ้นก็เลยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ ต้องเดินไปทีละก้าวดูกันไปทีละก้าว เมื่อมีเรือข้ามฟากลำใดมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัว พวกเราก็ต้องถือว่าได้รับทรัพยากรเพิ่มมาก้อนหนึ่ง หวังเพียงว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นจะคิดจนสรุปได้ผลลัพธ์ช้าหน่อย”

หลินจวินปี้ถาม “อาจารย์เหวินเซิ่งมีสิทธิ์พูดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ที่ศาลบุ๋นหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ค่อนข้างยาก ลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโส และพิถีพิถันเรื่องการลงมือทำอย่างมีเหตุผล”

หลินจวินปี้ถามอีก “บวกกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ก็ยังไม่พอหรือ?”

เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ลำบากใจ”

หลินจวินปี้กัดฟัน “ข้าจะเขียนจดหมายลับฉบับหนึ่งส่งไปให้อาจารย์ ขอให้เขาช่วยพูดแทนสักคำสองคำ?”

เฉินผิงอันหยุดเดิน เอ่ยว่า “ต้องจำไว้ว่า เจ้าที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่หลินจวินปี้เท่านั้น อย่าได้ดึงเอาสายบุ๋นบ้านตัวเองมาเกี่ยวข้องด้วย ยิ่งอย่าได้ลากเอาราชสำนักเส้าหยวนลงน้ำ เพราะไม่เพียงแต่จะไม่มีประโยชน์ใดๆ ยังจะทำให้เจ้าต้องยุ่งวุ่นวายไปเปล่าๆ ถึงขั้นอาจจะเป็นเรื่องร้ายด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “น้ำใจนี้ ข้ารับไว้แล้ว”

อันที่จริงเฉินผิงอันสามารถพยักหน้าตอบตกลงได้ ไม่ว่าหลินจวินปี้จะทำไปโดยใช้อารมณ์เป็นหลัก หรือคิดจะวางแผนเล่นงานจิตใจคน ก็ควรให้หลินจวินปี้เขียนจดหมายขึ้นมาก่อน ใช้กระบี่บินส่งจดหมายนั้นไปที่ราชวงศ์เส้าหยวน แล้วค่อยให้เซียนกระบี่ไปดักเอามากลางทาง เฉินผิงอันอ่านเนื้อหาในจดหมายก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเก็บจดหมายฉบับนั้นเอาไว้ในเอกสารคดีลับของคฤหาสน์หลบร้อนที่มีเพียงอิ่นกวานคนเดียวเท่านั้นที่อ่านได้ หรือจะปล่อยไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่อ

เพียงแต่ว่าอยู่ด้วยกันนานวันเข้า เกี่ยวกับนิสัยของหลินจวินปี้ เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว ชื่อเสียงและลาภยศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สามารถไม่เลือกวิธีการ เพียงแต่ว่าสิ่งที่หลินจวินปี้แสวงหา หาใช่ผลประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียวไม่ แม้จะมีจิตใจทะเยอทะยาน แต่กลับทำเพื่อใต้หล้าที่สงบสุขเช่นกัน

คิดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันบอกความคิดนี้แก่หลินจวินปี้อย่างตรงไปตรงมา ให้เขาเขียนจดหมายฉบับนี้ แล้วก็ทำตามที่คิดไว้ สุดท้ายนำจดหมายนั้นกลับคืนมาสู่กองเอกสารของสายอิ่นกวาน พยายามหาโอกาส ใช้วิธีการที่ไม่เปิดเผยร่องรอยให้ใต้หล้าไพศาลรู้ความลับเล็กๆ เรื่องนี้

ไม่แน่ว่าวันใดในอนาคต อาจเป็นการเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพรให้แก่หลินจวินปี้ที่หวนคืนสู่ใต้หล้าไพศาล

หลินจวินปี้อึ้งตะลึงไปนาน ก่อนทอดถอนใจเอ่ยว่า “จะทำแบบนี้จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทำดีได้ดีตอบแทน มีอะไรให้ต้องแปลกใจ คนดีเดินเท้าไม่ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด แต่ในเมื่อวิถีทางโลกทุกวันนี้ยังไม่อาจบริสุทธิ์ได้ทุกเรื่อง จิตคนยังไม่ใสกระจ่างได้ทุกคน ถ้าอย่างนั้นก็รอไปอีกหน่อย เคยได้ยินมาว่าในภาพวาดภาพอักษรมีคำกล่าวขานที่งดงามว่า ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงต้องรอครั้งหน้า’ ไม่ใช่หรือ? ข้าว่าการที่เป็นแบบนี้ได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว จวินปี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกอึดอัดยากจะปล่อยวาง ไม่ใช่ว่าการทำความดีด้วยจิตใจที่ดีงามกับทุกเรื่องแล้วเรื่องราวจึงจะถือว่าเป็นเรื่องดีที่มีเพียงหนึ่งเดียว”

หลินจวินปี้ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดขัดใจอะไร จึงพยักหน้าตอบตกลงอย่างรวดเร็ว

เฉินผิงอันกล่าว “หากศาลบุ๋นทำแบบนี้จริง ก็ไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของใครคนใดคนหนึ่ง หรือเป็นเพราะมีอคติต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่”

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจ “เปิดประตูเชื้อเชิญขโมย ก็เพียงแค่เพื่อปิดประตูตีสนัข สามารถเหนื่อยครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอดชาติ กำจัดภัยร้ายใหญ่หลวงอย่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปได้ นับแต่โบราณมาศาลบุ๋นก็มีความคิดเช่นนี้มาโดยตลอด เพียงแต่ว่าความคิดเช่นนี้ หากปิดประตูแล้วถกเถียงกันย่อมไม่มีปัญหา แต่ไม่อาจเอามาพูดกับคนข้างนอกได้ พูดออกไปไม่ได้แม้แต่คำเดียว ห่อสัมภาระคำว่าเมตตาธรรมคุณธรรมที่อยู่บนร่างหนักเกินไป หากพูดถึงแค่เรื่องเปิดประตูเชิญขโมยนี้ มีสายบุ๋นสายใดมาเป็นผู้แบกรับคำด่าได้บ้าง? แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนที่เป็นคนเปิด เป็นคนริเริ่มสนับสนุนเรื่องนี้กระมัง? บันทึกที่อยู่ในศาลบุ๋นจะต้องบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนแน่นอน เมื่อประตูใหญ่เปิดออก สิ่งมีชีวิตและชาวบ้านในหลายทวีปมวดม้วยมรณา ต่อให้สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาดี แล้วจะอย่างไร? ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทุกคนของสายนั้นจะข้ามผ่านด่านมโนธรรมในใจตัวเองไปได้อย่างไร? จะเจ็บปวดรวดร้าว ผิดหวังต่ออริยะปราชญ์สายบุ๋นของตัวเองหรือไม่? เป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรมที่มีเทวรูปตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋น แต่กลับย่ำยีชีวิตคนเช่นนี้ นี่จะต่างจากคนถ่อยที่เห็นแก่ลาภยศชื่อเสียงตรงไหน? โชคชะตาบุ๋นและระบบการสืบทอดของหนึ่งสายจะต้องล่มสลายไปนับแต่นี้จริงๆ หรือ? ขอแค่เกี่ยวพันกับการช่วงชิงของสายบุ๋น เหล่าอริยะปราชญ์สามารถหยุดอยู่บนเส้นบรรทัดฐานต่ำสุดของการช่วงชิงกันระหว่างวิญญูชน แต่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อมีมากมายนับไม่ถ้วน บัณฑิตครึ่งๆ กลางๆ ก็มีมากขนาดนั้น พวกเขาจะรักษามาดของสุภาพชนผู้สูงส่งสง่างามไว้ได้อย่างไร?”

“ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ว่า ในสายหนึ่งยังมีพวกคนที่เอาแต่คิดถึงเกียรติยศชื่อเสียงของสายบุ๋นบ้านตัวเอง ไม่สนใจความผิดความถูก ถึงเวลานั้นคนกลุ่มนี้จะต้องทะเลาะกับคนนอกรุนแรงที่สุด เรื่องเลวร้ายยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิม เรื่องผิดก็ยิ่งผิดเข้าไปอีก พวกอริยะปราชญ์จะเก็บกวาดกันอย่างไร? จะรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนนอกก่อน หรือว่าจะสยบอารมณ์แข็งกร้าวของพวกลูกศิษย์สายบุ๋นบ้านตัวเองก่อน? หรือจะให้พูดประโยคหนึ่งไปก่อนว่า เป็นพวกเราที่ทำผิดก่อน ส่วนพวกเจ้าก็หุบปากอย่าด่าคน?”

“บัณฑิต ผู้ฝึกตน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังไม่ใช่เรื่องของบุคคลหรอกหรือ?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ตบไหล่หลินจวินปี้ “พูดถึงแค่คนข้างกายของเจ้า อาจารย์ซีหลูสหายต่างวัยของเจ้าคนนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเพราะวิ่งไปทุบเทวรูป ฉกฉวยโอกาสช่วงชิงผลประโยชน์ หลังจบเรื่องถึงได้มีชื่อเสียงโด่งดังหรอกหรือ? หากจะบอกว่าเขาไม่มีวิชาความรู้เอาเสียเลย แล้วเขาจะเขียน ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ออกมาได้อย่างไร? หากจะบอกว่าเขาไม่เคยมีคุณความชอบต่อสายบุ๋นของราชวงศ์เส้าหยวนเสียเลย ข้าว่าก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”

การประจบสอพลอของบัณฑิตบางคน นั่นต้องเรียกว่าน่าดูดุจหมู่ผกาห้อมล้อมบานสะพรั่ง แต่แท้จริงรากกลับเน่าเละมานานแล้ว คนเหล่านี้หากตั้งใจจริงขึ้นมาก็ง่ายที่จะเดินไปถึงตำแหน่งสูง แล้วก็บอกไม่ได้ว่าคนพวกนี้ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง แค่อยู่ในตำแหน่งรับเงินเดือนไปอย่างเดียวเท่านั้น การที่วิถีทางโลกซับซ้อน ก็หนีไม่พ้นเพราะคนเลวทำเรื่องดี คนดีทำผิดพลาด ความดีความเลวของเรื่องบางเรื่องจึงเปลี่ยนแปลงกันไปตามสถานที่ เปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล

ยิ่งนานวันคนบนโลกก็ได้รับข้อมูลข่าวสารมาง่ายขึ้นเรื่อยๆ สามารถเอาข้อเท็จจริงต่างๆ มาร้อยเรียงกันเป็นความจริง อีกทั้งยังคุ้นเคยที่จะทำเช่นนี้ วิถีทางโลกก็ควรจะดีมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ก็คงจะเป็นดั่งคำที่ว่า คลังอาหารเต็มล้น คนจึงจะรู้จักมารยาท

ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ก็ยากมากที่จะไม่ผิดหวัง รู้มามากแล้ว ต่อให้จะยังต้องผิดหวัง แต่ถึงอย่างไรก็พอจะมองเห็นความหวังได้เสี้ยวหนึ่ง

กลัวก็แต่ว่าคนคนหนึ่งจะใช้ความสิ้นหวังของตัวเองไปทำลายความหวังของคนอื่นตามใจชอบ

เฉินผิงอันยิ้มถาม “หลินจวินปี้ เจ้ายอมรับคนผู้นี้จากใจจริงจริงหรือ?”

หลินจวินปี้ไม่พูดไม่จา

เกี่ยวกับเรื่องทุบทำลายเทวรูป หลินจวินปี้ไม่ยอมรับก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นด่าคนเขาคล้อยตามอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ ถ้าอย่างนั้นเขาหลินจวินปี้ก็จะคงเป็นคนถ่อยต่ำช้าคนหนึ่ง

แล้วนับประสาอะไรกับที่หลินจวินปี้ก็รู้สึกยอมรับในตัวของอาจารย์ซีหลูอยู่หลายเรื่อง

อากาศฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบายปลอดโปร่ง สังหารโจรไปนับไม่ถ้วน

วันนี้กวอจู๋จิ่วพลิกสมุดเล่มเกิงเปิ่น พอเปิดไปหลายๆ หน้าเข้า หน้าผากแม่นางน้อยก็มีเม็ดเหงื่อผุดซึม

อาจารย์เคยบอกว่า เมื่อไหร่ที่จำนวนคนในการสู้รบเกิดความเสียหายเกินครึ่ง ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานต้องมาประชุมกันครั้งหนึ่ง

วันนี้มีคนมาเยือนคฤหาสน์หลบร้อน แต่ก็ยอมรักษากฎแต่โดยดี ยืนรออยู่แค่นอกประตูเท่านั้น

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จำเป็นต้องคุ้มกันพวกจินเจินเมิ่ง อวี้เจวี้ยนฟู จูเหมยสามคนเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว แล้วค่อยส่งไปที่อาณาเขตของทักษินาตยทวีป จากนั้นจึงจะเดินทางกลับ

ก่อนจะจากไป เซียนกระบี่ขู่เซี่ยจึงพาคนทั้งสามมาที่คฤหาสน์หลบร้อน ข้างกายพวกเขายังมีเด็กอายุไม่มากอีกสามคน สองคนเป็นตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ อีกคนหนึ่งคือตัวเลือกผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ค่อนข้างจะหาได้ยาก

หลินจวินปี้ได้รับคำอนุญาตจากใต้เท้าอิ่นกวานเป็นกรณีพิเศษ จึงออกไปบอกลาพวกเขา

นี่แสดงให้เห็นว่าในใจของใต้เท้าอิ่นกวาน หลินจวินปี้ค่อนข้างจะพิเศษจริงๆ

ตอนที่หลินจวินปี้เดินไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์ เขารู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย อาจารย์ชุยท่านนั้นคงจะคิดคำนวณถึงเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้กระมัง

นี่จะถือว่าตนเดิมพันด้วยชีวิต เอาหัวไปผูกไว้บนเข็มขัดกางเกง อาศัยการที่อาจารย์ชุยไม่วางเม็ดหมากลงบนกระดานที่เขาทิ้งไว้ แล้วตนก็ถือว่าเอาชนะกลับมาได้ตาหนึ่งอย่างยากลำบากใช่หรือไม่?

พอไปถึงนอกประตู หลินจวินปี้ประสานมือคารวะ ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำอะไร ถือว่าเป็นการบอกลากับพวกเขาเงียบๆ แล้ว

อวี้เจวี้ยนฟูเป็นฝ่ายเอ่ยพูดกับหลินจวินปี้ก่อน และยังเป็นประโยคแรกที่นางเอ่ยกับเขา

อวี้เจวี้ยนฟูยิ้มกล่าว “หลินจวินปี้ หากไม่ต้องตายได้ ก็อย่าตาย กลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ยินดีต้อนรับหากเจ้าจะอ้อมเส้นทางไปเป็นแขกที่ตระกูลอวี้ของข้าก่อน ในตระกูลมีคนรุ่นเดียวกับข้าที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมมาตั้งแต่เด็ก”

หลินจวินปี้ยิ้มจืดเจื่อน “ขอร้องคุณหนูอวี้อย่าได้ทำหน้าที่เป็นเฒ่าจันทราอะไรนั่นเลย!”

อวี้เจวี้ยนฟูคลี่ยิ้ม “ให้เจอหน้ากันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หลินจวินปี้ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะ เอ่ยขออภัย “เคยมีแผนการที่น่าอายบางอย่าง จวินปี้ขออภัยคุณหนูอวี้มา ณ ที่นี้”

อวี้เจวี้ยนฟูยิ้มกล่าว “อาจารย์ของเจ้าสายตาไม่เลว น่าเสียดายที่ความสามารถของลูกศิษย์ไม่ได้ความ หลินจวินปี้ การที่เจ้าเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะต้องเป็นผู้เฒ่าจันทราให้จงได้”

จริงๆ ด้วย จริงๆ ด้วย!

อาจารย์ชุยพูดถูกอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

ช่างเสี่ยงยิ่งนัก

อย่าเห็นว่าอวี้เจวี้ยนฟูคือผู้ฝึกยุทธหญิงที่ถูกใต้เท้าอิ่นกวานกดหัวกระแทกกำแพง ในความเป็นจริงแล้วทายาทหญิงตระกูลอวี้จะธรรมดาได้อย่างไร

อวี้เจวี้ยนฟูไม่เอ่ยอะไรอีก นางลูบศีรษะของแม่นางน้อยที่อยู่ข้างกาย วันหน้าแม่นางน้อยก็จะเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของนางแล้ว จะติดตามนางเล่าเรียนวิชาหมัด อาจารย์และศิษย์ออกเดินทางท่องใต้หล้าไพศาลไปด้วยกัน!

ส่วนตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่อีกสองคนที่อายุพอๆ กัน เมื่ออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่คุณสมบัติก็ไม่ถือว่าโดดเด่นนัก แต่เมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาลกลับไม่ธรรมดาแล้ว ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ จะมีสำนักใดบ้างที่รังเกียจว่ามีมากเกินไป? แล้วนับประสาอะไรกับที่คำว่าไม่ถือว่าโดดเด่นนี้ก็คือการเอาไปเปรียบเทียบกับพวกกลุ่มผู้มีพรสวรรค์อย่างฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ ซือถูเหว่ยหรัน กวอจู๋จิ่ว ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินในใต้หล้าไพศาล นับว่าหาได้ยากมากแล้ว

จินเจินเมิ่งเอ่ย “จวินปี้ ไปถึงบ้านเกิด หากไม่รังเกียจที่ข้าหนีกลับไปก่อน ยังคิดว่าข้าเป็นสหาย ข้าก็จะไปดื่มเหล้ากับเจ้า!”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “แม้จะรังเกียจอยู่บ้าง แต่หากเหล้าดีจริงๆ ข้าก็จะกลั้นใจดื่มก่อนแล้วค่อยด่าคน”

จินเจินเมิ่งที่นิสัยสุขุมพูดน้อยหัวเราะเสียงดังอย่างที่หาได้ยาก เขาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ตบไหล่ของหลินจวินปี้ “เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ต่างหากถึงจะเป็นหลินจวินปี้ในใจของข้า! คือบุรุษมากความสามารถอันดับหนึ่งของราชวงศ์เส้าหยวนพวกเรา”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยปลาบปลื้มอย่างยิ่ง

จูเหมยเองก็รู้สึกดีใจ บรรยากาศกลมเกลียวปรองดอง ควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว

คำพูดของจูเหมยกระชับสั้นได้ใจความ “หลินจวินปี้ เจอกันที่บ้านเกิดนะ”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

เข้ามาในประตูก็เห็นเฉินผิงอันยืนเอนตัวพิงผนังบังตา ถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กำลังดื่มเหล้า พอผูกไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยเบาๆ ว่า “จวินปี้ หากตอนนี้เจ้าออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถือว่าได้กำไรมากแล้ว ไม่เคยขาดทุนอะไรเลย หลังจากนี้อาจได้กำไรมากกว่าเดิม แต่ก็อาจจะต้องเสียมากเหมือนกัน โดยทั่วไปแล้ว เวลานี้เจ้าจึงสามารถลุกออกจากโต๊ะเดิมพันได้แล้ว”

เด็กหนุ่มชุดขาวจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ผู้นี้พูดด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน “เดิมพันมากก็ได้กำไรมาก!”

แล้วหลินจวินปี้ก็ยิ้มกล่าวอีกว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่คำนวณไว้ได้อย่างแม่นยำแล้วว่าใต้เท้าอิ่นกวานต้องไม่มีทางปล่อยให้ข้าตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันถาม “ตอนอยู่นอกประตู การคิดคำนวณใจคน แน่นอนว่ายังมี แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะอารมณ์ดียิ่งกว่ายามที่เล่นหมากล้อมกับคนอื่นในอดีตแล้วหรือเปล่า?”

หลินจวินปี้อืมรับหนึ่งที

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ความสามารถของเมื่อก่อน อย่าทิ้งไป เรื่องอย่างยามที่อยู่นอกประตูนี้ก็ทำตัวให้ชินเข้าไว้ แบบนั้นก็จะดีมากเลย”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับ

เฉินผิงอันเอ่ย “คนที่เห็นใจคนได้ลึกยิ่งกว่า จิตดั้งเดิมก็คือปลาในหุบเหว คือเจียวใต้บ่อ ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้”

หลินจวินปี้ถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แสงจันทร์อยู่บนน้ำ ขอแค่ยินดีเบิกตามองก็จะมองเห็น แค่เอื้อมมือก็สัมผัสได้ถึง”

หลินจวินปี้ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ท่านพบเจอพวกคนอย่างเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิงแล้วไม่รู้สึกรังเกียจหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ข้างกายพวกเขาก็ยังมีคนอย่างอวี้เจวี้ยนฟู จูเหมยไม่ใช่หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่คนส่วนใหญ่ จริงๆ แล้วก็เป็นคนที่ไม่ยินดีจะพูดหรือจำต้องพูดเสียมากกว่า”

หลินจวินปี้ถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน จะไปสนามรบเมื่อไหร่?”

เฉินผิงอันยิ้ม “ต่อให้จะไป ก็ได้แต่แอบไปเท่านั้น”

จากนั้นหลินจวินปี้ก็เห็นว่าอิ่นกวานหนุ่มทำท่าทางประหลาดอย่างหนึ่ง เขายกสองมือขึ้นเสยปาดลูบเส้นผม

หลินจวินปี้ไม่กล้าถามอะไรมาก กวาดตามองไปรอบด้านก็ไม่เห็นสตรีผู้นั้น พวกหมี่อวี้ กู้เจี้ยนหลงทำอย่างนี้ เป็นเรื่องปกติมาก เพียงแต่อิ่นกวานหนุ่มทำอย่างนี้ เขารู้สึกแปลกๆ พิกล

เฉินผิงอันมองท้องฟ้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ากำลังรอคอยคนคนหนึ่ง เขาคือมือกระบี่ผู้หนึ่ง”