ตอนที่ 2,688 : พนัน
“ท่านอาวุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิง…ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าไฉนท่านคิดเช่นนั้น?”
พอได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน หวงกวงจี๋ก็บังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกา เร่งถามออกมาทันที
เพราะหากมองจากการปะทะตรงหน้า มันเชื่อว่าต่อให้ไปถามใคร ก็มีแต่จะตอบว่าก้ำกึ่งยากตัดสินทั้งสิ้น…
ยากจะมีใครกล้าฟันธง ว่าใครจะเป็นคนชนะเหมือนต้วนหลิงเทียนแบบนี้!
ด้วยเหตุนี้มันจึงสงสัยนัก
ว่าปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับต่ำ อาวุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิงของนิกายมังกรบินมันคนนี้ อาศัยอะไรตัดสินผลกันแน่?
เห็นหวงกวงจี๋มองถามมาด้วยสายตาร้อนแรงท่าทางอยากรู้มากมาย ต้วนหลิงเทียนก็หยีตากล่าวออกอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เพราะข้าคิดว่า เมื่อเทียบกับหยางจิ้นคนนั้น ดูเหมือนฉู่เหยียนจะเป็นคนใจเย็นกว่า…หากหนึ่งในนั้นใครจะฟุ้งซ่านเสียสมาธิก่อน ข้ามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าคนๆนั้นต้องเป็นหยางจิ้น ไม่ใช่ฉู่เหยียน”
“เอ๋า ไฉนท่านคิดเช่นนั้นเล่า?”
หวงกวงจี๋ยิ่งมายิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ยิงคำถามซ้ำว่า “ท่านอาวุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิง ในน้ำเต้าท่านขายยาอันใดว่ามาเถอะ…บอกข้าทีว่าไฉนท่านถึงเห็นเป็นเช่นนั้น?”
“ใช่แล้วท่านอาวุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิง ท่านเปิดประตูเห็นภูผาว่ามาเลยเถิด…”
“ท่านอาวุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิง ผู้น้อยก็อยากทราบเช่นกันขอรับ ไฉนท่านว่าหยางจิ้นมันใจร้อนกว่าเล่า?”
“ท่านอาวุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิง…”
…
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่คนของนิกายมังกรบินที่มากับหวงกวงจี๋และต้วนหลิงเทียน ก็พากันมองถามต้วนหลิงเทียนด้ยความสงสัย แววตาฉายชัดถึงความอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน
เป็นธรรมดาว่าพวกมันจะยังไม่รู้
ว่าร่างในชุดคลุมปรมาจารย์อมตะสีดำเบื้องหน้าของพวกมัน ก็คือไพ่ตายของมณฑลจิ่วโยว คนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในการประลอง 16 มณฑลคราวนี้…
ผู้ที่มีอายุไม่ถึงร้อยทว่าพลังฝีมือใกล้เคียงต้าหลัวจินเซียน…ต้วนหลิงเทียน!
พวกมันจะรู้ก็แต่เพียง คนผู้นี้คืออาวุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิง ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับต่ำ ที่มีความสามารถในการหลอมโอสถสูงมาก
และไม่ใช่คนของนิกายมังกรบินเท่านั้นที่ได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงกวงจี๋คุยกัน คนอื่นๆในอัฒจันทร์ที่นั่งไม่ไกลก็ได้ยินด้วย
เช่นนั้นตอนนี้เลยมีหลายคนที่เงี่ยหูรอฟังคำตอบด้วยความสนใจ
“หึ!”
ทันใดนั้นเอง มีเสียงพ่นลมค่อนแคะหนึ่งดังขึ้น
เป็นชายที่มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันไม่ใช่ตัวดีอันใด กำลังเหลือบมองคนของนิกายมังกรบินด้วยสายตาดูแคลน กล่าวเสียดสีออกมาว่า “ทำเป็นพูดให้ดูลึกลับ! ตอนนี้ข้าเกรงว่ากระทั่งอ๋องฉินยังไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่าฉู่เหยียนมีโอกาสชนะมากกว่า”
“อาศัยปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับต่ำอย่างเจ้า ยังจะไปรู้เรื่องราวอะไร…กลับไปสนใจแต่เรื่องหลอมยาของเจ้าเถอะ อย่ามาเสแสร้งวางมาดลึกลับ ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเสียประเสริฐกว่า!”
ขณะเอ่ย ชายที่แลดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวดีอันใดนั่น ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูถูก
“โจวอันเจ้าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือ วันนี้ถึงได้หาญกล้าหยาบคายกับท่านอุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิงนิกายมังกรบินเรา! เป็นเจ้าคิดหาเรื่องนิกายมังกรบินเราคนเดียว หรือสำนักราชันพิษของเจ้าคิดจะเปิดศึกกับนิกายมังกรบินเรา?”
โจวอันกล่าวเสียดสีจบไม่ทันไรหวงกวงจี๋ที่เดิมหน้าตาดุร้ายเป็นทุน ตอนนี้ยิงแลดูประหนึ่งโจรป่าอาฆาต! มันลุกขึ้นมาชี้หน้า กล่าวคำกับโจวอันด้วยน้ำเสียงดุดันจนเครากระเพื่อม!!
“นั่นโจวอันรองเจ้าสำนักราชันพิษนี่…”
ขณะเดียวกัน คนของนิกายมังกรบินก็จดจำได้…ว่าชายที่แลดูไม่ใช่ตัวดีอันใดนั่นเป็นใคร
“เหอะๆ นั่นมันคนของสำนักราชันพิษกับนิกายมังกรบินนี่…ไอพวกนี้มันเขม่นกันมาเป็นร้อยปีแล้วก็จริง แต่ไม่คิดเลยว่ากระทั่งในงานประลอง 16 มณฑล พวกมันยังตามมากัดกันได้…”
“นั่นสิ ข้าคิดว่าอย่างไรเสียนี่ก็เป็นงานประลอง 16 มณฑลที่วังฉินจัด พวกมันไม่น่าจะกล้ามีเรื่องกัน ใครจะไปรู้อยู่ๆก็จะบู๊กันซะงั้น…”
“เหอะๆ ต่อให้พวกมันจะห้าวกันเพียงใด แต่ไฉนไม่ดูรุ่นบ้าง? งานประลองนี้อย่างไรเสียวังฉินก็เป็นผู้จัด…ถ้าพวกมันกล้าตีกันกลางงานแล้วจะให้วังฉินเอาหน้าไปไว้ที่ใด หรือพวกมันไม่เคยคิดถึงจุดนี้?”
…
คนจากขุมกำลังอื่นๆในอัฒจันทร์ที่นั่งสำหรับบุคคลพิเศษ หันมองไปยังคนของนิกายมังกรบินและสำนักราชันพิษที่ตอนนี้พร้อมใจกันลุกขึ้นมามองหน้ากันตาขวางด้วยความสนใจ ปากกระซิบจ้อกันไม่หยุด
“เฮอะ! จะเอาก็เข้ามาเถอะ! สำนักราชันพิษข้ากลัวนิกายไส้เดือนดินของพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?”
รองเจ้าสำนักราชันพิษ โจวอัน ที่ลุกขึ้นยืนโต้ตอบหวงกวงจี๋ด้วยทีท่าน้ำเสียงงครอบงำ ราวกับมันไม่กลัวจะฉีกหน้าวังฉิน แล้วสู้กับหวงกวงจี๋ให้ตายกันไปข้างกลางงาน…
และในบรรดาคนของสำนักราชันพิษที่มาวันนี้ โจวอันที่เป็นรองเจ้าสำนักก็มีตำแหน่งใหญ่ที่สุด
เช่นนั้น หากมันให้ไปซ้ายคนอื่นก็ไม่กล้าไปขวา!
เห็นโจวอันกับพวกสำนักราชันพิษกล้าลุกขึ้นยืนประจัญหน้าอย่างไม่กลัวมีเรื่อง คนนิกายมังกรบินรวมถึงหวงกวงจี๋ก็มองจ้องกลับไปตาขวาง ท่าทางไม่กลัวมีเรื่องเช่นกัน
“สำนักราชันพิษ…”
สองตาต้วนหลิงเทียนในชุดคลุมปรมจารย์อมตะทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง
ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในนิกายมังกรบินนานนัก แต่อย่างไรเขาก็ได้ไปอาศัยอยู่กว่า 2 เดือน ตลอดเวลาที่ผ่านเขาก็ไม่ได้เอาแต่หลอมโอสถอย่างเดียว ยังมีไปหาความรู้และถามไถ่เรื่องราวทั่วไปจากผู้อื่นบ้าง จึงได้ยินเรื่องสำนักราชันพิษมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
เป็นธรรมดาว่ายาพิษส่วนใหญ่ของสำนักราชันพิษนั้น มีผลแค่กับตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตพลังต้าหลัวจินเซียนเท่านั้น
มีเพียงพิษจากจ้าวสำนักราชันพิษเท่านั้น ที่สามารถคุกคามตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนได้…
และเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว นิกายมังกรบินกับสำนักราชันพิษก็ได้ปะทะกันเพื่อช่วงชิงชีพจรอมตะ สุดท้ายสองขุมพลังก็ไม่มีใครยอมใคร เข่นฆ่ากันจนโลหิตหลั่งไหลเป็นสายธาร…
กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตต้าหลัวจินเซียนของทั้ง 2 ขุมกำลังก็ล้มตาย
สุดท้ายเป็นวังฉินที่เข้ามาแทรกแซงและยึดครองชีพจรอมตะนั่นเป็นของหลวงเสีย! จึงทำให้ทั้งสองขุมกำลังหยุดการต่อสู้เอาไว้ชั่วคราว…
อย่างไรก็ตามหลังจากการต่อสู้ในปีนั้น ทั้งสองขุมกำลังก็เขม่นกันมาโดยตลอด
ตราบใดที่มีโอกาสข่มเหงรังแกหรือกล่าวแซะอีกฝ่าย พวกมันล้วนกระทำทันที!
อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
“เจ้าคือรองเจ้าสำนักราชันพิษ?”
และในขณะที่คนของนิกายมังกรบินนกับสำนักราชันพิษใกล้จะเปิดศึกกันอยู่รอมร่อ เสียงแหบชราที่ต้วนหลิงเทียนแสร้งดัดพลันดังขึ้น ทำลายความเงียบและบรรยากาศเจียนปะทุระหว่างทั้งสองขุมกำลังทันที
“เจ้า…กล้าพนันกับข้าหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามไปเสียงเบา
“หืม?”
พอต้วนหลิงเทียนเอ่ยขึ้นมา โจวอัน รองเจ้าสำนักราชันพิษ ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนทันที
พอได้ยินต้วนหลิงเทียนถามว่า มันกล้าพนันด้วยหรือไม่ มันก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปทันที
ถึงกับไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี มิใช่กำลังจะต่อยตีกันหรืออยู่ๆ ไฉนเจ้ามาชวนพนัน?
“ว่าไง…หรือเจ้าไม่กล้า?”
เอ่ยอีกครั้งเสียงของต้วนหลิงเทียนก็แฝงความเย้ยหยันไว้หลายส่วน
“จะพนันอันใด?”
โดนต้วนหลิงเทียนท้าซึ่งๆหน้าแบบนี้ สีหน้าโจวอันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นราวมีม่านน้ำแข็งฉาบ มันมองมาตาขวาง พลสงกล่าวถามเสียงเข้ม
“ก็แค่พนันกันว่า…ฉู่เหยียนจะเป็นผู้ชนะครั้งนี้อย่างที่ข้าพูดจริงหรือไม่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
หลังจากนั้น ไม่รอให้โจวอันพูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็พูดดักคอมันเอาไว้ก่อน “เป็นธรรมดาที่ข้ารู้ดีว่าในใจเจ้ากำลังคิดว่าอย่างไรฉู่เหยียนก็ยังมีโอกาสชนะอยู่ครึ่งหนึ่ง…และการมาพนันกับข้าแบบนี้ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการวัดดวง ทว่าข้าจะบอกอัตราเดิมพันให้เจ้าพอใจเป็นอย่างไร?”
“หากหยางจิ้นชนะ…ข้าจะมอบหินอมตะระดับสูงให้เจ้าแสนก้อน แต่ถ้าฉู่เหยียนชนะ เจ้าจ่ายข้ามา 50,000 หินอมตะระดับสูงก็พอ!”
หลังจากเอ่ยราคาพนันออกไปตรงๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงท้าทายแหบแห้ง แฝงถึงความดูแคลนประการหนึ่ง “ว่าอย่างไรเล่า? การพนันครานี้รองเจ้าสำนักราชันพิษ โจวอัน ใช่หาญกล้าเล่นกับข้าสักคราหรือไม่ หากไม่กล้าก็แค่บอก?”
ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยท้าจบคำ ทั่วอัฒจันทร์ที่นั่งสำหรับบุคคลพิเศษก็บังเกิดเสียงสูดอากาศเข้าดังฟืด!
หลายคนอดไม่ได้ที่จะผวา
ครู่ต่อมา…
“ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับต่ำของนิกายมังกรบินผู้นี้ เสียสติไปแล้วหรือไรถึงได้ไปเดิมพันอะไรสิ้นคิดเช่นนั้น…ราคาพนันขนาดนี้มันจะไม่เสียเปรียบไปหน่อยหรือ?”
“ตอนนี้เท่าที่ดูหยางจิ้นกับฉู่เหยียนก็สูสีก้ำกึ่งยากรู้แพ้รู้ชนะ เช่นนั้นให้กล่าวว่าผลลัพธ์ของพวกมัน 50-50 ก็ไม่เกินเลย…กระทั่งยังมีโอกาสไม่น้อยที่ผลจะออกมาเป็นเสมอ”
“ช้าก่อน มิใช่การประลอง 16 มณฑลจำต้องมีผู้ชนะเท่านั้น มิมีคำว่าเสมอหรอกหรือ?”
“อ่าจริงสิ ข้าพเจ้าเกือบลืมไปแล้วเชียว…เห็นว่าหากประลองกันแล้วมิรู้แพ้รู้ชนะจริงๆ หลังประลองกันนานเกินชั่วยาม ยอดฝีมือของวังฉินจักทำการแผ่แรงกดดันพลังเข้าใส่ทั้งคู่….ให้ประลองกันท่ามกลางแรงกดดัน!”
“ประลองกันท่ามกลางแรงกดดันหรือ? นับว่าสิ้นเปลืองจิตสมาธิมากทีเดียว เพราะถึงแม้จะเผชิญหน้ากับแรงกดดันเหมือนๆกัน แต่ทว่าคนเราย่อมรับมือกับแรงกดดันได้ต่างกัน…ถึงตอนนั้นผู้ใดสูงผู้ใดต่ำคงตัดสินได้ไม่ยาก!”
…
เหล่าคนในอัฒจันทร์ที่นั่งสำหรับบุคคลพิเศษพอฟื้นสติ ก็เริ่มถกกันถึงเรื่องนี้
ผู้ชมจำนนมากรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนหาเรื่องเสียเปรียบโดยแท้ เพราะราคาเดิมพันนั้นมันห่างกันเท่าตัว
“หินอมตะระดับสูงแสนก้อน?”
โจวอันที่พึ่งได้สติ ถึงกับมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาร้อนแรงถามออกเสียงหนักว่า “เจ้าพูดจริงหรือ…หากการประลองครานี้จบลงที่หยางจิ้นชนะ…เจ้าจะให้หินอมตะระดับสูงกับข้าแสนก้อน?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบเสียงเบา “ทว่าหากฉู่เหยียนเป็นผู้ชนะ…เจ้าต้องจ่ายให้ข้า 50,000 หินอมตะระดับสูง…”
“ว่าอย่างไร ตกลงเจ้ากล้าพนันกับข้าหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามซ้ำอีกรอบ
“อาวุโสกิตติมศักดิ์เทียนหลิง…”
รองประมุขนิกายมังกรบินหวงกวงจี๋ถึงกับขมวดคิ้วย่นเป็นปม หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนผ่านพลังด้วยสีหน้าท่าทีหวั่นใจ “ท่าน…ท่านจะเดิมพันกับมันจริงๆ? ท่านมั่นใจว่าฉู่เหยียนจะชนะมากหรือ?”
“ข้าไม่แน่ใจ…”
ต้วนหลิงเทียนตอบด้วยเสียงผ่านพลังกลับไปทันที
และพอได้ฟังหน้าหวงกวงจี๋ก็แทบทรุดลงเดี๋ยวนั้น “เอ๊า…แล้วไฉนท่านไปพนันกับโจวอันมันแบบนั้นเล่า?”
“ข้าไม่แน่ใจเต็มสิบส่วน แต่ถ้า 9 ส่วนก็ได้อยู่…”
หวงกวงจี๋พูดไม่ทันจบคำ ก็ถูกต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปขัดไว้เสียก่อน และถ้อยคำที่เอ่ยส่งไป ก็ทำเอาหวงกวงจี๋อึ้งไปไร้คำจะกล่าว หากแต่อารมณ์ของมันเสมือนได้ทะยานออกจากนรกขึ้นสวรรค์ไปในชั่วพริบตา
9 ส่วน!
ไม่น้อย ไม่น้อยอย่างแรง!!
“อาวุโสกิตติมศักดิ์ของนิกายมังกรบินผู้นั้น ไม่น่าจะกล้าพูดได้เต็มปากว่าฉู่เหยียนมีโอกาสชนะมากกว่า…แล้วมันกล้าเอ่ยราคาเดิมพันเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ต้องทราบด้ยว่าหากมันแพ้ก็ต้องจ่ายราคาไม่น้อยเลย…”
“นั่นสิ เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรจากมันเอาหินอมตะระดับสูงของมันแสนก้อนไปเสี่ยง เพื่อเอาหินอมตะระดับสูงของโจวอันแค่ 50,000 ก้อน..”
“”ข้าไม่ทราบจริงๆว่ามันคิดอ่านอันใดอยู่…แต่หากเป็นข้าไม่มีวันหาเรื่องเสียหินอมตะระดับสูงเหลวไหลเช่นนี้!”
“บางทีอาจเป็นดั่งแมวตาบอดพบพานหนูตาย ฉู่เหยียนนั่นอาจบังเอิญมีชัยจริงๆ?”
“เจ้ายังกล้าพูดเรื่องแมวตาบอดพบพานหนูตายได้อีก…เกิดหยางจิ้นชนะขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า?”
…
ไม่นานบทสนทนาดุเดือดจากอัฒจันทร์ที่นั่งบุคคลพิเศษข้างๆ ก็ดังเข้ามาในชั้นลอย และนับว่าดึงดูดความสนใจของอ๋องฉินกับอ๋อง 3 ไม่น้อย…
“ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับต่ำของนิกายมังกรบินผู้นี้…ช่างน่าสนใจยิ่ง!”
อ๋อง 3 คลี่ยิ้มสนุกสนาน
“ข้าไม่ทราบจริงๆ…ว่ามันมองตรงที่ใด ถึงเห็นว่าฉู่เหยียนมีโอกาสชนะมากกว่า”
อ๋องฉินส่ายหัวไปมาค่อยกล่าว